บทที่ 14 ปิ่นปักผมของซูสีไทเฮา
บทที่ 14 ปิ่นปักผมของซูสีไทเฮา
เมื่อได้ยินคำพูดของเย่หยุนเทา สายตาของทุกคนก็มองมาที่ลู่เสี้ยงหยาง ด้วยสีหน้านึกสนุก ของขวัญของไอ้หน้าอ่อนนี้จะเป็นอะไรไปได้ล่ะ ก็คงเป็นสินค้าแผงลอยล่ะสิไม่ว่า
เมื่อจางติ่งเทียนเห็นนายลู่ก็เริ่มมีน้ำโห อดที่จะด่าออกมาไม่ได้ว่า “ไอ้งั่ง ถ้าเป็นแค่ของข้างทางก็อย่าหยิบออกมาให้เสียลูกกระตาเลย แน่จริงซื้อคฤหาสน์ให้ท่านย่าอยู่สุขสบายเหมือนที่ฉันทำสิ”
ลู่เสี้ยงหยางไม่สนใจเขา แต่กลับล้วงหยิบกล่องขนาดเท่าฝ่ามือออกมาจากกระเป๋า จากนั้นก็เดินเข้าไปยื่นให้ท่านย่า
“คุณย่าครับ ขอให้สุขภาพแข็งแรง สมดังปรารถนาทุกอย่างนะครับ”
ท่านย่าไม่แม้แต่จะหันมองลู่เสี้ยงหยาง บนใบหน้ามีแต่ความเย็นชา เพราะของขวัญที่ลู่เสี้ยงหยางให้มาถ้าเทียบกับขยะแล้ว ขยะยังจะดูดีกว่าอีก
กล่องมันดูผุพังเสียเหลือเกิน ขนาดสีกล่องก็ยังหลุดออกมาเกือบจะหมด
สภาพเหมือนขยะขนาดนี้ ข้างในก็คงเป็นขยะเหมือนกันแน่ๆ
“ไอ้หยา ไหนดูซิ ของแปลกๆอะไรอีกล่ะ? ของนำเข้าหรือเปล่า” เย่หยุนเทาหัวเราะออกมาเสียงดัง
“ลู่เสี้ยงหยาง ของชิ้นนี้นายเก็บมาจากขยะหรือเปล่า?” เย่ซวงขำจนน้ำตาแทบเล็ด
ชั่วขณะ เสียงจู่โจมก็ดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
สีหน้าของเย่สวนกับหลิวจิ้งเริ่มเดือด เมื่อถูกผู้คนแลบลิ้นใส่อย่างเยาะเย้ย
จางติ่งเทียนหัวเราะเยาะออกมา จากนั้นก็เริ่มพูดจายุยงขึ้นมาว่า “ท่านย่า ทำไมไม่เปิดกล่องดูล่ะครับ จะได้รู้ว่าข้างในเป็นอะไร บางทีอาจเป็นของโบราณก็ได้นะครับ”
“ก็แค่ขยะ ไม่มีอะไรให้ดูหรอก” ท่านย่าส่ายหน้า ความประทับใจที่มีต่อลู่เสี้ยงหยางดิ่งลงเหว
“คุณย่า ที่ประธานจางพูดมาก็ถูกนะครับ คุณย่าลองเปิดดูเถอะครับ” เย่หยุนเทาพูดใส่ไฟ
“ก็ได้ ถ้าทุกคนอยากรู้ งั้นเปิดดูก็ได้” ท่านย่าสะบัดมือ
และของขวัญของลู่เสี้ยงหยางก็ถูกเปิดออก ภายใต้ใบหน้าขบขันของเย่หยุนเทา
ทันใดนั้นปิ่นหยกหักๆอันหนึ่งก็ปรากฏสู่สายตาของทุกคน
ชั่วขณะ ทุกคนก็พากันตะลึง สมองพลันหยุดแล่น
ให้ตาย! ไม่ใช่แค่ของข้างทางธรรมดา แต่ยังเป็นของข้างทางที่พังไปแล้วเนี่ยนะ!
พรืด!
ท่านย่าพ่นน้ำชาที่กำลังดื่มเข้าไปออกมา จากนั้นก็สำลักไออย่างรุนแรง
บ่งบอกได้ว่าเธอกำลังโกรธอย่างแรง เศษสวะอย่างลู่เสี้ยงหยางจงใจยั่วโมโหเธองั้นเหรอ?
“ว้าว ของขวัญชิ้นนี้แปลกแหวกแนวจริงๆ คนปกติเขาไม่ให้เป็นของขวัญกันนะแบบนี้” เย่หยุนเทาส่ายหัวรัวๆ แล้วพูดเติมเชื้อเพลิงให้ความโกรธของคุณย่ายิ่งรุนแรง
“เหอะๆ สมกับเป็นเศษสวะเลยนะ ไม่ไว้หน้าคุณย่าเลยเหรอ ถึงได้ให้ขยะมาเป็นของขวัญแบบนี้” เย่ซวงยิ้มเย็น
“ให้ตายเถอะ ไม่เข้าใจหัวสมองโง่ๆของนายเลยจริงๆ อยู่ไปก็สิ้นเปลืองอาหารเปล่าๆ แม้แต่หมาตัวหนึ่งก็เทียบไม่ติด นายจะอยู่ไปทำไมนะ?” จางติ่งเทียนชี้หน้าลู่เสี้ยงหยาง แล้วด่าออกมาอย่างหนักหน่วง
แต่ทว่าในตอนที่ทุกคนกำลังหัวเราะเยาะลู่เสี้ยงหยางอยู่นั้น กลับมีชายแก่คนหนึ่งเบิกตากว้าง จ้องปิ่นปักผมหักๆอันนั้นตาค้าง
ชายแก่คนนั้นก็คือจางเทียนเฉิง ฉายาคือตาจางหัวโบราณ และที่บ้านก็เปิดร้านขายของโบราณ เป็นที่เลื่องลือในเรื่องของเก่าแก่ ทั้งยังแยกแยะของโบราณชิ้นต่างๆได้เป็นอย่างดี
ครั้งหนึ่งเคยไปออกรายการเกี่ยวกับการประเมินสิ่งล้ำค่า กล่าวได้ว่าเป็นหนึ่งในบุคคลที่มีเลื่องลือในแวดวงสะสมของโบราณเป็นอย่างมาก
ตอนนี้ถ้าเขามองไม่ผิด ปิ่นปักผมหักๆอันนั้นของลู่เสี้ยงหยางต้องเป็นโบราณวัตถุแน่ๆ และเป็นปิ่นหยกที่ซูสีไทเฮาชอบใช้ เมื่อเริ่มมีคนต่างชาติเข้ามาไล่ล่าอาณานิคม ระหว่างการลี้ภัย ปิ่นปักผมอันล้ำค่าที่เป็นที่โปรดปรานที่สุดของแม่นางก็ล่วงลงบนพื้นจนแตกหัก หลังจากนั้นเป็นต้นมา ซูสีไทเฮาก็ไม่ค่อยใช้ปิ่นปักผมอีก
เป็นที่รู้เห็นกันดีว่าปิ่นปักผมอันนี้อยู่มาตลอดการเปลี่ยนแปลงยุคสมัย ฉะนั้นจึงมีราคามากกว่าโบราณวัตถุทั่วๆไป
ถ้าประมาณราคาคร่าวๆ ราคาของปิ่นปักผมอันนี้ก็น่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบล้าน
“เดี๋ยวก่อน ท่านย่า ปิ่นปักผมอันนี้ไม่ธรรมดานะ......” จางเทียนเฉิงเอ่ยปากพูดออกมาทันที
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้พูดจบ ก็ถูกท่านย่าโบกมือตัดบท “ใช่ ไม่ธรรมดา เพราะนี่มันขยะ คุณไม่ต้องพูดประชดประชันอะไรอีกแล้ว”
จางเทียนเฉิงและท่านย่าเป็นเพื่อนที่รู้จักกันมาหลายปี เวลาปกติจางเทียนเฉิงก็ชอบเล่นมุก ท่านย่ารู้ว่าเขากำลังจะเล่นมุกอะไรสักอย่างเพื่อเหน็บแนมเธอ ดังนั้นจึงห้ามไม่ให้เขาพูดอะไรต่อ
จางเทียนเฉิงไม่ทน ดูเหมือนว่าเขากำลังถูกเข้าใจผิด แต่เมื่อเห็นสีหน้าไม่สบอารมณ์ของท่านย่า เขาก็ไม่กล้าพูดอะไรต่อ
ทางด้านจางติ่งเทียน คิดว่าคฤหาสน์ราคาสามสิบล้านของตัวเองยอดเยี่ยมที่สุดแล้ว จึงข่มลู่เสี้ยงหยางอย่างเต็มกำลัง
“ไอ้หนู หัดรู้จักเจียมเนื้อเจียมตัวด้วยนะ ว่านายคู่ควรกับเย่สวนหรือเปล่า? ถ้ารู้ตัวว่าไม่ล่ะก็ รีบไสหัวไปซะเร็วๆ”
เมื่อได้ยินดังนี้ สีหน้าของเย่สวนก็ยิ่งบูดบึ้งจนดูไม่ได้ ถลึงตาใส่จางติ่งเทียนแล้วพูดว่า “หุบปากไป ลู่เสี้ยงหยางคือสามีของฉัน คุณไม่มีสิทธิ์มาพูดแบบนี้”
ลู่เสี้ยงหยางปลื้มใจ มองไปทางจางติ่งเทียนแล้วพูดยิ้มๆว่า “เห็นหรือยัง ภรรยาของผมกำลังปกป้องผม คุณคิดว่าคุณเป็นใคร ถึงมีสิทธิ์มาชี้นิ้วสั่งผมยังไงก็ได้”
จางติ่งเทียนแค่นยิ้มออกมา “สมกับเป็นเศษสวะที่ไม่เอาไหน ถึงได้เอาแต่หลบหลังผู้หญิงอยู่อย่างนี้”
ลู่เสี้ยงหยางพูดออกมานิ่งๆว่า “คุณถูกไล่ออกจากหย่งหยวนกรุ๊ปแล้วไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้ก็เป็นได้แค่หมาจนตรอก ไปเอาความกล้าจากไหนมาเห่า?”
แม้ว่าลู่เสี้ยงหยางจะไม่ได้พูดเสียงดัง แต่กลับทำให้ทุกคนในบริเวณนั้นได้ยินทั้งหมด
ทุกคนตกตะลึงในทันที จางติ่งเทียนเป็นประธานหย่งหยวนกรุ๊ปไม่ใช่เหรอ? จะถูกไล่ออกจากหย่งหยวนกรุ๊ปได้ยังไงล่ะ?
ต่อมาหลายคนก็คิดว่าลู่เสี้ยงหยางก็แค่หมาบ้าที่เที่ยวไล่กัดคนไปทั่วเท่านั้นเอง
“ลู่เสี้ยงหยาง อย่าพูดไปทั่ว” เย่สวนกระตุกมือของลู่เสี้ยงหยางเบาๆ
“หึ ลู่เสี้ยงหยาง ถ้าแกยังพูดอะไรไร้สาระอีกก็ไสหัวออกไปซะ” หลิวจิ้งเหยียบลงบนเท้าของลู่เสี้ยงหยาง พูดเสียงเบาพร้อมกับขู่ทางสายตา
แต่ลู่เสี้ยงหยางกลับทำเป็นไม่ได้ยิน พูดกับคนรอบๆว่า “พวกคุณโม้ไว้ว่าสังคมของตัวเองกว้างขวางข่าวสารว่องไวกันนักไม่ใช่เหรอ? เรื่องที่ผมพูด มันจะจริงหรือเท็จถ้าตรวจสอบดูก็น่าจะรู้แล้วนะ”
เย่หยุนเทาชอบให้ลู่เสี้ยงหยางทำเรื่องขายหน้า ดังนั้นจึงอาสาลุกขึ้นมาเป็นคนแรก “ได้ ไอ้ไร้ประโยชน์ ฉันจะตรวจสอบเอง ถ้าสิ่งที่นายพูดมามันไม่จริง ฉันจะซัดปากนายให้แตก แล้วจับโยนออกไปซะ”
แต่ทว่ายังไม่ทันที่เขาจะได้ทำอะไร จางติ่งเทียนก็เอ่ยขัดขึ้นมาว่า “ทุกคนไม่ต้องหรอกครับ ผมออกจากหย่งหยวนกรุ๊ปจริงๆ แต่ไม่ใช่ว่าผมถูกไล่ออก ผมแค่ขายสิทธิ์ถือหุ้นทั้งหมดออกไปเท่านั้นเอง”
ว่าไงนะ? เมื่อได้ยินแบบนี้ ทุกคนก็พากันงงงวย จางติ่งเทียนกำลังไปได้ดีในหย่งหยวนกรุ๊ปไม่ใช่เหรอ? ตำแหน่งสูงถึงท่านประธาน แล้วทำไมถึงออกจากหย่งหยวนกรุ๊ปล่ะ?
ราวกับอ่านความคิดของทุกคนออก จางติ่งเทียนทอดถอนหายใจออกมา มองไปทางเย่สวนแล้วพูดว่า “และใช่ครับ ผมทำแบบนี้ก็เพื่อเธอ”
เย่สวนรู้สึกสะอิดสะเอียน พูดขึ้นมาว่า “คุณอย่ามาพูดให้ตัวเองดูดีหน่อยเลย ฉันกับคุณสนิทกันขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“เฮ้อ” จางติ่งเทียนถอนหายใจออกมา “สร้อยที่คุณใส่อยู่บนคอคือจูบแห่งเทพธิดา ใช่ไหม?
เย่สวนพยักหน้า “ใช่” เธอเองก็ค้างคาอยู่ในใจ ใครเป็นคนให้จูบแห่งเทพธิดากับเธอนะ
ห๊ะ?!!!
รอบข้างฮือฮาขึ้นมาอีกครั้ง ทั่วโลกมีจูบแห่งเทพธิดาอยู่แค่สองเส้น แต่ละเส้นราคาก็ร้อยล้านขึ้น
คิดไม่ถึงว่าเย่สวนจะมีสร้อยคอแพงขนาดนี้
เย่ซวงแทบอยากจะควักลูกตาออกมา จูบแห่งเทพธิดาเป็นสร้อยที่เธอปรารถนาอยากได้มาตลอด ไม่คิดเลยว่าจะตกไปอยู่ในมือของเย่สวนแล้วเส้นหนึ่ง
“เหอะๆ ที่ผมขายสิทธิ์ผู้ถือหุ้นทั้งหมดของหย่งหยวนกรุ๊ป ก็เพราะว่าจูบแห่งเทพธิดาเส้นนี้ไม่ใช่หรือไง? วันนั้นผมส่งของก็อบไปให้คุณ แต่คุณไม่เอา ผมก็เลยตัดสินใจซื้อของจริงมาให้คุณ” จางติ่งเทียนพูดออกมาอย่างน่าเชื่อถือ
แม่งสิ!
ลู่เสี้ยงหยางพูดไม่ออก นับถือความหน้าหนากว่ากำแพงของจางติ่งเทียนจริงๆ เขาเป็นคนให้จูบแห่งเทพธิดากับเย่สวนแท้ๆ ทำไมความดีความชอบถึงถูกจางติ่งเทียนแย่งไปหน้าตาเฉยล่ะ
แต่ทว่า ก็ต้องยอมรับจริงๆนั่นแหละ ว่าจางติ่งเทียนทำการบ้านมาดีจริงๆ ถึงขนาดรู้ว่าเย่สวนครอบครองจูบแห่งเทพธิดาของแท้ ทั้งยังรู้เรื่องที่ เย่สวนยังไม่รู้ว่าใครเป็นคนส่งจูบแห่งเทพธิดาให้กับเธอกันแน่
เฮ้อ!
ทุกคนต่างสูดลมหายใจเข้ายกใหญ่ มองไปที่จางติ่งเทียนอย่างเหลือเชื่อ พ่อหนุ่มนี้จะบ้าไปแล้ว แค่อยากให้เย่สวนชอบใจ ถึงขนาดขายบริษัททิ้งเลยเหรอ? แต่ก็นะใครๆก็มองออกว่าความรู้สึกที่เขาที่ต่อเย่สวนมันจริงใจมากแค่ไหน
หลายคนเริ่มอิจฉาเย่สวนที่มีคนมาตามจีบแบบนี้ อย่างกับพระเอกในนิยายแหนะ
เย่สวนเงียบไปกะทันหัน การที่จางติ่งเทียนให้จูบแห่งเทพธิดาราคาร้อยล้านกับเธอ ทำให้เธอไม่รู้ว่าควรรับมืออย่างไรดี แม้ว่าข้างในจะรู้สึกประทับใจนิดๆหน่อยๆก็ตาม
หลิวจิ้งแย้มรอยยิ้มออกมา นี่สิถึงจะเป็นลูกเขยในอุดมคติของเธอ
“ประธานจาง คุณใจกล้ามาก ฉันขอบคุณแทนลูกสาวฉันจริงๆ” หลิวจิ้งยิ้มเบิกบาน
จางติ่งเทียนโบกมือเป็นพัลวัน ปากก็พูดว่าไม่เป็นไรๆ แต่ดวงตากลับจ้องหลิวจิ้งอย่างไม่คิดย้ายหนี
แม้ว่าหลิวจิ้งจะอายุสามสิบกว่าปีแล้ว แต่เพราะว่าเธอดูแลร่างกายเป็นอย่างดี จึงทำให้ดูเผินๆแล้วเหมือนคนยี่สิบกว่าๆ เหมือนไม่ใช่แม่ของเย่สวนเลยสักนิด แต่เหมือนเป็นพี่สาวซะมากกว่า
อีกอย่างเธอก็มีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเย่สวน ชุดที่ใส่ก็ดูเซ็กซี่มากกว่าเย่สวนเป็นไหนๆ
ท่อนบนสวมใส่เสื้อเชิ้ตรัดรูป ท่อนล่างสวมใส่กระโปรงสั้นพร้อมถุงน่องสีดำ ดูล่อตาล่อใจเป็นอย่างมาก
“คุณย่า ในเมื่อประธานจางจริงใจถึงขนาดให้สร้อยคอราคาแพงกับเย่สวน ไหนจะให้คฤหาสน์แสนหรูหรากับคุณย่าอีก ทำไมคุณย่าไม่ลองพิจารณาให้ประธานจางมาเป็นเขยตระกูลเย่แทนคนไม่เอาไหนอย่างลู่เสี้ยงหยางล่ะครับ” เย่หยุนเทาหัวเราะเหอะๆออกมา
เมื่อเห็นว่าลู่เสี้ยงหยางกำลังไม่สบอารมณ์ขอแค่ได้พูดเหยียบย่ำลู่เสี้ยงหยาง ไม่ว่ามันจะสมเหตุสมผลหรือไม่ เขาก็ไม่สน