บทที่ 4 สตรีเลี้ยงแกะ (1/2)
เรือนอันรุ่ย...
ในยามเช้าของทุกวันอันเหม่ยถิงมีหน้าที่พาเจ้าจูจู แกะน้อยหน้าดำออกไปวิ่งเล่นในลานทุ่งหญ้าเขียวขจี สภาพอากาศในยามนี้ค่อนข้างจะหนาวเย็น แต่ทว่าไม่ได้หนาวเย็นจนถึงกับมีหิมะโปรยปรายลงมา
“จูจู ไปกันเถอะ”
อันเหม่ยถิงโอบอุ้มแกะร่างอ้วนกลมขนฟูฟ่องเอาไว้ในอ้อมแขน ก่อนที่นางจะพาเจ้าแกะน้อยออกไปวิ่งเล่นในทุ่งหญ้ากว้างขวางสุดตา เดินออกจากเรือนไม่นาน นางก็มาถึงยังลานทุ่งหญ้าแล้ว
นางปล่อยให้จูจูวิ่งเล่นอยู่ภายในระยะสายตา โดยที่นางเอนกายพิงต้นผิงกั่ว [1] มองเจ้าแกะน้อยจูจูวิ่งเล่นด้วยความเพลิดเพลิน
ชนเผ่าทุ่งหญ้าเต็มไปด้วยต้นหญ้าเล็กสีเขียวสด ยิ่งเมื่อยามต้องกับแสงแดดยามเช้ากลับทอประกายอย่างงดงาม และให้ความสดชื่นไม่น้อย อันเหม่ยถิงสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดเพื่อรับอากาศที่บริสุทธิ์ไปกับชีวิตที่เรียบง่าย
บรรยากาศเบื้องหน้าทำให้นางคิดถึงมารดาขึ้นมาจับใจ จนย้อนคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมา ท่านแม่ของนางชอบพานางมานั่งเล่นเพื่อชื่นชมความงามของลานทุ่งหญ้า จนกระทั่งวันหนึ่งมีแกะหลุดเข้ามาภายในบริเวณบ้านของนาง
อันเหม่ยถิงรู้สึกสงสารเจ้าแกะน้อยตัวนี้เป็นอย่างมากที่หลงฝูง นางจึงขอให้มารดาพากันกลับไปส่งยังฝูงของมัน แต่ทว่าไม่ว่าจะหาอย่างไรก็หาฝูงของเจ้าแกะตัวนี้ไม่เจอ มารดาของนางจึงรับเลี้ยงเจ้าตัวนี้เรื่อยมา ในทุก ๆ วัน นางและมารดาจะพาเจ้าแกะน้อยมาวิ่งเล่นด้วยความสุขสันต์ แต่ทว่ามารดากลับด่วนจากไป เหลือเอาไว้แต่เจ้าจูจู
นางจึงรักและดูแลเจ้าแกะน้อยตัวนี้ตลอดมา ด้วยเพราะเป็นสิ่งเดียวที่นางและมารดามีความทรงจำที่ดีร่วมกัน คิดไปคิดมาอันเหม่ยถิงจึงสัมผัสได้ถึงหยาดน้ำตาที่ร่วงหล่น ฝ่ามือเล็กปาดมันออกช้า ๆ ....
ด้านบนของต้นผิงกั่วมีร่างกำยำในอาภรณ์ชนเผ่าที่ทอขึ้นด้วยความประณีตสีน้ำตาลเหลือบทอง ซุนเว่ยหยางเอนกายราบไปกับกิ่งไม้ที่แผ่กิ่งก้านใบ ด้วยท่าทางที่สบายประดุจนอนอยู่บนเตียงนุ่ม สายตาคู่คมทอประกายขึ้นอย่างวาววาม เมื่อเห็นดวงหน้าของอันเหม่ยถิงแบบชิดใกล้
‘นี่หรืออันเหม่ยถิง ว่าที่พระชายาของข้า ฮ่า เว่ยหมินดูเหมือนว่าเจ้าจะพลาดไปมหันต์’ ซุนเว่ยหยางกระตุกยิ้มขึ้นบริเวณมุมปาก สตรีที่เอนกายพิงไปกับต้นพิงกั่วโฉมงามเสียยิ่งนัก จนเขาที่แม้จะพบเจอสตรีมาแล้วมากมายยังต้องตกตะลึงไปกับความงดงามของนาง
ร่างบางในอาภรณ์ชนเผ่าพื้นถิ่นสีขาวแกมแดง ปักลวดลายประจำชนเผ่าและขนสัตว์สีนวลนุ่มฟู เพียงแค่ปรายตามองซุนเว่ยหยางก็รับรู้ได้แล้วว่าเรือนกายที่หลบซ่อนอยู่ภายใต้อาภรณ์ต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่
ใบหน้าของอันเหม่ยถิงนั้นหวานหยด ใบหน้าได้รูปเข้ากับจมูกที่เชิดรั้นได้เป็นอย่างดี คิ้วทรงงามโค้งเรียวไปตามรูปดวงตาที่กลมโตเต็มไปด้วยแพขนตาหนางอนงาม กับริมฝีปากที่แดงจัดจ้านอย่างเป็นธรรมชาติช่างตัดกันกับผิวที่ขาวราวกับหิมะแรกแย้มได้เป็นอย่างดี และดูน่าทะนุถนอมเสียยิ่งนัก
ซุนเว่ยหยางกัดริมฝีปากด้วยความกำหนัด ดวงตายาวรีหรี่ลงอย่างมีเลศนัย ไปพร้อมกับการยกยิ้มกว้างด้วยความพึงใต สตรีโฉมงามเช่นนี้เขาพลาดไปได้อย่างไรกัน หากนางย่ำกรายอยู่บนทางเดินดั่งเช่นสตรีผู้อื่นที่หาตัวได้ง่ายเมื่อยามอยากเชยชม เห็นทีนางคงไม่มีโอกาสรอดจากเงื้อมมือของเขาเป็นแน่
แต่นางเอาแต่กักตัวอยู่กับเจ้าแกะหน้าตาหน้าเกลียดเสียอย่างนั้น ซุนเว่ยหยางรู้สึกเสียดายไม่น้อย แต่ทว่าอีกใจหนึ่งกลับดีใจที่นางกักตัวอยู่ภายในเรือนเช่นนี้ ไม่อย่างนั้นเห็นทีเขาคงต้องได้ยื้อแย่งกับบุรุษทั่วทั้งแคว้นเป็นแน่ ‘สตรีเลี้ยงแกะโฉมงามผู้นี้ต้องเป็นของข้าและเว่ยหมิน’
ซุนเว่ยหยางไม่ลืมที่จะแบ่งปันซุนเว่ยหมินแฝดผู้พี่ สิ่งใดที่เขามีความสุข เขาก็อยากจะส่งต่อให้กับพี่ชายเช่นเดียวกัน ฝาแฝดเช่นพวกเขารักใคร่ปรองดองกันมากกว่าที่คิด และไม่เคยแย่งชิงสิ่งใดจากกันและกัน ยกเว้นเสียแต่ว่าผู้เป็นแฝดพี่จะเอ่ยปากปฏิเสธ