ตอนที่ 3 สัญญา
“เฮีย! คนที่หนีเมื่อวานมาแล้ว เตจะแจ้งตำรวจให้นะ”
เสียงของเด็กวันราวห้าขวบเจื้อยแจ้วออกมาจากอู่ตอนที่ฉันกำลังยืนชะเง้อมองเข้าไปข้างใน เห็นมีแต่พวกช่างอยู่กันสี่ห้าคนก็ไม่กล้าเข้าไป พอได้ยินเสียงของเด็กตะโกนคนพวกนั้นก็พากันมายืนเรียงหน้ามองฉันอย่างกับเป็นตัวประหลาด
ไอ้เด็กนี่ก็เหมือนคนเลี้ยงจังเลย เห็นหน้าก็จะแจ้งความแล้ว ขู่เก่งทั้งคู่
“ไอ้ญ่า แกเองเหรอที่ทำรถเฮียเขา” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากอีกฝั่ง พอเห็นหน้าฉันก็แทบจะกระโดดไปกอดเจ้าของเสียงนั้นทันที
“ไอ้แม็ก! แกทำงานที่นี่เหรอ”
“เออดิ ไม่รู้ไง ฉันอยู่นี่มาเป็นปีแล้ว”
แม็กเป็นเพื่อนที่รู้จักกันตั้งแต่สมัยอนุบาลของฉัน แต่เราไม่ค่อยเจอกันหลังจากเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น เพราะแม็กเลือกเดินทางสายช่าง จนตอนนี้มันน่าจะจบปวส. เพราะเทียบเท่ากันฉันอยู่ปีสาม
“ไม่รู้หรอก ฉันเรียนเกือบทุกวันไม่ค่อยได้อยู่บ้าน” กลางวันไปเรียน กลางคืนก็เที่ยวกับเพื่อน วันหยุดก็ตื่นสายอีกแทบไม่มีเวลาไปรับรู้เรื่องชาวบ้านเลย
ขนาดเรื่องในบ้านตัวเองยังไม่รู้นับประสาอะไรกับเรื่องคนอื่น คิดดูสิว่าผู้ชายที่ชื่ออี้เต๋อย้ายมาอยู่แถวนี้ได้ตั้งหลายปีแต่ฉันเพิ่งเคยเห็นหน้าเขาเมื่อวาน แค่เคยรู้จักในฐานะผู้ชายที่พี่ธูปไม่ถูกชะตาด้วยแค่นั้น
“แล้วนี่เอาเงินมาจ่ายค่าเสียหายเฮียเขาเหรอ เฮียอยู่ข้างในเข้าไปดิ”
“เงินบ้าอะไรไม่มีหรอก”
“เอ้า แล้วมาทำไม”
“มาสมัครงานหาเงินใช้หนี้น่ะ” ฉันตอบแล้วยิ้มแห้งใส่เพื่อน แล้วเสียงหนึ่งก็แย่งบทสนทนาของเราทั้งคู่ไปอย่างดื้อๆ
“น้อง เฮียเขาเรียกไปข้างใน” ชายแปลกหน้าแถมยังดูโหดส่งเสียงเรียกฉันดังๆแบบตะโกน จนหลายคที่เิ่งจะเลิกสนใจหันมาสนมามองฉันอีกรอบ
สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยชายฉกรรจ์ดูไม่ค่อยจะปลอดภัยสำหรับฉันเท่าไหร่ แต่โชคดีที่ยังมีเพื่อนวัยเด็กอย่างบักแม็กอยู่ด้วย
“ไปก่อนนะ”
“เออ มีไรให้ช่วยก็บอก”
“ขอบใจมากเพื่อน”
ฉันหันหลังให้แม็กแล้วรีบเดินเข้าไปตรงสำนักงานของอู่ ที่อยู่ด้านในสุด
ที่นี่กว้างขวางกว่าอู่บ้านฉันหลายเท่าแถมรถที่จอดเรียงรายรอซ่อมอยู่นี้ก็มีแต่พวกรถยุโรปราคาหลักล้านถึงสิบล้านเลยก็ว่าได้ บอกเลยว่าแค่เดินอยู่แถวนี้ยังต้องระวังจะไปทำรถเป็นรอยแล้วต้องมาจ่ายค่าเสียหายหลักแสนแบบฉัน
“นึกว่าจะต้องไปเจอที่โรงพัก”
สงสัยนักว่าแม่หมอนี่คลอดเขาออกมาตอนโดนจับขังที่โรงพักหรือไง เอะอะก็พูดถึงแต่สถานที่ไม่เป็นมงคลแบบนั้น
“คำไหนคำนั้นอยู่แล้วค่ะ ว่าแต่จะให้หนูทำงานที่นี่ใช้หนี้ใช่ไหม” ดินแดนที่เต็มไปด้วยผู้ชายแบบนี้จะมีงานอะไรให้เราทำนอกเสียจากเป็น ‘แม่บ้าน’ กันล่ะ
“อืม” เขาตอบสั้นๆก่อนจะเดินไปหยิบเอาเอกสารสองแผ่นที่วางข้างคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ ภายในห้องสี่เหลี่ยมนี้เหมือนจะมีไว้เก็บเอกสารและมีโต๊ะทำงานอยู่สองตัว ไม่รู้ว่ายังมีพนักงานผู้หญิงคนอื่นเพิ่มอีกหรือเปล่า “อู่ขาดคนพ่นสีพอดี”
“ออ…หา!? ว่าไงนะ” ทีแรกได้ยินไม่ชัดไม่มั่นใจว่าใช่อย่างที่ได้ยินหรือเปล่าแต่พอเห็นสีหน้าเรียบเฉยของเขาก็พอจะรู้ว่าเป็นอย่างนั้น
“เธอเรียนอยู่หรือเปล่า”
“เดี๋ยวก่อนค่ะ พ่นสี? หมายถึงให้หนูพ่นสีรถนะเหรอ”
“อืม ทำไม หรือเธอทำไม่ได้”
“แต่หนูเป็นผู้หญิงนะเฮีย” เรียกเฮียไปเลยแบบพวกลูกน้องในอู่เผื่อจะดูกันเองมากขึ้นจนเขาเห็นใจ
“แล้วทำได้หรือเปล่า”
ไอ้หมอนี่!…
“คิดค่าจ้างยังไง ถ้าเงินดีไม่ได้ก็ต้องได้แหละ แต่บอกก่อนว่าหนูมีเรียนจันทร์ถึงศุกร์นะ” ส่วนใหญ่ก็เรียนแค่ช่วงบ่ายเพราะตอนปีหนึ่งฉันเก็บหน่วยกิตไปเยอะพอควร ขึ้นปีสามเลยลงเรียนแค่ช่วงบ่ายเสียส่วนใหญ่จะได้ไม่ต้องตื่นเช้าไปเรียน
“อ่าน แล้วก็เซ็น” เขาใช้นิ้วดันเอกสารบนโต๊ะมาตรงหน้าแล้วจึงกอดอกเหมือนเดิม สายตาคมจับจ้องใบหน้าของฉันอย่างกับมองลูกหมาที่มาขโมยกินข้าวกล่อง
ทั้งสงสารทั้งเอือมระอา…
ในเอกสารจะบุค่าใช้จ่ายที่ฉันต้องชดใช้ มรใบประเมินราคาค่าซ่อมมาเป็นหลักฐานเหมือนรู้ว่าฉันจะโวยวายเรื่องนี้ เขาดักไว้ทุกทางแล้วจะหาทางออกตรงไหนได้ล่ะ
“คิดเป็นชั่วโมงเลยเหรอ”
“เพราะเธอเรียนอยู่ เดี๋ยวจะใช้ข้ออ้างนี้มาบอกว่าไม่ว่าง”
ฉลาดอีกแล้วนะ ฉันจะทำอะไรได้นอกจากกำหมัด อะไรที่คิดมาจากบ้านพังลงเพราะไหวพริบของพี่อี้เต๋อ
ทำงานชั่วโมงละร้อย ต้องทำงานสามพันกว่าชั่วโมงถึงจะใช้หนี้ครบ แค่คิดก็ขี้เกียจแล้ว นี่มันใช้เวลาทั้งปีเลยนะ
“เซ็น”
ไม่พูดเปล่าแต่เขายังโยนปากกาลงมาบนโต๊ะ เร่งอยู่ได้เหมือนรู้ว่าฉันกำลังคิดวิธีเอาตัวรอดอยู่อย่างนั้นแหละ
“แล้วงานที่ทำมีอะไรบ้างล่ะ ในนี้ไม่ไม่ได้ระบุไว้นี่”
“ทุกอย่างที่ฉันต้องการ”
“เกินไปหรือเปล่า สัญญาแบบนี้ไม่เอาด้วยหรอก” ฉันว่าแล้วก็วางกระดาษนั้นไว้บนโต๊ะ ใครมันจะไปยอมกันล่ะถ้าเกิดให้ทำอะไรที่ไม่เข้าท่าล่ะ
“งั้นก็ไปคุยกันที่โรงพัก ฉันขี้เกียจเสียเวลากับคนอย่างเธอแล้ว เรื่องเยอะจังวะ แม่ง!”
เอาแล้วไง ท่าทางเขาเหมือนจะโมโห ทำเอาหัวใจฉันเต้นแรงขึ้นมาทันทีเพราะคราวนี้เขาเหมือนจะเอาจริง
“เออๆ เซ็นก็เซ็น ใจเย็นๆก่อนก็ได้ไม่เห็นต้องหัวร้อนเลย” ว่าแล้วฉันก็จับปากกามาเขียนชื่อตัวเองลงช่องว่างที่เขาเว้นให้ในเอกสาร “วันนี้หนูว่างนะจะเริ่มงานเลย ให้ทำอะไรดีล่ะ”
“ไปช่วยไอ้แม็กพ่นสี” เขาเอ่ยแล้วดูเอกสารที่ฉันเพิ่งจะลงนามไปอย่างตั้งใจ
“โอเค” ฉันพยักหน้ารับ งานพวกนี้ไม่ใช่เรื่องยากอะไรนักหรอก ฉันเคยเห็นพ่อทำมาตั้งแต่เด็ก มีจับนั่นจับนี่ช่วยอยู่บ้างเหมือนกัน “ออ แล้วถ้าหนูมีเงินมาจ่ายก็ถือว่าสัญญานี้สิ้นสุด ถูกไหม”
“ขอให้เป็นอย่างนั้น”
ว่าแล้วเขาก็เดินออกจากห้องไป ปล่อยฉันเบะปากจนเบี้ยวอยู่คนเดียวในห้อง พอคิดได้ว่าควรเดินออกไปฉันจึงตรงดิ่งไปหาแม็กที่กำลงเตรียมอุปกรณ์พ่นสีอยู่ตรงมุมหนึ่งของอู่
“ให้ช่วยตรงไหน”
“หืม เธอเหรอ”
“เออดิ ฉันได้ทำงานนี้ มีอะไรก็ชีแนะด้วยนะ” ฉันว่าพลางหยิบของที่ต้องใช้ขึ้นมาถือไว้ “อันนี้ด้วยใช่ไหม”
“ลูกช่างอย่างเธอฉันไม่ต้องบอกหรอกมั้ง” แม็กพูดติดตลกแล้วเดินนำหน้าฉันไปยังจุดที่จะทำงาน มีอะไหล่ตัวถังรถที่ถูกแกะออกมาวางอยู่เพื่อเตรียมพร้อม
“รถแบบนี้มันต้องใช้สีพิเศษใช่ไหม ของพ่อไม่ใช่แบบนี้น่ะ”
“ใช่ เพราะคุณภาพดีกว่า ส่วนใหญ่ก็สั่งจากนอก ค่าซ่อมค่าอะไหล่เลยแพงตามรถไปด้วย เหมือนที่แกทำรถเฮียเขาเป็นรอยไง คันนั้นยี่สิบกว่าล้าน”
พอได้ยินแล้วเข่าแทบทรุด นั่นราคาบ้านฉันเป็นสิบๆหลังเลยนะ แต่เท่ากับรถพี่อี้เต๋อแค่คันเดียว ถ้ามันไม่ใช่แค่เป็นรอยแต่อาการแย่กว่านั้นฉันไม่ต้องขายบ้านขายรถมาจ่ายเลยเหรอ
“แล้วสรุปเฮียเขายอมให้เธอทำงานใช้หนี้ด้วยเหรอ”
“อืม คิดเป็นชั่วโมง ต่อไปแกคงได้เห็นหน้าฉันทุกวัน”
“ฮ่าๆ อดเที่ยวแล้วสิ เห็นเที่ยวทุกวันศุกร์”
“เห็นด้วยเหรอ”
“ก็เห็นลงเช็คอินร้านเหล้าตลอด” แม็กพูดยิ้มๆแล้วจัดการกับงานของตัวเองโดยที่ไม่ได้มองฉัน ท่าทางของมันดูธรรมชาติแถมยังดูมีเสน่ห์มากๆ
“ก็มีบ้าง แกไม่เที่ยวเหรอ”
“ไม่ค่อยได้เที่ยวเท่าไหร่ หาเงินอย่างเดียว”
นี่เราโตเป็นผู้ใหญ่ขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย ฉันยังเที่ยวเตร่อยู่เลย ขณะที่เพื่อนสมัยเด็กดูมีความคิดเป็นผู้ใหญ่มากกว่า เห็นแล้วรู้สึกผิดขึ้นมาเลย
“หาเงินไปขอสาวเหรอ”
“เงินก็หา สาวก็หา”
“ขยันแบบนี้หาไม่ยากหรอก ขอให้เจอไวๆนะเพื่อน”
“หึ” เขาปรายตามองฉันพร้อมรอยยิ้ม แล้วก็เกิดเสียงหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนที่ดวงตาเรียวคมคู่นั้นจะเบิกโพรงเหมือนกำลังตกใจกับอะไรบางอย่าง “ให้มาทำงานใช้หนี้ไม่ใช่มาชวนคนอื่นคุยจนเสียการเสียงาน!”