บท
ตั้งค่า

EP 3

แล้วอาการพูดไม่ออกเมื่อเจอหน้าเขานั้นมันเกิดขึ้นตอนไหนกันนะ อาการใจเต้นรัวเร็วและแรงเวลาเห็นหน้าหรือได้อยู่ใกล้เขา มันเกิดขึ้นเมื่อไหร่กันอีก ไม่ว่าจะนั่งคิด นอนคิดยังไง ก็หาจุดเริ่มต้นของความรู้สึกแปลกประหลาดนี้ไม่ได้สักที

แล้วเขาล่ะ จะรู้สึกแบบเดียวกันบ้างไหม อาการเงียบขรึม ไม่พูดด้วย ไม่มองมาเวลาได้ใกล้กันของเขา มันมาจากสาเหตุเดียวกันไหม หรือเขาขัดเคือง หรือมีอะไรที่ทำให้เขาไม่พอใจ ถึงไม่เคยเดินมาคุยด้วย ทำกิจกรรมก็เลี่ยงไปเข้ากลุ่มอื่น กินข้าวก็เลี่ยงไปนั่งโต๊ะไกลๆ มันเป็นเพราะอะไรกันแน่นะ

“หลังๆ นี่ไม่เห็นฟ้าคุยกับไอ้ป้องเลย ทำไมเหรอ มันทำอะไรให้ไม่พอใจหรือเปล่า”

เป็นคำถามจากเจนจิรา หนึ่งในห้าของเพื่อนที่สนิทกัน หลังย้ายมาเรียนมัธยมต้นได้ไม่ถึงปี

“เปล่าจ้ะ แค่คุณแม่กับคุณพ่อไม่ค่อยชอบให้เราคุยกับนักเรียนชาย”

จำได้ว่าแก้ตัวไปแบบนั้น อันที่จริงก็ไม่ใช่การแก้ตัวนัก เพราะคุณพ่อคุณแม่ หรือแม้กระทั่งคุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยาย ก็ไม่อยากให้คุยกับเพื่อนนักเรียนชายมาแต่ไหนแต่ไรแล้วจริงๆ หากไม่มีเหตุจำเป็นหรือไม่ได้ทำกิจกรรมร่วมกัน

“แต่ฟ้าก็คุยกับไอ้ปองนี่นา แล้วก็คุยกับเพื่อนผู้ชายในห้องแทบทุกคนด้วย ยกเว้นก็ป้องเท่านั้น”

“ก็ถ้าใครมาคุยด้วย เราก็คุย แต่ถ้าใครไม่คุยเราก็ไม่คุยด้วยหรอก”

“แปลว่าถ้าไอ้ป้องมาคุยด้วย ฟ้าก็จะคุยงั้นสิ”

“มั้ง”

แต่จนแล้วจนรอด ตัวเองก็ไม่ได้คุยกับเขาเลยสักครั้ง นอกจากเวลาทำกิจกรรมร่วมกัน และก็ต้องเป็นเขาเท่านั้นที่เข้ามาคุยก่อน ถ้าจะให้ประกายฟ้าคนนี้เดินไปคุยด้วยดื้อๆ ไม่มีทาง พอจบกิจกรรม ก็ไม่เคยคุยกันอีกเลย

เป็นแบบนี้มาตลอดตั้งแต่วันย้ายมาได้ไม่กี่เดือนกระทั่งวันจะต้องย้ายกลับ แต่อันที่จริงพูดแบบนี้ก็ไม่ถูกเสียทีเดียว เพราะบ่ายวันนั้น ตอนเดินออกจากห้องพักผู้อำนวยการ เพื่อขออนุญาตไปเล่นน้ำกับเพื่อนเป็นครั้งสุดท้าย

ก็เห็นเขาเดินสะพายเป้มาพอดี เดาว่าน่าจะเข้าไปพบคุณครูคนใดคนหนึ่งในห้อง เขามองมาหาแบบไม่เคยเห็นเขามองมาก่อน ตัวเองก็เลยมองตอบกลับบ้าง ทั้งที่หัวใจเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมานอกอกแล้ว

ปากก็อยากจะเอ่ยถามเขาสักคำแทบแย่ จะเป็นประโยคอะไรก็ได้ เช่น จะไปไหน หรือไปเล่นน้ำด้วยกันมั้ย แต่จนแล้วจนรอดก็ยังปิดปากเงียบอย่างเคย

“เราแลกรูปกันมั้ย”

แต่จู่ๆ เขาก็ถามขึ้น รู้สึกว่าเนื้อตัวตอนนั้นชาด้าน ปากก็เกิดอาการหนักจนพูดไม่ออก ในหัวก็คิดสารพัด ไม่รู้ว่าคิดเรื่องอะไรบ้าง เขาก็ยืนรอคำตอบ

“ไม่ล่ะ”

ประกายฟ้าอยากตีตัวเองสักร้อยครั้งที่ตอบเขาไปแบบนั้น แถมยังเดินหนีลงบันไดไปดื้อๆ และไม่เหลียวกับไปมองเขาอีกด้วยซ้ำ

ดวงตาคู่หมองก้มมองสมุดเฟรนด์ชิปอีกครั้ง ตรงหน้าที่มีชื่อนายวิชชากร วงศ์กตัญญูนั้น เขียนด้วยลายมือตัวบรรจงสวยงาม เป็นระเบียบเรียบร้อยว่า

“ขอให้โชคดีและมีความสุขตลอดไปนะครับ ลาก่อน”

ไม่ว่าจะอ่านกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ก็ยังไม่เห็นว่าประโยคนี้จะสื่อความหมายอื่นใดมาให้ นอกจากเป็นคำกล่าวลาของคนรู้จักกันเท่านั้น และเป็นการกล่าวลาที่ดูเหมือนจะไม่มีเยื่อใยใดๆ ต่อกันเลยจนนิดเดียว นี่ก็น่าจะบอกได้แล้ว ว่าเขารู้สึกยังไงต่อเจ้าของสมุดเฟรนด์ชิปเล่มนี้

ไม่รู้ทำไมน้ำตาถึงไหลออกมา ตรงแผงอกก็รู้สึกเจ็บจี๊ดๆ รูปร่างผอมสูง หน้าตาหล่อเหลา และท่าทางของเขาก็ยังคงลอยเด่นอยู่ในความทรงจำ ราวกับมีเจ้าตัวมายืนอยู่ใกล้ๆ ก็ไม่ปาน

“น้องฟ้า! เสร็จหรือยังจ๊ะ ออกมากินข้าวได้แล้วจ้ะ พี่สมจะได้พาคนเข้าไปขนของ”

“เสร็จแล้วค่ะคุณแม่”

ประกายฟ้าคว้าทิชชูมาซับน้ำตาออก พร้อมกับสำรวจความเรียบร้อยของใบหน้าจากกระจกในห้องน้ำ แล้วเดินจากห้องนอนไปหาแม่ที่มายืนรออยู่หน้าประตูแล้ว

“กินข้าวเร็วลูก เสร็จแล้วก็จะได้ไปกันเลย”

“ค่ะ”

ประกายฟ้าเดินตามแม่ไปยังโต๊ะหินอ่อนตรงสนามหญ้าหน้าบ้าน มีพ่อ พี่ชาย และเพื่อนพี่อีกสี่คนนั่งกินอยู่ก่อนแล้ว เลยรีบยกมือไหว้ด้วยกิริยาอ่อนน้อมงดงาม สมกับคุณย่าสอนมา

“เป็นไงเรา หน้าหงอยๆ แบบนี้แปลว่าติดเพื่อน ไม่อยากย้ายกลับแล้วล่ะสิ”

ประกายพรึกในวัยยี่สิบสองปีเต็ม ทักทายน้องด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม เพราะเมื่อคืนเขากับเพื่อนๆ มาถึงตอนใกล้ตีหนึ่งแล้ว แม่บอกว่าน้องหลับปุ๋ยไปแล้ว เลยไม่อยากปลุก ทั้งที่คิดถึงน้องแทบแย่ เพราะไม่ได้เจอกันหลายเดือน

“เปล่าค่ะ”

ประกายฟ้าส่งเสียงนุ่มนวลไปหาพี่ แม้จะทำหน้างอนนิดๆ ก็ตาม จากนั้นก็ทรุดกายนั่งลงข้างแม่ มองข้าวต้มที่บุญสมตักใส่ชามมาให้ด้วยท่าทีไม่หิวสักนิด เพราะเพิ่งหกโมงเช้า ปกติจะกินเจ็ดโมง ราวเจ็ดโมงสี่สิบนาทีพ่อก็จะขับรถมารับ หลังจากพ่อไปตรวจตราดูความเรียบร้อยในโรงเรียนก่อนรอบหนึ่ง

“กับข้าวไม่น่ากินเหรอครับน้องฟ้า ถึงได้เอาแต่มองแบบนั้น”

ชยางกูร อรียาสกุลก้องเกรียงไกร หนุ่มนักศึกษาแพทย์ปีสี่ หนึ่งในเพื่อนของประกายพรึกส่งน้ำเสียงนุ่มหูมาแซวเล็กน้อย เพราะรักและเอ็นดูประกายฟ้าไม่ต่างจากน้องของตัวเองเลย

“เปล่าค่ะ น้องฟ้าแค่ยังไม่ค่อยหิวเท่านั้นค่ะ”

สาวน้อยส่งยิ้มหวานให้ แล้วตอบเสียงนุ่มนวล มือก็ประคองช้อนเล็กๆ ตักกระเทียมเจียวใส่ในชามข้าวต้ม ตามด้วยต้นหอมซอย เหยาะซีอิ๊วขาวเล็กน้อย น้ำส้มนิดหนึ่ง ส่วนพริกนั้นไม่มีทางได้ลงไปอยู่ในชามแน่ เพราะเป็นคนไม่กินเผ็ดเลย

“ฝืนกินนิดนะลูก จะได้ไม่หิวกลางทางไง”

ประพฤกษ์ยกมือโยกศีรษะทุยสวยของลูกสาวสุดรักเบาๆ พร้อมกับเอ่ยเสียงนุ่มหู

“กินเท่าที่กินได้ก็แล้วกันนะลูก แม่ทำข้าวผัดใส่กล่องเผื่อทุกคนแล้ว ระหว่างทางถ้าหิวก็ค่อยเอาออกมากิน จะได้ไม่ต้องจอดซื้อ ยิ่งจอดบ่อยก็จะถึงช้า” ดุจดาวส่งน้ำเสียงนุ่มหูไปหาลูก ขณะยกกาแฟขึ้นจิบ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel