EP 4
“ค่ะ”
“ปะพวกเรา อิ่มแล้วก็เริ่มงานได้”
ประกายพรึกเลื่อนชามข้าวต้มเปล่าชามที่สองออกห่างตัว แล้วหันไปหาเพื่อนๆ ที่ต่างอาสามาช่วยขนของ และแวะเที่ยวระหว่างทางเมื่อวานนี้ทันที ประจวบเหมาะกับเพื่อนบ้านทั้งใกล้และไกล ที่รู้จักผู้อำนวยการใจดีมีเมตตาต่อชาวบ้าน ต่างก็พากันมาช่วยด้วยความเต็มใจ
ไม่ถึงสองชั่วโมง บ้านก็เหลือแต่ความว่างเปล่า เจ้าของใหม่ที่ซื้อต่อในราคามิตรภาพ ก็มายืนโบกมือลาเจ้าของเดิมเรียบร้อยแล้ว ประกายพรึกกับชยางกูรนั่งรถกระบะคันที่ขับมา เพื่อนอีกสองคน ขับรถของดุจดาว ที่ตอนนี้นั่งอยู่ในรถของสามีแล้ว ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนนั่งกับบุญสมตรงเบาะหลัง
“ถ้าพร้อมแล้วก็ไปกันเลยนะสาวๆ”
ประพฤกษ์เอ่ยติดตลกนิดๆ พร้อมกับโบกมือลาเพื่อนบ้านที่ต่างมายืนรอส่งเป็นทิวแถว ประกายฟ้าอดมองหาเพื่อนไม่ได้ ไม่นานก็เห็นเจนจิราปั่นจักรยานมากับเพื่อนผู้หญิงสามคน
“ฟ้าไปแล้วเหรอ! ลาก่อนนะ ไว้จะเขียนจดหมายไปหานะ!” ปากก็ร้องสั่งลา ตาก็มองรถ มือก็คอยโบกมือลาตรงสามแยก
“เราจะรอนะเจน! บ๊ายบาย!”
ประกายฟ้าเลยยกมือโบกลาด้วยอาการใจหายไม่น้อยที่จะไม่ได้เจอหน้าเพื่อนอีกแล้ว ใบหน้านั้นก็เปื้อนยิ้ม ทว่าน้ำตานั้นกลับไหลออกมา ตัวก็โผล่ออกนอกหน้าต่าง หันมองเพื่อนควบคู่กับการโบกมือ จนรถเลี้ยวออกถนนใหญ่
“น้องฟ้าเข้ามานั่งได้แล้วลูก อันตราย”
ดุจดาวส่งเสียงนุ่มหูไปหาด้วยความห่วง หลังจากปล่อยให้ลูกโผล่ตัวออกนอกหน้าต่างรถสักครู่แล้ว พอลูกกลับเข้ามานั่งแล้ว ก็หันไปบอกสามีเอากระจกขึ้นทันที
“ไปก่อนนะภูคา โอกาสหน้าค่อยเจอกันใหม่”
บุญสมเอ่ยติดตลกนิดๆ แม้จะอยู่บ้านนี้ถึงสามปี แต่กลับไม่รู้สึกใจหายสักนิดตอนจากไป เพราะอยากจะไปเห็นแสงสีในเมืองกรุงที่ตัวเองคุ้นเคยเต็มที ผิดกับสาวน้อยประกายฟ้าคนละเรื่อง แม้กายจะกำลังห่างสถานที่ที่เพิ่งมาอยู่ได้แค่สามปี
แต่ใจนั้นกลับยังคงวนเวียนอยู่บริเวณนั้นไม่หายหาย โดยเฉพาะในโรงเรียนที่คุณปู่กับคุณย่าเคยบอกก่อนจะย้ายมาว่า ‘ไกลปืนเที่ยง’ ใบหน้าของผองเพื่อนทุกคนยังลอยเด่นในความทรงจำ โดยเฉพาะคนชื่อ ‘วิชชากร วงศ์กตัญญู’ นั้นชัดเจนแจ่มแจ้งยิ่งกว่าใครๆ
หนุ่มน้อยนามปองคุณ พยายามเร่งสองขาให้ปั่นจักรยานคู่กายเร็วสุดเท่าที่จะทำได้ แต่ก็ไม่อาจตามเก๋งคันงามของอดีตผู้อำนวยการที่เขาให้ความเคารพนับถือไม่ต่างจากคนในหมู่บ้านเลยได้ทัน
เลยปล่อยจักรยานให้ล้มลงตรงทางเท้าด้วยความผิดหวังครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตก็ว่าได้ และเจ็บใจตัวเองที่ดันรู้ข่าวช้ากว่าใคร เพราะมัวแต่ไปช่วยลุงกับป้าดูน้ำในนาข้าวตั้งแต่เช้ามืด ระหว่างทางเห็นเจนจิรากับแตนปั่นจักรยานอยู่
“ไปไหนกันวะเจน”
“ไปส่งฟ้าไง”
“ฟ้าไปวันนี้เหรอ เราจะได้ไปช่วยขนของ” เขาถามเสียงสูง
“ไม่ต้องแล้ว มีคนมาช่วยเพียบ”
“งั้นเราจะไปดูก่อน” เขากำลังจะปั่นจักรยานไปยังบ้านที่คุ้นดี เพราะมักจะปั่นไปเล่นแถวนั้นทุกครั้งเมื่อมีโอกาส แม้ไม่ได้เห็นหน้าประกายฟ้าก็ขอให้ได้เห็นหลังคาบ้านเป็นพอ
“ดูอะไรล่ะ ฟ้าไปแล้ว ป่านนี้คงออกถนนใหญ่แล้วมั้ง”
“จริงเหรอ ทำไมไม่บอกล่ะวะ”
พอรู้ก็รีบออกแรงปั่นเร็วสุดชีวิต แต่ก็ยังช้าไปอยู่ดี เขามาไม่ทันได้เห็นหน้าประกายฟ้าเป็นครั้งสุดท้าย มือก็บีบนวดน่องทั้งสองข้าง เพราะปวดจากการรีบปั่น น้ำตานั้นก็ไหลรินลงเมื่อรู้สึกเจ็บใจกับหลายต่อหลายอย่าง
เริ่มตั้งแต่เจ็บใจพี่ๆ ลูกของลุงป้า ที่ไม่ยอมตื่นไปช่วยงานในนาจะได้เสร็จเร็วๆ จะได้กลับเข้าบ้านเร็วๆ และคงได้ข่าวเร็วกว่านี้หน่อย เจ็บใจเจนจิรากับเพื่อนอีกสองคนที่ทำไมไม่ไปบอกกันบ้าง อุตส่าห์สั่งไว้แล้วว่าถ้ารู้ข่าวให้รีบไปบอก
เจ็บใจพ่อแม่ที่มาด่วนจากไป ทำให้เขาต้องกลายเป็นกำพร้า และต้องไปอาศัยอยู่กับลุงป้าที่ใช้งานหลานอย่างเขาราวกับทาสก็ไม่ปาน เรียกได้ว่าแทบจะไม่ให้มีเวลาได้พักด้วยซ้ำ
“ลาก่อนนะฟ้า สัญญาว่าเราจะไปหาฟ้าอีกแน่นอน”
หนุ่มน้อยรูปร่างผ่ายผอม ผิวดำคล้ำปาดน้ำตาออกจากแก้มทั้งสองข้าง แล้วประคองจักรยานคู่กายขึ้น ปั่นกลับบ้านด้วยท่าทีเหงาหงอย
“ไปไหนมาวะไอ้ปอง แล้วเป็นอะไร ทำหน้ายังกับพ่อแม่มึงตายรอบสองงั้นล่ะ” ลุงทักขึ้น
“นั่นสิพี่ เป็นอะไรมึง” ป้าสะใภ้ก็ทักตาม
“สงสัยมันโกรธที่ได้ไปนาแทนผมมั้งแม่ ใช่มั้ยวะไอ้ปอง” ลูกคนโตของลุงก็ทักแกมเยาะเย้ยบ้าง
แต่คนกำลังเสียอกเสียใจไม่สน และไม่คิดจะคุยด้วย ทิ้งจักรยานได้ก็ตรงเข้าห้องเก็บของ ที่มีพื้นที่เหลือเท่าแมวดิ้นตายกับมีฟูกบางๆ ปูนอนเท่านั้น สมุดลายไทยธรรมดาๆ ของฟรีจากโรงเรียนนั้น หนุ่มน้อยเรียกมันว่าเป็นเฟรนด์ชิป
มันถูกเปิดไปยังหน้าที่มีรูปนางสาวประกายฟ้า ภัทรปรีชาแปะอยู่ทันที หยดใสๆ ไหลรินออกมาอีกครั้ง เมื่อมองไปยังสาวน้อยหน้าตาน่ารัก ในชุดกางเกงขาสั้นสีขาวเสมอเข่ากับเสื้อยืดพอดีตัวสีชมพูยืนอยู่ริมหาดขาวสะอาดตา เบื้องหลังคือผืนน้ำสีฟ้าคราม ที่เขายังไม่มีโอกาสได้ไปเห็นแม้แต่ครั้งเดียว
เขาทิ้งตัวลงนอนเมื่อรู้สึกเจ็บแปลบๆ ตรงแผงอก ผ้าห่มผืนเก่ากลิ่นตุๆ ถูกคว้ามากอดเอาไว้ แล้วปล่อยให้น้ำตาแห่งความน้อยเนื้อต่ำใจไหลพรั่งพรูออกมา รู้ดีว่าประกายฟ้านั้นอยู่สูงกว่าตัวเองมากแค่ไหน
แต่ก็ไม่เคยห้ามใจไม่ให้คิดถึงได้ ไม่เคยห้ามตาไม่ให้มองได้ ไม่เคยห้ามสองขาไม่ให้เดินเข้าใกล้ได้ และไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ เขาจะลบชื่อ ประกายฟ้า ภัทรปรีชา ออกไปจากใจหรือจากความทรงจำได้ รู้แต่ว่าตอนนี้เจ็บปวดหัวใจเหลือเกิน เจ็บจนไม่รู้จะหาอะไรมาเทียบเทียมได้