บทที่9 หญิงสาวผู้ไม่กลัวเสียหน้า
บทที่9 หญิงสาวผู้ไม่กลัวเสียหน้า
ฟังคำพูดเยาะเย้ยของเย่หยุนเทา ดวงตาของลู่เสี้ยงหยางก็มีความนัยแวบขึ้นมา ทุกครั้งที่เจอเขาไอ้โง่นี่มักจะทำตัวเหมือนหมาบ้าเห่าไม่เลิก มันทำให้เขาอึดอัด
พอคิดที่จะโต้ตอบ ไม่คาดคิดว่าเย่สวนจะเดินมายืนข้างกายเขา แล้วออกปากแทน “เย่หยุนเทา อย่าให้มันเกินไปนัก เขามาบ้านนายเพื่อดื่มฉลอง นายต้อนรับแขกแบบนี้หรอ?”
ลู่เสี้ยงหยางหันมองไปที่เย่สวนด้วยความประหลาดใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เย่สวน ยืนอยู่ข้างเขา ช่วยพูดแทนเขา
“ฮิฮิ” เย่หยุนเทายิ้มอย่างมีเลศนัยแล้วพูดต่อ “เย่สวน เธอกำลังล้อฉันเล่นอยู่หรือไง? เธอมองไปรอบๆ แขกที่มางานฉลองที่บ้านฉัน มีใครสภาพโทรมเหมือนมันไหม แม่ง ขี่มอไซค์มาด้วย เล่นตลกอะไร?”
เย่สวนสำลักจนพูดไม่ออก เรื่องที่ลู่เสี้ยงหยางขี่รถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ อีกอย่างแขกต่างๆที่มางานบ้านคุณลุง ขับรถหรูที่ราคามากกว่าหนึ่งล้านทั้งนั้น อย่างรถออดี้ A6 ของเธอยังน่าอายที่จะเอามาอวด
ลู่เสี้ยงหยางไม่สบอารมณ์นิดหน่อย มองเย่หยุนเทาแล้วพูดออกไป “ฉันขี่มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าแล้วยังไง ฉันชอบรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า แกขับรถแลนด์โรเวอร์ก็น่าทึ่งแล้ว? ถ้าไม่เพราะฉันเป็นคนเรียบง่าย รถโรลส์รอยซ์ก็ได้มาไม่ยาก”
พอพูดจบ เย่หยุนเทาก็อึ้งไปไม่กี่วินาที เห็นเห็นอยู่ว่าตัวเองจน ซื้อรถหรูไม่ไหว กลับยังพูดจาหยิ่งผยองเรื่องที่ตนขี่รถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า คาดว่าคงมีแค่ลู่เสี้ยงหยางคนเดียว
เสียงครื้นเครงรอบข้างก็เงียบลงไปสองสามวินาที พวกเขาเองก็ได้ยินคำพูดเพ้อเจ้อของลู่เสี้ยงหยาง
“ฮ่าฮ่าฮ่า” แต่สิ่งที่ตามมาคือเสียงหัวเราะกึกก้องดังกระแทกหู
“ไอ้เขยไร้ประโยชน์คนเดียวของตระกูลเย่ก็กล้าพูดอะไรเพ้อเจ้อขนาดนี้ คิดว่าพ่อตัวเองเป็นมหาเศรษฐีหรือไง?”
เย่สวนกับหลิวจิ้งก้มหัวลงด้วยความอับอาย ดูเหมือนว่าเป็นเพราะลู่เสี้ยงหยาง ครอบครัวของพวกเธอคงต้องถูกหัวเราะเยาะอย่างเลี่ยงไม่ได้
“แม่ง ฉันดูแล้วแกก็เป็นแค่ไอ้โง่ สภาพซอมซ่ออย่างแก คิดอยากจะขับโรลส์รอยซ์ แค่รถแลนด์โรเวอร์1.5ล้านของฉัน เงินเดือนแกเดือนนึงซื้อสกรูซักอันได้ไหม?” ใบหน้าของเย่หยุนเทาแสดงความขบขันอย่างมาก เอื้อมมือไปสะกิดหน้าอกของลู่เสี้ยงหยาง พูดเน้นทุกคำในประโยค
“ 1.5ล้าน? มีแค่ไอ้โง่อย่างแกถึงจะซื้อรถหรูปลอมๆ รถแลนด์โรเวอร์ที่แกภูมิใจนักหนา ในสายตาฉันมันต่างอะไรกับขยะ?” ลู่เสี้ยงหยางพูดเยาะเย้ยกลับ
ได้ฟังคำนั้น เย่หยุนเทาก็โกรธจนหน้าซีด
แล้วรอบตัวก็เริ่มมีเสียงหัวเราะเยาะเย้ย
“ไม่ธรรมดา สวมใส่สินค้าแผงลอยทั้งตัว ขี่รถมอไซค์ มีสิทธิ์วิจารณ์รถแลนด์โรเวอร์หรอ? ฉันก็ขับรถแลนด์โรเวอร์ ถ้ามีความสามารถก็ซื้อมาให้ฉันดูซักคันสิ”
“หือ? ไอ้งี่เง่านี่คือไอ้สวะไร้ประโยชน์ของบ้านเย่สวนไม่ใช่หรอ? เสียงหึ่งๆที่เหมือนแมลงนี่รบกวนประสาทชะมัดเลย ครอบครัวเขาไม่สนใจหน่อยหรอ? ฉันขอบอกไว้ก่อน ถ้าไอ้แมลงวันนี่ยังกวนใจฉันอีก ฉันจะกลับแล้ว”
ได้ยินเช่นนั้น เย่สวนและหลิวจิ้งถึงกับผงะ
โดยเฉพาะหลิวจิ้งที่โมโหมาก เดินก้าวออกไป จนถึงข้างลู่เสี้ยงหยาง ง้างมือฟาดลงบนใบหน้าของลู่เสี้ยงหยาง
“ลู่เสี้ยงหยาง แกมันไอ้สวะไร้ประโยชน์ที่ไม่เคยประสบความสำเร็จอะไรเลย ที่นี่ใช่ที่ที่แกจะมีปากเสียงไหม? สภาพเหมือนหมีอย่างแกยังคิดฝันถึงโรลส์รอยซ์ ไม่น่าขยะแขยงหรอ? รถมอเตอร์ไซค์ของแกก็เป็นพวกเราซื้อให้แก ในใจไม่มีสำนึกสักนิด หึ ไม่ได้จัดการแกมาสามวัน เล่นหน้าเล่นตาใหญ่แล้วใช่ไหม? ตอนนี้รีบขอโทษหยุนเทาให้ฉันเดี๋ยวนี้!” หลิวจิ้งสองมือเท้าสะเอวพูดกับลู่เสี้ยงหยางอย่างดุเดือด
ในตระกูลเย่ ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือใหญ่ ไม่กี่ปีมานี้ล้วนอยู่ในกำมือของคุณย่า เย่เจิ้งกั๋วลูกชายคนโตพูดจาน่าฟัง จัดการเรื่องต่างๆอย่างราบรื่น ได้รับความชื่นชอบจากคุณย่ามากที่สุด ลูกชายของเขาเย่หยุนเทาก็อยู่อย่างเฟื่องฟูสุขสบาย รุ่นเด็กน้อยใหญ่เจอเขาต่างก็คุกเข่าประจบประแจง
วันนี้ลู่เสี้ยงหยางมีปากเสียงกับเย่หยุนเทา ต้องทำให้เย่หยุนเทาเกลียดฝังใจแน่ ถ้าเย่หยุนเทาเอาเรื่องไปฟ้องต่อหน้าคุณย่า ครอบครัวของเขาได้อยู่อย่างสุขสบายแน่นอน
ดังนั้นหลิวจิ้งจึงไม่ลังเลที่จะจัดการลู่เสี้ยงหยาง หวังว่าจะทำให้เย่หยุนเทาลดความโกรธลง
ลู่เสี้ยงหยางลูบหน้าที่โดนตบ รู้สึกเหมือนว่าในชั่วขณะหนึ่ง หลิวจิ้งคนนี้ไม่ได้มองเขาเป็นคนแล้วจริงๆ ตบหน้าเขาต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้
“ฮ่าฮ่าฮ่า ขยะเอ้ย ตอนนี้รู้แล้วสินะว่าแกมันต่ำต้อยแค่ไหน จากนี้ก็เสแสร้งกับฉันให้มันน้อยหน่อย ไม่งั้นไม่ต้องให้ฉันลงมือ ก็มีคนจัดการกับแก” เย่หยุนเทาพ่นลมออกจมูก ขี้เกียจพูดเรื่องไร้สาระกับลู่เสี้ยงหยางต่อ จึงหันตัวไปเดินทักทายแขกคนอื่นๆ
“แกไปให้พ้นหน้าฉัน อย่าอยู่ที่นี่ทำให้พวกฉันเสียอารมณ์” หลิวจิ้งพูดด้วยใบหน้าเย็นชา
ใบหน้าลู่เสี้ยงหยางไร้อารมณ์ หันตัวเดินจากไป
เย่สวนมองแผ่นหลังที่อ้างว้างของลู่เสี้ยงหยาง จะเอ่ยปากรั้งไว้ สุดท้ายก็ส่ายหัว ทั้งครอบครัวทนเขาไม่ได้ เขาอยู่ที่นี่ก็มีแต่โดนพูดเสียดสี กลับไปก่อนยังจะดีกว่า
.....
หลังลู่เสี้ยงหยางไปได้ไม่นาน งานเลี้ยงก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ
หลังงานเลี้ยงเลิกรา แขกเหรื่อต่างก็ทยอยกลับ บ้านใหม่ของครอบครัวคุณลุงเหลือเพียงแค่คนในตระกูลเย่
หญิงชราผมหงอกแห่งตระกูลเย่ได้ประกาศการตัดสินใจครั้งใหญ่
“ทุกคน เท่าที่ฉันรู้ อีกหนึ่งอาทิตย์หลังจากนี้ หยูเม่ยหยินกรุ๊ปจะจัดงานเสวนาทางธุรกิจ บริษัทที่ได้ไปเข้าร่วม ต่างได้รับการสนับสนุนจากหยูเม่ยหยินกรุ๊ป อนาคตจะได้รับการช่วยเหลือด้านเงินทุน ตระกูลเย่ของเราในตอนนี้ไม่ได้อยู่ในรายชื่อ ดังนั้น ตอนนี้ฉันอยากให้ใครซักคนไปแสดงความเคารพกับประธานของหยูเม่ยหยินกรุ๊ป หวังว่าด้วยความจริงใจของตระกูลเย่เราจะได้เป็นหนึ่งในรายชื่อนั้น”
ได้ฟังคำพูดของเธอ ทุกคนในตระกูลเย่ต่างไม่พูดอะไร สีหน้าผิดธรรมชาติ
ช่องว่างระหว่างตระกูลเย่ของพวกเขากับหยูเม่ยหยินกรุ๊ปนั้นมากเกินไป เห็นได้ชัดว่าหยูเม่ยหยินกรุ๊ปไม่ได้เห็นตระกูลเย่ของพวกเขาอยู่ในสายตา ต่อให้ไปคุย เกรงว่าก็จะถูกปิดประตูใส่หน้า เรื่องน่าเบื่อและเสียหน้าเช่นนี้ ใครจะไปทำ
“อะไรกัน? ไม่มีใครเต็มใจ?” หญิงชราน้ำเสียงเยือกเย็น ดูเหมือนว่าจะผิดหวังมาก
เย่หยุนเทากลัวว่าหญิงชราจะมอบหมายให้เขาไป จึงรีบเสนอชื่อเย่สวน “คุณย่า เรื่องเอาอกเอาใจคนอื่น เย่สวนเก่งที่สุดไม่ใช่หรอ? ให้เธอไปสิ”
หญิงชรากลอกตา แล้วพูดว่า “ทำเรื่องนี้ได้สำเร็จ แต่ถ้าไม่ใช่ความสำเร็จที่ยอดเยี่ยม ก็ไม่มีประโยชน์ หยุนเทาหลานต้องไปทำ จะเหมาะสมกว่า”
“ก็ได้ครับคุณย่า” เย่หยุนเทาจิกทึ้งหัวตอบรับไป
เย่สวนและหลิวจิ้งที่อยู่อีกด้านหนึ่งสีหน้าเปลี่ยน นึกไม่ถึงว่าหญิงชราจะลำเอียงถึงขั้นนี้แล้ว
.....
หลังจากลู่เสี้ยงหยางโมโหออกมาจากบ้านของคุณลุงเย่เจิ้งกั๋ว เดิมคิดจะกลับไปที่หยูเม่ยหยินกรุ๊ป ระหว่างทางได้รับโทรศัพท์จากซุนเซียงเซียง บอกว่าจะไปคุยกับหลิวผิงหุ้นส่วนภายใต้บริษัทเกี่ยวกับความร่วมมือ ลู่เสี้ยงหยางรู้สึกว่าตนเองอารมณ์ไม่ดี จึงถามที่อยู่แล้วตามไป
ในขณะเดียวกัน เย็นนี้แฟนหนุ่มของไป๋สู้สู้จะต้องไปคลับดีโอราเพื่อพูดคุยเรื่องธุรกิจกับลูกน้องของคุณชายใหญ่คนหนึ่ง เห็นว่าคุณชายใหญ่ก็จะมาด้วยตัวเอง เธอก็ไม่มีธุระพอดี จึงไปถึงคลับดีโอราล่วงหน้าเพื่อเดินเล่น รอแฟนหนุ่ม ไม่แน่อาจได้เจอกับคุณชายใหญ่คนนั้น
แต่นึกไม่ถึง พึ่งจะเดินเข้างานก็เห็นลู่เสี้ยงหยาง
ความรู้สึกรังเกียจเหยียดหยามในใจ ไม่อาจอธิบายออกมาเป็นคำพูด ทุกครั้งที่เจอลู่เสี้ยงหยาง ก็เหมือนเธอเจอเข้ากับกองขยะ
เธอเดินไปข้างหน้าลู่เสี้ยงหยางอย่างรวดเร็ว ไป๋สู้สู้ยิ้มหน้านิ่งแล้วพูดว่า “ว้าย ฉันก็คิดว่าใคร? นึกไม่ถึงว่าจะเป็นนาย ลู่เสี้ยงหยาง ไปเอาความกล้ามาจากไหน กล้ามาใช้จ่ายในที่ระดับสูงขนาดนี้? เงินในกระเป๋านายที่ได้ไม่กี่ร้อยต่อเดือน สั่งเบียร์ของที่นี่ได้ซักแก้วไหม?”
พอพูดจบ ซุนเซียงเซียงที่ยืนอยู่ข้างลู่เสี้ยงหยางก็บีบมือแน่น ใบหน้าสวยงามเผยความเย็นชา เพราะลู่เสี้ยงหยางไม่ได้แสดงอาการอะไร เธอจึงสั่งสอนไป๋สู้สู้โดยไม่ได้รับอนุญาตไม่ได้
ไม่อย่างนั้น ตอนนี้ใบหน้าของไป๋สู้สู้คงเต็มไปด้วยรอยฝ่ามือแล้ว
ลู่เสี้ยงหยางไม่ได้สนใจคำพูดของไป๋สู้สู้ แต่กลับพูดขำๆตอบ “ฉันจำได้ เธอยังขาดอีกเรื่องนึงที่ยังไม่ได้ทำ”
ไป๋สู้สู้โมโหฉุนเฉียวขึ้นมาทันที เรื่องๆนั้นคืออะไร เธอรู้อยู่แก่ใจ
ตอนแรกเธอกับลู่เสี้ยงหยางได้เดิมพันกันไว้ ถ้าลู่เสี้ยงหยางสามารถหาเงินหนึ่งแสนมาได้ เธอจะยอมล้างเนื้อล้างตัวขึ้นเตียงของลู่เสี้ยงหยางแทนเย่สวน แต่คิดไม่ถึงว่าในที่สุดลู่เสี้ยงหยางจะหาเงินมาได้สิบล้าน
“ไอ้โง่ เล่นตลกอะไร ไปนั่งแช่ฉี่แล้วดูสภาพตัวเองเถอะ หญิงแก่เลี่ยมทอง นายจ่ายไหวไหม?” ไป๋สู้สู้เอื้อมมือไปชี้หน้าอกของลู่เสี้ยงหยาง เน้นคำพูดทุกคำ
ลู่เสี้ยงหยางขำแต่ไม่ได้พูดอะไร พอตอนที่กำลังจะพูด เสียงหัวเราะกึ่งก้องของชายคนหนึ่งก็ดังสะท้อนขึ้นมา
“ฮ่าฮ่า คิดไม่ถึงเลยจริงๆ พอฉันมาถึงก็ได้เจอคนคุ้นเคยเลย” ชายร่างสูงใหญ่บึกบึนสวมชุดสูท เดินเข้ามา
“พี่เสือ”
ไป๋สู้สู้รู้จักชายร่างสูงที่อยู่ตรงหน้า จึงยิ้มทักทาย
ชายร่างสูงที่ถูกเรียกว่าพี่เสือ ถือโอกาสกอดไป๋สู้สู้ไปหนึ่งที แล้วพูดอย่างยิ้มแย้ม “คุณชายหลิวของพวกเราตอนนี้ยังอยู่ข้างบนทำธุระส่วนตัว อีกเดี๋ยวก็ลงมา ฉันลงมาเชคดูก่อน ว่าไอหนุ่มคนไหนกล้าหลับหูหลับตามาเหยียบพื้นที่ของคุณชายหลิวของเรา
หลังพูดจบ เขาก็ยิ้มให้ไป๋สู้สู้แล้วพูดต่อ “แฟนของเธอยังไม่มาหรอ? เย็นวันนี้เขานัดฉันมาคุยเรื่องสำคัญ แต่ไม่รู้ว่าเรื่องอะไร ฉันจะได้เงินเท่าไหร่เนี่ย?”
ไป๋สู้สู้เผยรอยยิ้ม พูดอย่างสุภาพว่า “พี่เสือไม่ต้องกังวลใจ รอแฟนของฉันมาถึงก็จะได้รู้แล้ว แต่ก่อนหน้านั้น ฉันอยากขอให้ช่วยฉันเรื่องนึง”
“คุณไป๋เชิญพูดมาเลย คนกันเองทั้งนั้นอย่าได้เกรงใจ” พี่เสือพูดพลางโบกมือ
“ค่ะ” ไป๋สู้สู้ยิ้มเหี้ยมโหด ชี้ไปที่ลู่เสี้ยงหยางแล้วพูดว่า “เมื่อกี้ไอ้โรคจิตนี่บอกว่าอยากนอนกับฉัน รบกวนพี่เสือบอกกับเขาที นอนกับฉันต้องจ่ายเป็นอะไร?”
พี่เสือแสยะยิ้ม เหลือบมองไปที่ลู่เสี้ยงหยาง แล้วพูดอย่างออกรสว่า “ใจกล้าไม่เบา คืนนี้ฉันจะทำให้แกกลายเป็นขันทีคนสุดท้าย”
เมื่อเสียงแผ่วลง เขาหยิบเครื่องรับส่งวิทยุขึ้นมาแล้วคำราม จากนั้นชายร่างใหญ่บึกบึนกว่าสิบคนก็รีบร้อนวิ่งมาทันที
สายตาของเขาเหลือบไปที่ร่างกายของลู่เสี้ยงหยาง แล้วส่ายหัว “คืนนี้ฉันจะหักขาสามท่อนของแกก่อน แล้วหักข้อต่อบนตัวแกทีละท่อน ให้แกนอนอยู่บนเตียงไปตลอดชีวิต หวังว่าแกจะได้บทเรียน รู้ว่าคนแบบไหนที่สวะแบบแกไม่ควรเข้าไปยุ่ง”