ตอนที่ 11 ไล่ออก
เอ่อ…
จ้าวชิวเยญตกตะลึง นี่เย่ฉางชิงจอมลามกกลับพูดว่าทั้งสองคนเป็นแฟนกัน
โตมาจนถึงตอนนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเจอเรื่องแบบนี้
ผู้ชายคนนี้กำลังประกาศความเป็นเจ้าของเธอเหรอ?
เธอหน้าแดงผ่าว รู้สึกอับอาย และรู้สึกทำตัวไม่ถูก
และที่มากกว่านั้นคือความโกรธ เธอทำทุกอย่างเพื่อคุณปู่ที่กำลังป่วย แต่เธอไม่อยากให้ใครรู้ว่าเธอมีความสัมพันธ์กับคนลามกแบบนี้
เธอเริ่มรู้สึกโกรธเล็กน้อย “เรื่องของเราสองคน นายไม่จำเป็นต้องบอกพวกเขา”
เธอสวยมาก ถึงแม้ตอนนี้จะกำลังโมโห แต่ท่าทางที่แสดงออกมามันกลับดูน่ารัก
เหมือนกำลังออดอ้อน
ดูมีเสน่ห์มาก
…
หลิวหย่วนชานเห็นเหตุการณ์ตรงหน้าก็ตกตะลึงจนปากอ้าค้าง จ้าวชิวเยญท่านประธานสาวที่มักจะเย็นชาตลอดเวลา
พนักงานหลายคนต่างเคยพูดกันว่า จ้าวชิวเยญจะเคยยิ้มไหม
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้เห็นจ้าวชิวเยญทำท่าทางเหมือนเด็กสาวแบบนี้
ในช่วงเวลานี้ เขาที่รู้สึกเหมือนถูกสะกดจิต เพิ่งได้สติกลับมา
เขาถึงได้เข้าใจว่าเย่ฉางชิงเป็นคนรักของจ้าวชิวเยญจริงๆ
เขายิ่งตกใจมากขึ้น คนขับรถธรรมดาคนหนึ่งแต่กลับได้ประธานสาวสวยที่มีสมบัติหมื่นล้านเป็นคนรัก?
มันเหลือเชื่อมากจริงๆ
แต่เรื่องนี้กำลังเกิดขึ้นตรงหน้าเขา เขาจะไม่เชื่อก็ไม่ได้
พอคิดถึงสิ่งที่เขาทำกับเย่ฉางชิงก่อนหน้านี้ สีหน้าของเขาก็เหยเก “คะ…คุณ…คุณเย่ฉางชิงผมต้องขอโทษด้วยครับ เป็นผมที่ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ
ยกโทษให้ผมด้วย อย่าถือสาผมเลย”
ตอนนี้เขารู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปมาก เขาดันไปมีปัญหากับคนรักของท่านประธาน
นี่ไม่ใช่กำลังหาที่ตายอยู่เหรอ?
เย่ฉางชิงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “คุณไม่ได้บอกให้ผมออกไปจากที่นี่เหรอ?”
หลิวหย่วนชานได้ยินเย่ฉางชิงพูดถึงเรื่องนี้ เขาห็ยิ่งรู้สึกกลัวมากขึ้น เขายกมือตบหน้าของตัวเองทันที “เป็นผมที่ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ เป็นผมที่มองคนไม่เป็นผมมันไม่ดี ผมดูถูกคนอื่น!...”
เขาด่าตัวเองไปพร้อมกับตบหน้าตัวเองอย่างแรง
เสียงตบหน้าดังเพี๊ยะๆ
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสามคนเองก็ลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าที่เจ็บปวด พอเห็นเช่นนี้ก็รีบเดินเข้ามาขอโทษ “คุณเย่ ฉางชิงเป็นเพราะผู้จัดการหลิว เขาให้พวกเราขับไล่คุณ ได้โปรดอย่าโกรธพวกเราเลยนะครับ อย่าไล่พวกเราออกเลย”
สวัสดิการของเฟิงเหนียน กรุ๊ปดีมาก มีประกันสังคมและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ อีกทั้งเงินเดือนก็สูงกว่าบริษัททั่วไปหนึ่งพันกว่าหยวน
แต่เมื่อครู่นี้พวกเขากลับพยายามขับไล่คนรักของประธานบริษัท
ตอนนี้พวกเขารู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปมากจนแทบอยากจะร้องไห้ ขอแค่ให้ได้ทำงานต่อไป ให้พวกเขาทำอะไรก็ยอม
จ้าวชิวเยญกลับนิ่งสงบตาม้ดิม ใบหน้าแสนสวยของเธอเย็นชามาก “หลิวหย่วนชาน นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
หลิวหย่วนชานอ้ำอึ้ง ไม่กล้าพูด เย่ฉางชิงจึงเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดออกมาเอง
จ้าวชิวเยญได้ยินเแล้วยิ่งโกรธมากขึ้น “หลิวหย่วนชาน คิดไม่ถึงเลยว่าคุณจะเป็นคนที่ดูถูกและกดขี่พนักงานแบบนี้ ถ้าผู้บริหารในบริษัททุกคนเป็นแบบคุณ บริษัทไม่ล้มละลายไปแล้วเหรอ?คุณถูกไล่ออกแล้ว!ไปทำเรื่องเถอะ!”
หลิวหย่วนชานยอมรับไม่ได้ แต่จ้าวชิวเยญเป็นประธานบริษัท เขาจะทำอะไรได้?
เขาเดินออกไปอย่างไม่เต็มใจ
จ้าวชิวเยญมองไปที่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้งสามคน “ส่วนพวกนายสามคน พวกนายเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในบริษัท ไม่ใช่อันธพาลของใครคนใดคนหนึ่ง
พวกนายก็ถูกไล่ออกแล้ว ไปที่แผนกบุคคลเพื่อทำเรื่องลาออกซะ!”
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้งสามคนถูกเตะแล้วยังต้องเสียงานอีก
ทุกคนต่างก็คิดในใจว่าตนโชคร้ายมาก
พอทุกคนจากไปแล้ว จ้าวชิวเยญก็พูดกับเย่ฉางชิง"ฉันไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น นายอย่าคิดอะไรมาก
ถึงแม้ฉันจะรู้สึกว่านายลามกไปหน่อย แต่ก็ไม่ถึงกับให้ลูกน้องมาหาเรื่องคุณแบบนี้
หวังว่าคุณจะเชื่อฉัน"
อาการป่วยของคุณปู่ยังรอให้เย่ฉางชิงรักษาอยู่ เธอกลัวว่าเย่ฉางชิงจะเข้าใจผิดจนโกรธแล้วจากไป
เธอคงต้องร้องไห้แน่
แน่นอนว่าเย่ฉางชิงไม่ได้สงสัยในคำพูดของจ้าวชิวเยญ เพราะตอนที่เขามาถึงเขาเห็นจินอวี้หรงกับหวังยีหมิงเดินออกมาพอดี
น่าจะเป็นสองคนนั้นที่ไปบอกอะไรกับหลิวหย่วนชาน
เขายิ้มอย่างไม่ใส่ใจแล้วพูดว่า "ผมเชื่อคุณ"
จ้าวชิวเยญถอนหายใจอย่างโล่งอก ในไม่เข้าใจผิดก็ดีแล้ว แต่เธอเพิ่งสังเกตได้ว่าเย่ฉางชิงเป็นคนที่ไม่เลวคนหนึ่ง
คนคนหนึ่งสามารถจัดการกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยถึงสามคนได้ เขาแข็งแรงมาก อีกทั้งยังเป็นลูกผู้ชายมาก
สถานการณ์เมื่อครู่นี้ ถ้าเป็นคนธรรมดาทั่วไป คนคนเดียวต้องมาต่อสู้กับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสามคน ก็คงถูกทำร้ายไปแล้ว
จ้าวชิวเยญจึงตอบกลับอย่างรวดเร็ว
"เชื่อฉันก็ดีแล้ว ความไว้วางใจเป็นพื้นฐานของการอยู่ร่วมกัน
จริงสิ ครั้งที่แล้วนายบอกว่าอาการป่วยของคุณปู่ต้องใช้โสมอายุมากกว่าร้อยปี ฉันติดต่อกับผู้ขายโสมที่มีอายุร้อยปีได้แล้ว
นายคิดว่าโสมอายุร้อยปีสามารถรักษาอาการป่วยของคุณปู่ของฉันได้จริงเหรอ?"
เย่ฉางชิงส่ายหน้าและตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า "ไม่ได้"
ไม่ได้?
จ้าวชิวเยญนิ่งอึ้ง จากนั้นดวงตาของเธอเบิกกว้าง "ถ้าไม่ได้ แล้วคุณให้ฉันไปซื้อโสมอายุร้อยปีมาทำไม?"
เย่ฉางชิงเผชิญกับคำถามนี้ด้วยท่าทางที่นิ่งสงบ "โสมอายุร้อยปีไม่สามารถรักษาโรคได้ แต่สามารถยืดอายุของปู่ของคุณได้
การรักษาให้หายจากโรคยังต้องให้ผมลงมือรักษา"
……
จ้าวชิวเยญได้ยินแบบนี้ เธอก็รู้สึกโกรธจนหายใจแรง
นี่เป็นเรื่องสำคัญที่เกี่ยวข้องกับชีวิตความเป็นความตายของคุณปู่เธอ แต่เขายังมีเวลามาเล่นตลกกับเธออีก
มันเกินไปแล้วนะ!
เธอกำลังจะเอ่ยพูด
แก่ก~
ทันใดนั้นก็มีเสียงเหมือนอะไรบางอย่างขาดดังขึ้นมา
จ้าวชิวเยญมองลงไปที่หน้าอกของตัวเอง ก็เห็นกระดุมเม็ดที่สามของเสื้อหลุดออกมา
หน้าอกที่น่าภาคภูมิใจของเธอที่กำลังขยับขึ้นลง
เผยออกมาให้เห็น!
เย่ฉางชิงมองตาโต
มันอลังการมากจริงๆ เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ทำให้เธอนึกถึงเรื่องที่ถูกจ้าวชิวเยญเข้าใจผิดขึ้นมา
เขารู้สึกว่าในที่สุดตนเองก็สามารถล้างข้อกล่าวหานี้ออกไปได้แล้ว เขาชี้ไปที่หน้าอกของจ้าวชิวเยญแล้วพูดอย่างดีใจ “ดูสิ มันกระเด็นออกมาเองนะ
ผมบอกแล้วว่าคุณไม่เหมาะกับการใส่เสื้อเชิ้ต
มันรัดแน่นเกินไป
กระดุมถึงได้หลุดออกมา”
จ้าวชิวเยญหน้าแดงก่ำ เธอรีบยื่นมือไปปกปิดไว้ พอเห็นเย่ฉางชิงดูจะดีใจมาก เธอก็พูดด้วยน้ำเสียงโกรธว่า “กระดุมเสื้อของฉันหลุด นายยังจะหัวเราะอีก”
เย่ฉางชิงหัวเราะแล้วพูดว่า “ผมหมายถึงครั้งที่แล้ว ไม่ใช่ฉันที่แกะกระดุมเสื้อคุณ
มันหลุดออกมาเอง
เหมือนกับตอนนี้เลย”
จ้าวชิวเยญหน้าแดงถึงหู พอรู้ว่าเธออาจจะเข้าใจเย่ฉางชิงผิดไป
แต่พอเห็นเย่ฉางชิงยังคงหัวเราะ เธอก็รู้สึกโกรธขึ้นมา จึงพูดด้วยเสียงงอน “ไม่ใช่ฝีมือคุณ ก็ไม่ใช่สิ”
พอพูดจบเธอก็หันหลังเดินออกไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้เธอรู้สึกอายมาก เธออยากจะรีบหนีไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด
เย่ฉางชิงเห็นจ้าวชิวเยญวิ่งหนีไป เขาก็โน้มตัวเก็บกระดุมที่หล่นอยู่บนพื้นขึ้นมา
จ้าวชิวเยญรีบขึ้นลิฟต์กลับไปที่ห้องทำงาน แล้วบังเอิญเจอกับหลิวอวี้ถิง เธออดไม่ได้ที่จะระบายออกมาไม่ได้ “ฮือ วันนี้น่าอายสุดๆ เลย ตอนที่ฉันไปคุยกับเย่ฉางชิงกระดุมเสื้อฉันก็หลุดออกมา”
หลิวอวี้ถิงอุทานอย่างหยอกล้อ “โธ่ เลี้ยงเจ้ากระต่ายขาวมาสิบกว่าปี ตอนนี้ใจร้อนรีบออกมาเจอคนซะแล้ว”
จ้าวชิวเยญถูกคำพูดของเพื่อนสนิททำให้เขินจนหน้าแดง “ฉันหมายถึงว่าดูเหมือนฉันเข้าใจเขาผิดไป ครั้งที่แล้วไม่ใช่เขาที่แกะกระดุมเสื้อฉัน”
หลิวอวี้ถิงอุทานออกมา “อ๋อ ถ้าเป็นไปตามที่เธอพูด เขาก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เธอคิด ไม่ใช่คนโรคจิต
แบบนี้ก็ดีสิ อีกไม่กี่วันพวกเธอสองคนก็จะจัดงานหมั้นกันแล้ว ในใจจะได้ไม่หวาดระแวง”
จ้าวชิวเยญนึกถึงเรื่องที่เย่ฉางชิงเตือนเธอเมื่อเช้าว่าเธอไม่เหมาะกับการใส่เสื้อเชิ้ต เธอก็หัวเราะออกมา
สีหน้าเย็นชาของเธอเลือนหายไป ตอนนี้กำลังยิ้มแก้มปริ บรรยากาศห้องทำงานก็สดใสขึ้น “จากที่ดูมาฉันรู้สึกว่าเขาเป็นคนดีคนหนึ่งเลย ฉันอยากจะทำความรู้จักเขาให้มากขึ้น
เดี๋ยวตอนกลางวันฉันอยากลองชวนเขาไปทานข้าว”
หลิวอวี้ถิงตกใจ “นี่...เธอจะเริ่มชวนก่อนเลยเหรอ!”
ที่ร้านกาแฟ
จินอวี้หรงยกกาแฟยื่นถ้วยกาแฟไปทางหวังยีหมิง “ขอบคุณนะคะ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณรู้จักหลิวหย่วนชาน ฉันคงไม่สามารถนัดเจอประธานจ้าวได้ในเวลาสั้นๆ แบบนี้”
หวังยีหมิงยกกาแฟขึ้นชนแก้ว ก่อนจะจิบดื่มไปหนึ่งคำ “หย่ากับเย่ฉางชิงชีวิตที่สุขสบายของคุณกำลังก็จะเริ่มต้น
มีผมอยู่ด้วย การได้ร่วมงานกับเฟิงเหนียน กรุ๊ปก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย”
กริ่ง กริ่ง
โทรศัพท์ของหวังยีหมิงมีเสียงเรียกเข้าดังขึ้นมา เขาวางแก้วกาแฟลง แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ก่อนจะพูดกับจินอวี้หรง“ดูสิ หลิวหย่วนชานโทรมาแล้ว เขานัดประธานจ้าวได้แล้วแน่ๆ เลย”