บทที่ 3
คฤหาสน์ของทีปต์ ใช้ชื่อเรียกตามเจ้าของเดิม ว่าคฤหาสน์มันทนา เจ้าของเป็นชายผู้สูงศักดิ์ เจ้าชายจากแคว้นยุโรป ที่หลงรักสาวไทย แต่เป็นรักที่ไม่สมหวัง เพราะเนื่องด้วยฐานันดรที่ต่างกัน เขาจึงต้องกลับไปทำหน้าที่ของตนเอง แต่ก็ได้ทิ้งเงินทอง และคฤหาสน์หลังนี้ไว้เป็นอนุสรณ์แห่งความรัก ให้กับมันทนา สาวไทยผู้โชคดีที่ได้ความรักจากชายสูงศักดิ์ แต่ไม่สมหวัง เธอตรอมใจและสิ้นใจอย่างสงบ หลังจากได้ข่าวว่าเจ้าชายประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต ที่บ้านหลังนี้นั่นเอง
ประวัติของที่นี่ เศร้าหมองนัก เหมือนกับเจ้าของใหม่ ที่มีชีวิตอาภัพเรื่องความรักไม่แพ้กัน ทีปต์เองก็ถูกสลัดทิ้งอย่างไม่ไยดี จากคนที่เขารักแทบจะเปรียบเธอเป็นลมหายใจ เพียงเพราะกิจการของเขาเริ่มซวนเซ และหน้าตาของเขาที่เหมือนผี! ใครว่ารักแท้มีอยู่จริง...ก็คงจะมีอยู่หรอกมั้ง แต่แน่นอนว่าหัวใจของทีปต์ตอนนี้ มันไม่เชื่อในเรื่องความรักอีกต่อไปแล้ว
คนที่บอกว่ารักเขาแทบเป็นแทบตายอย่างปริณาห์ ไฉนหัวใจจึงเปลี่ยนง่ายนัก เพียงแค่เห็นแผลเป็นของเขา และรู้ข่าวคราวเรื่องธุรกิจของเขา เหอะ! รักก็คือแบบนี้สินะ คำพูดจาพล่อยๆ ที่ทำให้รู้สึกดีและหลงโง่งมงาย นอกจากบาดแผลทางกายแล้ว บาดแผลทางใจของทีปต์ จากอุบัติเหตุครั้งนั้น มันก็ร้ายแรง และกลายเป็นแผลกลัดหนอง แม้แผลร่างกายจะหายไป แต่แผลใจมันยังไม่ยอมหาย มันกลายเป็นแผลเป็นอันแสนน่าเกลียด เสียยิ่งกว่าใบหน้าของเขา
เขาเกลียดความรัก เกลียดผู้หญิงทุกคน ไม่คิดจะพบพานกับความรู้สึกแบบนี้อีกแล้ว ทีปต์ฝังตัวเองอยู่กับงาน จมอยู่กับการพยายามกอบกู้กิจการคืนมา จนไม่ได้สนใจอะไรทั้งสิ้น ความรู้สึกทางเพศของเขามีอยู่บ้าง แต่เขาก็เลือกวิธีที่จะบำบัดมันด้วยตนเองเสียมากกว่า
มันร้ายกาจ และฝังรากลึก จนเขาไม่สนใจจะมองผู้หญิงคนไหน ไม่ยินดียินร้าย กับความงดงามของเพศตรงข้าม มานานมาก มารดาของเขา คุณอารยากลับมาขอร้องเขาเรื่องแต่งงาน ท่านดูจริงจังมากมาย กับการจะจับคู่เขาให้กับคนนั้นคนนี้ ยื่นคำขาดมาด้วยซ้ำ ว่าต้องการให้เขาแต่งงานภายในสองปีนี้ เพื่อจะมีหลานให้นาง
โอ...เขาไม่อยากถูกจับคู่ ไม่อยากมีชีวิตคู่กับใครหน้าไหน ไม่อยากให้ผู้หญิงที่เป็นลูกสาวผู้รากมากดีเหล่านั้น มองเขาด้วยสายตาสมเพช ยามที่มองใบหน้าเขา แต่ทีปต์ไม่อาจจะใช้ไม้แข็งกับมารดาได้ แม้จะเย็นชากับใครต่อใคร แต่กับท่าน เขาต้องยกไว้คนหนึ่ง และยังคงเป็นลูกชายแสนดีที่ขี้อ้อนคนเดิม
มารดามีโรคประจำตัว ที่ท่านมักจะมาบ่นรำพัน ว่ามันอาจจะคร่าชีวิตของท่านไปในสักวัน ท่านกลัวตะกูลจะสั้นกุดเพียงแค่นี้ อีกหลายเหตุผลที่ยกมาอ้าง ทั้งหมดทั้งมวลนั่นเขารู้ว่าลึกๆ แล้ว ท่านต้องการจับคู่ให้เขากับลูกสาวของเพื่อนท่าน ให้เข้าทำนองเรือล่มในหนองทองจะไปไหน การช่างตื้อของท่านทำให้เขารำคาญ ท่านถึงกับลงทุนสร้างแผนการว่าป่วย จนเขาเกือบจะตามใจเข้าแล้ว แต่ดันแผนแตกเสียก่อน เขายังโกรธท่านอยู่ไม่หาย ที่คิดจะมัดมือชกเขาแบบนี้
นั่นแหละ ทีปต์จึงเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา เมื่อบังเอิญได้เห็นรูปของลูกสาวลูกหนี้คนสำคัญของเขาเข้า
มารดาอยากได้หลาน...
เขาก็จะให้ท่านได้อุ้มหลาน
ไม่ต้องมีเมียเป็นตัวเป็นตนให้น่ารำคาญใจ ไม่ต้องใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วยกันจนวันตาย เอาแค่มาผลิตลูกให้เขา แน่นอนว่าต้องได้ลูกชาย แล้วเขาก็จะปล่อยเจ้าหล่อนไป...
รอยยิ้มร้ายกาจผุดขึ้นที่ริมฝีปากได้รูป เขายื่นข้อเสนอไปให้กับยอดชาย เมื่อบังเอิญได้เห็นว่าอีกฝ่ายมีบุตรสาวหน้าตาสวยน่ารัก กลับมาเมืองไทยแล้วเรียบร้อยหลังจากไปเรียนที่เมืองนอก แน่นอนว่าเจ้าหล่อนจะต้องอยากจะอยู่ใกล้ชิดบิดา ที่จากกันไปนานหลายปี และเขาก็ได้กระชากเธอออกมาเสียจากอกของยอดชาย มันก็สาสมแล้วนี่กับที่อีกฝ่ายทำชีวิตของเขาพัง
ในเมื่อเขาอยากได้เพียงแค่ผู้หญิงที่มาเป็นแม่ของลูก ไม่ใช่เป็นเมีย เขาก็มีสิทธิ์สินะที่จะเลือกแม่พันธุ์ชั้นดี เขาสืบประวัติเจ้าหล่อนมาแล้วเรียบร้อย ยอดชีวา กาญจน์วัฒนา ลูกสาวสุดรักสุดหวงของยอดชาย หญิงสาวอายุยี่สิบห้าปี เรียนจบจากสถาบัน IFF ประเทศฝรั่งเศส ด้วยผลการเรียนระดับดีเยี่ยม จนมีดีไซน์เนอร์ และบริษัทหลายๆ บริษัทต้องการตัว แต่เจ้าหล่อนเลือกกลับมามีอนาคตที่เมืองไทย ท่าทางกำลังไปได้สวยเพราะได้งานทำที่บริษัทผลิตเครื่องสำอางระดับชั้นนำ
รูปร่างหน้าตาของเธอก็จัดว่า...ไม่ได้ขี้ริ้ว สวย น่ารัก รอยยิ้มราวกับจะเปิดโลกให้สดใส นัยน์ตาระยับยามยิ้มนั้น เป็นภาพที่เขาเห็นจากที่มีนักสืบที่เขาให้ไปจัดการเรื่องของเธอส่งมาให้ โปรแกรมออนไลน์ยอดฮิตที่เธอใช้อยู่ มันทำให้เขาไปติดตาม สอดส่องพฤติกรรม ผู้หญิงที่ตั้งใจจะให้เป็นเครื่องผลิตลูกมาพักหนึ่งแล้ว
รูปภาพหลายๆ รูป การโพสต์สถานะ บอกว่าเธอเป็นคนมองโลกแบบไหน ยิ้มหวานเห็นฟันเรียงเป็นระเบียบ นัยน์ตาเปล่งประกายระยับ จับตาคนมองนัก แบบนี้ยอดชายคงจะทั้งหวงและห่วง ไอ้แก่ร้ายกาจนั่นจะเต้นขนาดไหนนะ ถ้าเกิดว่าต้องส่งลูกสาวคนเดียวมาให้เป็นเมียเขา
ข้อเสนอที่ไม่อาจจะปฎิเสธได้ที่ทีปต์มอบให้ฝ่ายนั้น ราวกับจะกลั่นแกล้ง และรวมผลประโยชน์ให้กับตนเองไปพร้อมๆ กัน เขาไม่ได้ตั้งใจจะร้ายกาจ แต่โลกนี้ร้ายกาจกับเขาก่อน เขาจึงต้องเล่นเกมชีวิตให้มันดำเนินไปในทิศทางที่เขาต้องการ และไม่อาจจะมีใครขัดขวางได้
เขาต้องได้แม่นั่น ต้องได้ลูก และคาดว่าถ้าได้ตามนั้นแล้ว เขาก็จะเฉดหัวเจ้าหล่อนกลับบ้าน ให้บิดาของหล่อนหัวใจสลาย มันก็สาสมดีกับสิ่งที่เขาได้รับ ไม่มีการปราณี มีแต่คำว่าตาต่อตา ฟันต่อฟัน
ทีปต์คิดอย่างหยันๆ นัยน์ตาเหลือบมองนาฬิกาหินอ่อนแกะสลักอย่างดี ที่วางประดับไว้ตรงมุมห้อง เกือบได้เวลา ที่เขาจะได้เจอว่าที่เจ้าสาวตัวจริงแล้วสินะ เจ้าหล่อนขอนัดหมายพบปะเขา เพื่อทำข้อตกลง ก่อนจะก้าวเข้ามาเป็นเจ้าสาวของเขา ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆ ออกมา อดหัวเราะไม่ได้ ว่าถ้าเธอเห็นเขาถนัดชัดตาแล้ว ยังจะกล้ารับข้อเสนอนี้อีกไหม กลัวแต่จะเผ่นรีบกลับบ้านไปมากกว่า
ถ้าเกิดว่าเจ้าหล่อนไม่ตกลงขึ้นมาเล่า เขาจะทำอย่างไร? คำถามนี้ผุดขึ้นมาในสมอง นัยน์ตาของเขาฉายประกายวาวโรจน์ ก็ดีน่ะสิ! เขาจะได้มีข้ออ้าง ในการลงมือจัดการคนที่ล่มชีวิตเขาเสีย คนทรยศที่ทำให้เขาต้องเผชิญความเลวร้ายทุกอย่าง แค่ที่ชดใช้มาแค่นี้ มันยังน้อยเกินไปเสียด้วยซ้ำ
ทีปต์ลงความโกรธ เสียใจ แค้นเคืองทุกอย่างไปที่ยอดชาย เขาเคยไว้ใจชายผู้นี้มาก และเมื่อไว้ใจ รัก มันก็แปรเปลี่ยนเป็นความแค้น เมื่ออีกฝ่ายทำลายความไว้วางใจนั้นจนย่อยยับ และพร้อมๆ กันนั้น ชีวิตของเขาก็มีอันต้องเปลี่ยนไปอย่างพลิกหน้ามือเป็นหลังเท้า! เขาไม่สมควรจะโกรธเกลียดอีกฝ่ายหนึ่งหรืออย่างไรกัน
“คุณท่านคะ มีคนมาขอพบค่ะ เธอให้เรียนว่าชื่อ ยอดชีวา กาญจน์วัฒนา”
สาวรับใช้เดินเข้ามารายงานอย่างนอบน้อม ชายหนุ่มพยักหน้ารับ เขาก้มลงมองตัวเอง ที่อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีดำ และกางเกงยีนขายาวสีเดียวกัน แล้วเสยผมลงปรกใบหน้าซีกที่มีแผลเป็นไว้ ดึงแว่นกันแดดสีดำอันใหญ่ที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อมาสวม ยิ้มราวกับจะเย้ยหยันตนเอง เมื่อนึกถึงภาพสีหน้าของว่าที่เจ้าสาว ถ้าเกิดว่าเห็นเขาเข้า
หล่อนคงไม่ร้องกรี๊ด และวิ่งหนีไปเสียหรอกนะ ถ้าอย่างนั้น มันก็ไม่สนุกน่ะสิ!
“รับรองหล่อนที่ห้องรับแขก บอกหล่อนว่าอีกยี่สิบนาที ฉันจะตามไป”
เขาหยิบโทรศัพท์ กดออกหาหมายเลขที่ต้องการ เมื่อเจรจาแล้วเสร็จกับปลายสาย เขาก็นั่งอยู่กับที่ เอื้อมหยิบเอาหนังสืออ่านเล่นมาอ่าน ท่าทางไม่ได้รีบร้อนสักนิดที่จะไปพบกับแขก
ยอดชีวาดื่มน้ำในแก้วจนหมด สาวใช้ที่นั่งอยู่ใกล้เธอ เห็นดังนั้นจึงขอแก้วน้ำไปเติมน้ำเพิ่ม เธอยิ้มให้แล้วพยักหน้ารับ พลางลอบถอนใจ ก่อนจะก้มลงมองเวลา บนนาฬิกาข้อมือเรือนเล็กที่ข้อมือ
ครึ่งชั่วโมง...เธอรอเจ้าของบ้านนี้มาแล้วครึ่งชั่วโมง
หญิงสาวกัดริมฝีปาก รู้สึกเครียดจนเส้นประสาทเต้นตุบๆ เขาจะเอาอย่างไรกันแน่ จะมาพบเธอไหมนะ ช่างเป็นคนลึกลับ เข้าใจยากเสียจริง เขาบอกว่ายินดีที่เธอมาพบ แต่กลับให้เธอต้องมารอ เขาส่งคนรับไปรับเธอเสียด้วยซ้ำแบบถึงบันไดบ้าน ยอดชีวามองไปรอบๆ ห้องรับแขกขนาดใหญ่ ประดับด้วยเฟอร์นิเจอร์ราคาแพง รู้สึกว่าตนเองตัวเล็กเพียงนิดเดียว ด้วยสถานที่ซึ่งข่มขวัญเธอจนแทบไม่เหลือ ยิ่งต้องรอคอยเจ้าของบ้านแบบนี้ด้วยแล้ว คำพูดต่างๆ ที่เตรียมมาไว้ต่อรองกับเขา ไม่รู้ว่าเธอจะเรียบเรียงได้ถูกต้องหรือเปล่าด้วยซ้ำ
สาวใช้เอ่ยขออนุญาตเมื่อนำน้ำเย็นมาให้เธอ และถามไถ่ว่าต้องการของว่างรองท้องเพิ่มไหม ยอดชีวามองนาฬิกาอีกครั้งก่อนจะตัดสินใจเอ่ยถามถึงเจ้าของบ้าน
“ไม่ทราบว่า คุณทีปต์ จะมาพบฉันเมื่อไหร่คะ”
“คุณท่านบอกให้รออีกสักครู่น่ะค่ะ”
สาวใช้ตอบอ้อมแอ้ม แล้วยิ้มแหย เธอมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างคะเนไม่ถูกว่า ทีปต์มีธุระอะไรกับหญิงสาวผู้นี้ ตั้งแต่เธอมาทำงานที่นี่ ไม่เคยมีแขกผู้หญิงเลยแม้แต่คนเดียว ยอดชีวาเป็นคนแรกเลยก็ว่าได้ เพราะคุณท่านเจ้าของคฤหาสน์ไม่เคยต้อนรับใคร มีแขกเพียงคนเดียวซึ่งเธอเคยเห็นก็คือรัตนฤทธิ์
“ขอบคุณมากค่ะ” ยอดชีวารับแก้วน้ำมาแล้วจิบอย่างไม่รู้จะทำอะไรดี การรอคอยทำให้เธอยิ่งเครียด หญิงสาวมองไปทางทางเข้าห้องรับแขก แล้วก็ต้องเบิกตากว้าง เมื่อเห็นชายในชุดดำ ร่างกายสูงใหญ่ กำลังเดินก้าวเข้ามา สายตาของเธอไม่อาจจะละไปจากใบหน้าของเขาได้
เจ้าของใบหน้าเรียวได้รูป ซึ่งมีรอยแผลเป็นใหญ่จนกินเนื้อที่ไปเกือบครึ่งหน้า แม้ว่าจะมีผมลงมาปรกไว้บางส่วน แต่มันก็เห็นได้ชัดเจน รอยแผลเป็นน่าเกลียดนั่น ดึงดูดสายตาของยอดชีวาให้มองมันอย่างตื่นตะลึง
“อะแฮ่ม!”
เสียงกระแอมดังขึ้น เรียกฉุดสติให้กลับคืนมา เธอกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะกลืนน้ำลาย ฝ่ายนั้นเลิกคิ้วให้เธอ แล้วเอ่ยแนะนำตัวเองเสียงเรียบเย็น
“ขอโทษที่ต้องให้รอนาน ผม ทีปต์ ทีฆทัศน์”
“เอ่อ...”
ยอดชีวาเม้มริมฝีปากแน่น ขนพลันลุกเกรียวขึ้นมาอย่างระงับอาการไม่อยู่ เธอยังไม่อาจจะละสายตาจากรอยแผล และใบหน้าของเขาได้ นี่น่ะหรือ...ว่าที่เจ้าบ่าวของเธอ
“สะ...สวัสดีค่ะ”
หญิงสาวยกมือไหว้ ทีปต์รับไหว้เธอ นัยน์ตาสีนิลหลังแว่นดำนั้น จับจ้องคนตรงหน้าอย่างไม่วางตา ตัวจริงของยอดชีวา กาญจน์วัฒนา ดูสวยน่ารัก งดงามเสียยิ่งกว่าในภาพที่เขาเคยเห็น นัยน์ตาคมกริบมองไล่ตั้งแต่หัวจรดเท้า ฝ่ายนั้นหลบตาเขา มีทีท่าอึกอักจนเห็นได้ชัด
ใบหน้าเรียวรูปไข่ นัยน์ตาโตงดงาม จมูกโด่งได้ส่วนปลายรั้นน้อยๆ จุดดึงดูดของใบหน้านั้นอยู่ที่ริมฝีปากอิ่มย้อยสีเรื่อ เธอแต่งหน้ามาพอประมาณ ไม่เข้มจัด เน้นจุดเด่นของใบหน้านั้นได้อย่างพอเหมาะชวนมอง
เรือนผมยาวเรี่ยเอวสีดำสนิท ปล่อยสยายตามธรรมชาติ มีเครื่องประดับเป็นโบว์ลายดอกได้ ติดผมป้ายไว้ข้างหนึ่ง ชุดแซทคอวี แขนตุ๊กตา ลายดอกไม้สีเขียวอ่อน เป็นชุดกระโปรงยาวพอดีเข่า แซมด้วยลูกไม้และผ้าโปร่ง ผิวของเจ้าหล่อนขาวลออตา ดูน่ารักบอบบาง เหมือนดอกมะลิสีขาวหอมกรุ่น
คงจะนึกลังเลอยู่สินะ แล้วก็คงจะตกใจมาก ที่จะได้เขาเป็นผัว...
“คุณต้องการจะคุยกับผม ก่อนที่จะเข้ามาอยู่ที่นี่ใช่ไหม?”
เขาเปิดฉากเจรจาก่อนอย่างไม่อ้อมค้อม นัยน์ตานั้นมองใบหน้างามด้วยต้องการจะจับอาการของอีกฝ่าย ยอดชีวารู้สึกกลัวคนตรงหน้าจนเกือบจะสั่น มือเรียวบีบเข้าหากันแน่น บรรยากาศรอบตัวเขาช่างอึมครึม น่าหวาดระทึก อย่างบอกไม่ถูก
“คือ...ค่ะ”
“ดี เราจะได้เจรจาพูดคุยกันให้รู้เรื่องไปเลย พ่อของคุณคงจะบอกแล้วว่าอะไรเป็นอะไร ผมมีเงื่อนไขที่คุณจะต้องได้รับรู้ และได้ทำความเข้าใจไว้ กับการมาอยู่ที่นี่...ในฐานะ แม่ของลูกผมในอนาคต”
คำพูดนั้นเรียกสีเลือดให้แข่งกันแล่นซ่านขึ้นมาบนใบหน้านวล ทีปต์หรี่ตากับกิริยาเขินอายของอีกฝ่าย เธอเม้มริมฝีปาก แล้วพยักหน้ารับ อึกอัก ขัดเขินจนบอกไม่ถูก แต่ก็ต้องกล้าพูด เธอมาเพื่อจะเจรจาต่อรองกับเขานะ ยอดชีวา ไม่ใช่มาทำกลัวเขาจนลนลานแบบนี้
“ขอโทษทีนายทีปต์ รถติดสุดๆ แต่ก็ทำเวลาไม่ขาดไม่เกินที่นายยื่นข้อเสนอให้นะโว้ย...เอ่อ...ขอโทษครับ ไม่รู้ว่านายมีแขก”
ชายร่างสูง หุ่นค่อนข้างโปร่ง เดินแกมวิ่งเข้ามาในห้องรับแขกแบบพรวดพราด เขาเอ่ยขอโทษ แล้วมองหญิงสาวหน้าหวาน ที่กำลังนั่งบนโซฟาหลุยส์ ตรงกันข้ามกับเพื่อนสนิท แล้วก็หันมามองทีปต์ด้วยสายตาเต็มไปด้วยคำถาม ฝ่ายนั้นผายมือให้เขานั่งลง แล้วเอ่ยสั่งให้เขาพิมพ์รายงาน
“ฉันเรียกนายมา เพื่อให้มาเป็นสักขีพยาน และให้มาทำเอกสารให้เป็นหลักฐาน พิมพ์ตามที่ฉันบอกที”
“คือ...”
รัตนฤทธิ์อ้าปากจะถาม แต่ทีปต์ยกนิ้วชี้ขึ้นโบกไปมา เป็นสัญญาณมือบอกให้เขาหุบปาก และทำงานตามที่สั่งไป ประโยคต่อไปจากริมฝีปากได้รูปของเพื่อนรัก ทำให้เขาคิ้วขมวด
“นี่คือกติกา จากทางฝั่งของผม เริ่มลงมือพิมพ์ตามที่ฉันพูดได้เลย นายฤทธิ์ สัญญาระหว่างข้าพเจ้า นายทีปต์ ทีฆทัศน์ ในการทำข้อตกลง มีทายาทเพศชาย กับนางสาวยอดชีวา กาญจน์วัฒนา ข้อที่หนึ่ง...”
ฟังมาถึงตรงนี้ คนที่กำลังพิมพ์ตามเจ้านายสั่ง ก็เริ่มคิ้วพันเข้าหากันมากขึ้น ก่อนจะเหลือบมองหญิงสาวร่างบางที่กำลังนั่งหน้าแดง ก้มหน้าก้มตาบีบมือไม้ให้วุ่นอยู่ตรงหน้าเขา
ไอ้ทีปต์ กำลังเล่นบ้าบออะไรกันวะ ให้เราติดต่อตกลงสัญญาลดหนี้กับคุณยอด คือข้อตกลงชาย นี่น่ะหรือ ลดหนี้!
“นางสาวยอดชีวา จะต้องมาอยู่กินกับนายทีปต์ ไปจนกว่าจะมีทายาทเพศชาย ข้อที่สอง ระหว่างที่อยู่กินกันนี้ ไม่สามารถเรียกร้องค่าใช้จ่ายอะไร จากนายทีปต์ได้ และข้อสุดท้าย ถ้านางสาวยอดชีวาได้ตั้งครรภ์ จนคลอดบุตรแล้ว อนุญาตให้อยู่ดูแลบุตรได้จนอายุหนึ่งปี และตั้งแต่นั้นสิทธิ์ขาดของบุตรจะต้องเป็นของนายทีปต์ แต่เพียงผู้เดียว”
มือของคนพิมพ์ถึงกับสั่น คนฟังอีกคนหนึ่งก็ถึงกับน้ำตารื้น หญิงสาวเม้มริมฝีปากแน่น พลางมองคนตรงหน้า นอกจากเขาจะมีหน้าตาน่าเกลียดแล้ว จิตใจก็ช่าง...ทำด้วยอะไรกันนะ ถึงได้ยื่นข้อเสนอแบบนี้มา และแน่นอนว่า ยอดชีวาต้องยอมทำตามอย่างไม่มีเงื่อนไขเพื่อช่วยเหลือบิดา
“ไหนลองบอกกติกาของคุณมาบ้างสิ ยอดชีวา ผมจะได้ให้นายฤทธิ์พิมพ์ไว้เป็นสัญญา เป็นเอกสารไว้ ว่าเราได้ตกลงกันแล้วตามนี้”
“ข้อตกลงระหว่างการที่รับงานนี้ของฉัน มีเพียงสองข้อค่ะ นั่นก็คือ หนี้สินทั้งหมดของคุณพ่อ ทางคุณจะต้องยกให้ และ...”
หญิงสาวบีบมือเข้าหากันจนแน่น งานนี้เธอต้องสูญเสียอะไรไปมากไม่ใช่น้อย และเธอก็จะต้องเรียกร้องสิทธิ์ของตนเองไว้บ้าง ในเมื่อเขารวยจนล้นฟ้า เธอก็จะเรียกร้องเงินจากเขานั่นแหละ มาเป็นค่าเยียวยาทุกสิ่งให้เธอกับบิดา
“ฉันขอเรียกเงินหลังจากที่ส่งลูก...ให้กับคุณแล้ว สิบล้าน”
จำนวนเงินนั้นทำให้ทีปต์หรี่ตาลง แต่ก็พยักหน้า เขาบอกให้รัตนฤทธิ์พิมพ์ตามนั้น และเมื่อพริ้นท์เอกสารมาให้กับเธอและเขาเป็นหลักฐานไว้แล้วเรียบร้อยทั้งสองฝ่าย ก็ลงลายเซ็นรับรอง และให้เลขานุการหนุ่มเซ็นรับรู้เป็นพยาน
มือเรียวค่อยพับกระดาษเอกสารสำคัญ เก็บไว้ในกระเป๋าถือ ก่อนจะเอ่ยลาเจ้าของบ้าน ทีปต์ยืนยันที่จะให้คนรถไปส่งเธอ เมื่อยอดชีวากลับไปแล้ว รัตนฤทธิ์ที่เก็บปากเก็บคำอยู่นาน ก็โพล่งถามเพื่อนรักอย่างอัดอั้น
“นี่มันเรื่องอะไรวะนายทีปต์ เรียกฉันมาทำสัญญาผลิต...เอ่อ...โอ๊ย...ให้ตายเถอะ นายกำลังทำอะไรวะ กำลังเล่นอะไร อยากมีลูกแต่ไม่อยากมีเมียขึ้นมาหรือยังไงกันวะ”
“ใช่” คำตอบสั้นๆ เล่นเอารัตนฤทธิ์พูดไม่ออกไปเกือบนาที เขามองหน้าของเพื่อนสนิท ก่อนจะส่ายหน้าน้อยๆ
“มัน...ไม่สมควรเลยนะทีปต์ คนทำนายมันพ่อเขา นายไม่ควรเอามาลงกับลูก”
“ฉันไม่ได้ทำอะไร” ทีปต์ยักไหล่ แล้วทำหน้านิ่ง “มันเป็นการตกลงธุรกิจระหว่างฉันกับผู้หญิงคนนั้น เขาเรียกเงินจากฉันสิบล้าน แลกกับเด็ก แฟร์ๆ กันแล้วนี่”
“เฮ้อ...”
รัตนฤทธิ์นวดขมับเบาๆ เขามองเห็นเค้าลางความยุ่งยากขึ้นมารำไร เรื่องระหว่างทีปต์กับยอดชายนั้น เขาก็รับรู้ และบางอย่างเห็นด้วย แต่บางอย่างก็ไม่เห็นด้วย จริงที่ว่าทีปต์โดนผลกระทบจากการกระทำของยอดชายค่อนข้างจะหนัก แต่บางที ความแค้น ก็ไม่ควรจะชำระด้วยความเลวหรือความสะใจไม่ใช่หรือ?
“เรื่องงาน เรียบร้อยดีไหม”
คำถามต่อมาพาให้รัตนฤทธิ์ออกไกลไปจากเรื่องราวตรงหน้าก่อนชั่วคราว ตามแบบเลขานุการผู้ทรงประสิทธิภาพ
“เรียบร้อยดี น้องชายนายทำได้เยี่ยมตามเคย ทางนั้นตกลงเซ็นสัญญากับเรา แต่หิรัญยื่นราคาลดลงมากกว่าที่นายบอกไว้อีกนิดหน่อย”
“อ้อ...”
ทีปต์พยักหน้ารับรู้ รัตนฤทธิ์มองหน้าเพื่อนสนิท ก่อนจะเม้มริมฝีปาก เขาลองเกริ่นเกี่ยวกับน้องชายบุญธรรมของทีปต์ออกไปอีกรอบ
“เหมือนว่าหิรัญจะมีโครงการใหม่ๆ นำเข้าเสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้น โดยไม่ผ่านฉัน และแน่ใจว่ามันก็ไม่ผ่านนาย”
“น้องอาจจะลืม เดี๋ยวฉันจะนัดคุยกับนายนิกซ์อีกทีหนึ่ง เขาคงจะบอกเรื่องนี้เองนั่นละ”
“อ้อ...”
รัตนฤทธิ์ไม่พูดอะไรต่อเกี่ยวกับหิรัญ เขารายงานเรื่องของการทำงานสำคัญๆ ให้กับทีปต์ได้ทราบ ก่อนจะกลับไปออฟฟิศ ก็ยังไม่วาย พูดย้ำเรื่องเกี่ยวกับยอดชีวาอีกหน
“นายเอาจริงหรือ? นายทีปต์ เรื่องของคุณยอดชีวา”
“เอาจริงสิ แม่ฉันอยากได้หลาน หนนี้ก็จะได้หลานสมใจล่ะ จะได้เลิกมายุ่งเรื่องฉันจะมีเมียหรือไม่เสียที”
“นายทำไปเพราะอยากแก้แค้นคุณยอดชายหรือเปล่า?”
“หึๆ” ทีปต์หัวเราะแทนคำตอบ แล้วโบกมือไล่เพื่อนรัก “ไปทำงานได้แล้ว ไม่ต้องมาถามอะไรมากมาย หน้าที่ของนายทำอะไรก็ทำไป อย่ามายุ่งกับการตัดสินใจของฉันเลย”
“โอเค แล้วนายอย่ามาเสียใจทีหลังกับการกระทำหนนี้ของนายนะ ทีปต์” รัตนฤทธิ์กล่าวทิ้งท้าย ทีปต์หรี่ตาลงแล้วเอ่ยพึมพำกับตนเอง
“ทุกสิ่งที่ฉันตัดสินใจไป ไม่มีวันเสียใจแน่นอน”
ใช่...เขาจะไม่มีวันเสียใจ ที่แก้เผ็ดนายยอดชายด้วยวิธีนี้ เขาจะได้ทายาทให้กับมารดา เพื่อท่านจะได้เลิกเคี่ยวเข็ญจะเป็นจะตายเรื่องที่เขาไม่ยอมแต่งงาน และให้ลูกสาวของนายยอดชายทรมานเหมือนตายทั้งเป็น ที่ต้องอยู่กับผัวหน้าผีแบบเขา และแน่นอน ว่านายยอดชายก็ต้องทรมานเฉกเช่นเดียวกับบุตรสาวด้วย
งานนี้ยิงปืนนัดเดียว เขาได้ประโยชน์ตั้งหลายอย่าง แม้จะต้องเสียเงินให้แม่นั่นไปนิดหน่อย หลังจากได้ลูกมาแล้วก็ตาม แต่ความสาสะใจของเขา มันมีค่ายิ่งกว่าเงินสิบล้านนัก