ตอนที่ 2 ประธานบริษัทสาวสวยมาขอพบ
พอจ้าวเฟิงเหนียนคิดหาวิธีที่จะยิงนกสองตัวด้วยปืนนัดเดียวได้ เขาก็ยิ้มกว้างออกมา ก่อนจะกลับขึ้นรถแล้วพูดกับคนขับรถ "ออกรถ รีบกลับบริษัทเร็วเข้า!"
เฟิงเหนียน กรุ๊ป
จินอวี้หรงถูกเลขาเดินนำทาง จนมาถึงห้องทำงานของประธานบริษัท
พริบตาแรกที่เธอเห็นจ้าวชิวเยญ เธอก็ต้องตกตะลึงไปทันที
จ้าวชิวเยญมีคิ้วโค้งมน ผิวขาวเรียบเนียน รูปร่างร้อนแรง งดงามน่าหลงใหล แต่กลับดูเย็นชายากแก่การใกล้ชิด
เธอดูสูงศักดิ์ ราวกับเทพธิดาน้ำแข็ง บริสุทธิ์ไม่แปดเปื้อนมลทิน ยืนหยัดโดดเด่น
เดิมทีจินอวี้หรงคิดว่าตนเองเป็นประธานบริษัทที่สวยที่สุด เธอภูมิใจกับเรื่องนี้มาก
แต่จ้าวชิวเยญอายุน้อยกว่าเธอ รวยกว่าเธอ และยังสวยกว่าเธอด้วย
นี่เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกละอายใจตัวเอง
จ้าวชิวเยญเห็นว่าจินอวี้หรงยืนเงียบ เธอจึงเอ่ยเตือน "ฉันมีเวลาให้คุณแค่สิบนาทีเท่านั้น ดังนั้นรีบเสนอโครงการของคุณได้แล้ว"
จินอวี้หรงตื่นจากภวังค์ แล้วรีบกล่าวขอโทษ "ขอโทษด้วยค่ะ ประธานจ้าวฉันขอแนะนำตัวเองก่อนนะคะ ฉันชื่อ..."
เธอยังพูดไม่ทันจบ ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะก็ดังขึ้นมา
จ้าวชิวเยญหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ก่อนจะส่งสัญญาณให้จินอวี้หรงหยุดพูด จากนั้นก็กดรับสาย "ค่ะคุณปู่ คุณปู่ได้พบหมอเทวดาหรือเปล่าคะ"
เดิมทีจ้าวเฟิงเหนียนอยากจะเจอหน้าก่อนค่อยพูด แต่สุดท้ายเขาก็อดที่จะโทรมาก่อนไม่ได้ "เยญเยญ หลานรีบวางงานทั้งหมดตอนนี้เลย มีเรื่องสำคัญที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของหลาน และความเป็นความตายของปู่ ที่หลานต้องรีบไปทำ"
จ้าวชิวเยญตระหนักได้ถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ จึงรีบลุกเดินออกไป "คุณปู่คะ ตอนนี้หนูจะรีบลงไปชั้นล่าง กำลังเดินไปที่ลิฟต์แล้วค่ะ คุณปู่บอกรายละเอียดหนูได้เลยค่ะ จะให้หนูไปทำอะไรคะ"
จ้าวเฟิงเหนียนพูดเปิดประเด็น "ปู่พึงพอใจพ่อหนุ่มคนหนึ่ง ตอนนี้เขายังโสด หลานรีบไปเจอเขา
หรือจะตกลงหมายหมั้นกันได้ยิ่งดี
หมั้น?
สีหน้าของจ้าวชิวเยญประหลาดใจมาก "คุณปู่คะ คุณปู่ปลื้มผู้ชายคนหนึ่ง แล้วจะให้หนูหมั้นกับเขาเลย มันไม่ล้อเล่นเกินไปเหรอคะ? คุณปู่ไม่ต้องห่วงเรื่องอาการป่วยนะคะ เราต้องมีทางรักษาให้หายดีแน่นอน แล้วคุณปู่ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องหนูด้วย หนูจะต้องหาแฟนได้แน่นอน ทุกอย่างจะต้องดีขึ้นค่ะ"
เธอคิดว่าปู่ของเธอกำลังสั่งเสีย จึงพยายามพูดปลอบใจ
จ้าวเฟิงเหนียนรู้ว่าหลานสาวของเขากำลังเข้าใจผิด
มีเงินพันล้านมาวางตรงหน้า เย่ฉางชิงกลับยังคงนิ่งเฉย นี่ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะทำได้
พ่อหนุ่มคนนี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
ที่สำคัญคือเขายังไม่อยากตาย ที่จริงแล้วมาถึงวัยนี้ ถึงแม้ตอนนี้จะยังไม่ตาย แต่ก็มีชีวิตอยู่ได้อีกเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น
แต่ตระกูลจ้าวมีปัญหาภายในตระกูล บรรดาลูกชายของเขาไม่มีคนไหนที่สามารถบริหารบริษัทได้ แต่พวกเขากลับมักมากอยากจะครอบครองบริษัท
หากเขาเสียชีวิตไป หลานสาวของเขาคงทนต่อแรงกดดันไม่ไหว เฟิงเหนียน กรุ๊ปคงล้มละลายอย่างแน่นอน
เขาไม่อยากเห็นทุกอย่างเป็นอย่างนี้ ดังนั้นเขาจึงพูดด้วยน้ำเสียงขอร้อง “เยญเยญ ถือเสียว่าเป็นเรื่องสุดท้ายที่ปู่จะสั่งเสีย ปู่ไม่เคยบังคับให้หลานทำอะไรเลย หลานก็รู้ว่าปู่สายตาเฉียบแหลมมาตลอด เริ่มต้นทุกอย่างด้วยน้ำพักน้ำแรงของปู่เอง จนมีบริษัทใหญ่สินทรัพย์หลายแสนล้านเหมือนตอนนี้ ปู่ไม่เคยเดินพลาดเลย หลานฟังปู่สักครั้งเถอะ ปู่ขอร้อง”
จ้าวชิวเยญรู้สึกเศร้าใจ ปู่ของเธอแข็งแกร่งมาโดยตลอด ตอนก่อตั้งบริษัท เขาไม่มีเงินเลย จึงต้องไปขายน้ำหวานที่สถานี ไม่เคยคิดจะไปขอยืมเงินจากญาติพี่น้องหรือเพื่อนๆ
จากนั้นก็อาศัยเงินไม่กี่ร้อยที่หาได้เป็นเงินทุน จนค่อยๆ เติบโตขึ้นมาทีละขั้น
ตลอดชีวิตของคุณปู่ เขาไม่เคยขอความช่วยเหลือใคร
หยิ่งทระนงมาตลอดชีวิต
แต่ตอนนี้คุณปู่กลับเอ่ยขอร้องเธอที่เป็นลูกหลาน
เธอรู้สึกเศร้าใจ ขอบตาของเธอแดงก่ำทันที น้ำเสียงของเธอสะอื้นเล็กน้อย "คุณปู่คะ ไม่ต้องพูดแล้วค่ะ หนูจะทำตามที่คุณปู่พูด คุณปู่จะให้หนูหมั้นกับใคร หนูก็จะหมั้นกับคนนั้นค่ะ”
ในห้องทำงาน
จินอวี้หรงมองจ้าวชิวเยญเดินจากไป เธอยืนตะลึง เธออุตส่าห์ขอร้องเพื่อนจนได้นัดเจอ และต้องรอสิบวันถึงจะได้โอกาสนี้
แต่เธอยังไม่ทันได้แนะนำตัวเองจบด้วยซ้ำ อีกฝ่ายก็เดินจากไปแล้ว
เลขาของจ้าวชิวเยญเดินเข้ามา "ประธานจ้าวมีธุระสำคัญต้องทำ เชิญคุณกลับไปก่อนเถอะค่ะ"
จินอวี้หรงไม่พอใจเล็กน้อย: "ฉันยังไม่ทันได้พูดเรื่องงานเลย! ทำไมประธานจ้าวถึงจากไปแล้วล่ะ?”
เลขารู้สึกได้ถึงความไม่พอใจในคำพูด จึงเอ่ยพูดอย่างเย็นชา "ประธานจ้าวจะไปไหนยังต้องอธิบายให้คุณฟังด้วยเหรอ? ไม่เจียมตัวเลยว่าตัวเองเป็นใคร!”
จินอวี้หรงถูกด่าจนอับอายหน้าแดง แต่เธอไม่กล้าโต้กลับ แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นเพียงเลขา แต่ก็เป็นเลขาของเฟิงเหนียน กรุ๊ป
แค่อีกฝ่ายพูดคำเดียวอาจทำให้เธอไร้จุดยืนในเมืองซงเจียง
เธอทำได้เพียงยกยิ้มกล่าวขอโทษ "ขอโทษด้วยค่ะ ฉันใจร้อนเกินไป จึงพูดผิดไป ขอโทษนะคะ แล้วเมื่อไหร่ฉันจะได้เจอประธานจ้าวอีกครั้งคะ?”
เลขาเอ่ยพูดอย่างเย็นชา "นัดเวลามาใหม่!"
นัดครั้งนี้ เธอต้องรอสิบวัน ถ้านัดครั้งใหม่ยังต้องรออีกสิบวันเลยนะ
จินอวี้หรงข่มความโกรธไว้ในใจ ไม่กล้าแสดงออกมา เธอฝืนยิ้มแล้วพูดว่า "ฉันจะขอนัดใหม่ค่ะ รบกวนคุณเลขาแล้ว ขอตัวก่อนนะคะ "
หลังจากที่จินอวี้หรงพูดจบก็รีบจากไปด้วยความอับอาย
หมู่บ้านซาจิ่ง
เย่ฉางชิงมองไปที่หมู่บ้านเล็กๆ ที่จากไปสามปีด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย
ตอนเดินผ่านแล้วเจอคนรู้จัก เขาเตรียมจะกล่าวทักทาย แต่พวกเขากลับหลบหน้าหลีกเลี่ยงเขาเหมือนเขาเป็นโรคระบาด
หมู่บ้านยังคงเป็นหมู่บ้านเดิม และผู้คนก็ยังเป็นคนเดิมที่คุ้นเคย
แต่เขากลับรู้สึกว่าเขากลายเป็นคนแปลกหน้าในสายตาของคนอื่น
ตอนเขาเจอคนรู้จักอีกครั้ง เขาก็ไม่เอ่ยทักทายอีก เขาเดินก้มหน้าตรงกลับบ้าน
พอเขาเดินถึงหน้าประตูบ้านเขาก็ต้องตกตะลึงไปทันที
นี่คือบ้านของเขาจริงๆ หรือ?
สภาพประตูผุพัง เครื่องใช้ในบ้านก็พังไปหมด
ทุกครั้งที่กลับบ้านเขามักจะล้างมือที่ก๊อกน้ำเป็นประจำ ตอนนี้ก๊อกน้ำเสีย อ่างล้างจานก็แตกหัก เศษปูนกระจัดกระจายเต็มพื้น
เหมือนมีโจรมาปล้นบ้าน
แต่กลับไม่เห็นพ่อแม่และลูกสาวของเขา
จู่ๆ เย่ฉางชิงก็รู้สึกใจเต้นแรง และรีบตะโกนเรียกอย่างกังวลใจ "แม่ครับ พ่อครับ อยู่บ้านหรือเปล่า"
แอ๊ด
ประตูถูกเปิดออก ก่อนจะมีชายหญิงชราสองคนก็เดินออกมา พอเห็นเย่ฉางชิงพวกเขาเอ่ยเรียกอย่างดีใจ "ลูกแม่/พ่อ ในที่สุดลูกก็กลับมาแล้ว"
เย่ฉางชิงเห็นทั้งสองคน เขาก็ตกตะลึงไปทันที
ก่อนจะจากไป ทั้งพ่อและแม่ต่างก็มีผมดำ แต่ตอนนี้... ผมของพ่อขาวโพลน ส่วนผมของแม่ก็มีขาวไปครึ่ง
ทั้งสองคนดูแก่กว่าก่อนไปสิบปี
เย่ฉางชิงเห็นอย่างนั้น ในใจจึงรู้สึกผิดมาก เขารีบคุกเข่าลงกับพื้น "พ่อครับ แม่ครับ ลูกชายอกตัญญูของพ่อกับแม่ ทำให้พ่อแม่ต้องเป็นห่วงแล้ว"
หลิวยู่หลานรีบเอื้อมมือออกไปดึงเขาให้ลุกขึ้นยืน "คุกเข่าทำไมลูก? รีบลุกขึ้นเร็วเข้า
กลับมาก็ดีแล้ว สามปีมานี้ลำบากลูกแล้ว ดูสิลูกผอมลงไปมากขนาดไหน หิวหรือยัง เดี๋ยวแม่ไปทำอาหารให้กิน เอาบะหมี่ดีไหม”
เย่ฉางชิงรีบดึงแม่ของเขาไว้ "แม่ครับ ผมยังไม่หิว แล้วหลิงลิงล่ะครับ ยังหลับอยู่ใช่ไหม?"
สีหน้าของหลิวยู่หลานเปลี่ยนไปเล็กน้อย เธอเอ่ยพูดอย่างอึกอัก "ลูกแม่ ลูกเพิ่งออกมา อย่าทำอะไรหุนหันพลันแล่นนะลูก หลิงลิงถูกลุงของเธอพาไปแล้ว”
เย่ชุ่นพูดขัดขึ้นมา "พาไปอะไรล่ะ แย่งไปแล้วต่างหาก”
จินโหย่วซินพาคนมาด้วยหลายสิบคน ทุบทำลายข้าวของ ก่อนจะแย่งหลิงลิงไปด้วย
ก่อนจะจากไปยังบอกด้วยว่าถ้าลูกไม่ยอมหย่า เราก็จะไม่ได้เจอหลิงลิงอีก”
เย่ฉางชิงได้ยินอย่างนั้นก็กำหมัดแน่น "รังแกกันมากเกินไปแล้ว!"
เย่ชุ่นถอนหายใจยาว "ลูกไม่รู้หรอก สองปีมานี้จินอวี้หรงไปหาลูกแต่ไม่เจอ เธอก็มักจะมาอาละวาดที่บ้านเป็นระยะ บอกว่าถ้าลูกไม่ยอมหย่ากับเธอ เธอจะไม่ให้บ้านเราได้อยู่อย่างสงบ
ดูสิบ้านเราถูกทุบทำลายจนเสียหายแค่ไหน เฮ้อ บาปกรรมจริงๆ!”
พอได้ยินอย่างนี้ ดวงตาของเย่ฉางชิงแทบจะลุกเป็นไฟ "ผมจะไปจัดการกับพวกเขา!"
หลิวยู่หลานที่ยืนอยู่ด้านข้างรีบพูดขึ้นมา "อย่านะลูก ห้ามใจร้อนทำอะไรโดยไม่คิด ลูกเพิ่งออกมา จะมีเรื่องอีกไม่ได้"
เย่ฉางชิงไม่อยากทำให้แม่ของเขาเป็นห่วง เขาจึงใช้วิธีพูดอีกวิธี "แม่ครับ ผมแค่อยากจะไปรับหลิงลิงกลับมา แม่วางใจได้ครับ ผมเซ็นหนังสือสัญญาการหย่าให้เธอไปแล้ว
จะไม่มีเรื่องกับพวกเขาแน่นอน”
พอหลิวยู่หลานได้ยินเรื่องหย่า เธอก็ถอนหายใจออกมา "หย่าก็ดีแล้ว ลูกรีบไปพาหลิงลิงกลับมาเถอะ”
เย่ฉางชิงตอบรับ แล้วรีบเดินออกไป
หลังจากที่เย่ฉางชิงเดินจากไป หลิวยู่หลานก็ยังคงกังวลใจเล็กน้อย "เมื่อกี้ฉางชิงเอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำความสะอาด ไม่พูดอะไรสักคำ ฉันล่ะเป็นห่วงจริงๆ ลูกชายของเราให้ความสำคัญกับครอบครัวมาก เขายอมเข้าคุกแทนจินอวี้หรงแต่กลับต้องมาจบลงด้วยการถูกขอหย่า
ฉันกลัวว่าเขาจะทำใจไม่ได้ แล้วก้าวผ่านเรื่องนี้ไปไม่ได้”
เย่ชุ่นถอนหายใจ "ผมเองก็เป็นห่วงเช่นกัน ถ้าหาคนรักให้ลูกใหม่ได้ ดึงความสนใจลูกชายเรากลับมาได้ มันคงจะดีกว่านี้
สองสามวันนี้คุณลองไปคุยกับแม่สื่อดู ให้อีกฝ่ายแนะนำคู่ดูตัวให้ลูกเราสักคน”
ในขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกันอยู่ ก็มีรถหรูคันหนึ่งหยุดจอดที่หน้าประตู
จ้าวชิวเยญช่วยพยุงจ้าวเฟิงเหนียน ลงมาจากรถ แล้วเดินมาถึงประตู "ขอโทษนะคะ ไม่ทราบว่าที่นี่คือบ้านของหมอเทวดาเย่ฉางชิงหรือเปล่าคะ"
เย่ชุ่นงุนงงกับคำถามที่ได้ยิน "ลูกชายของผมชื่อเย่ฉางชิงครับ แต่เขาไม่ใช่หมอเทวดาที่พวกคุณพูดหรอก"
จ้าวเฟิงเหนียนรู้ว่าเขามาถูกที่แล้ว เขาจึงบอกเรื่องที่ได้ยินมาว่าเย่ฉางชิงเพิ่งหย่า และอยากให้หลานสาวของเขาแต่งงานกับเย่ฉางชิงออกมา
เย่ชุ่นและภรรยาที่กำลังกังวลว่าจะบรรเทาความเศร้าของลูกชายได้อย่างไร พอได้ยินย่างนี้ก็ดีใจขึ้นมาทันที โดยเฉพาะหลังจากที่ได้เห็นรูปร่างหน้าตาของจ้าวชิวเยญ พวกเขาก็ยิ่งพอใจเธอมากขึ้นไปอีก
แต่เรื่องนี้มันบังเอิญเกินไป เย่ชุ่นรู้สึกไม่เหมือนเรื่อง เขาจึงถามถึงที่มาที่ไป
พอได้ยินจ้าวเฟิงเหนียนบอกว่าลูกชายของตนช่วยชีวิตเขาไว้ เขาก็หมดความกังวล “พวกเราเห็นด้วยกับเรื่องนี้ รออีกสักสองสามวันเรานัดให้ทั้งสองคนลองมาดูตัวกันดู ให้ทั้งสองคนได้พบปะ และลองพูดคุยกันดูก่อน
จะได้แต่งงานกันหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับความยินยอมของทั้งสองคน
จ้าวเฟิงเหนียนรีบร้อนจะให้เย่ฉางชิงช่วยชีวิตอยู่ จะให้รอไหวได้อย่างไร “เรื่องดีๆ แบบนี้ยิ่งเร็วยิ่งดีนะครับ
พรุ่งนี้ลูกชายของคุณเซ็นใบหย่า ฉันจะให้ชิวเยญ ไปรอที่หน้าสำนักงานทะเบียนเขต รอลูกชายของพวกคุณเซ็นใบหย่าเสร็จ แล้วเดินออกมาจากสำนักงานทะเบียนเขต
ก็ให้ชิวเยญ ไปรับเขามาดูตัวทันทีเลยดีไหมครับ”