ตอนที่ 2 ขู่
“อะไรของลูกเนี่ย! แม่ตกใจหมด” เสียงของแม่เอ่ยขึ้นพร้อมกับเอามือทาบอก ตอนที่ฉันแทบจะปั่นจักรยานเข้าไปในห้องนอน “แล้วเอาจักรยานเข้ามาในบ้านทำไม”
“กลัวมันหายน่ะแม่” ฉันบอกพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าลึกเต็มแอดก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาอีกครั้งด้วยความเหนื่อยหอบ
“แล้วไหนล่ะของที่แม่ให้ไปซื้อ”
“เอ่อ…”
ทันทีที่ได้ินคำถามสายตาของฉันก็เบิกโพรงด้วยความตกใจซ้ำอีกครั้ง ก็เพราะว่าของที่อยู่ตรงตะกร้าหน้ารถมันหายไปหมด ถ้าให้เดามันตกร่วงกระจัดกระจายไปตอนที่ฉันทำจักรยานล้มแน่ๆ
“เป็นอะไร ให้ไปซื้อของก็ไม่ได้”
“เกิดอะไรขึ้นล่ะ”
“ก็ดูน้องเราสิธูป แม่บอกให้ไปซื้อหมูกับผัก ไม่ได้อะไรมาเลยสักอย่าง แล้วยัง…” แม่พูดถึงตรงนั้นก็หยุดก่อนที่จะแผดเสียงร้องออกมาด้วยความตกใจพร้อมกับถลาเข้ามาจับแขนของฉันไปดู “แขนไปโดนอะไรมา!”
“โอ๊ย!”
“โตขนาดนี้แล้วยังปั่นจักรยานล้มอีกเหรอ”
“อื้อ หมาตัดหน้ารถ” ฉันพยักหน้ารับเพื่อไม่ให้ทุกคนเกิดความสงสัยอีก
“นั่งลงตรงนี้เดี๋ยวแม่ทำแผลให้”
“ไปทำอะไรผิดมาล่ะเรา”
เสียงของพ่อที่นั่งอยู่ไม่ไกลเอ่ยขึ้นแถมยังมองฉันอย่างจับผิด ให้ตายเถอะ พ่อชอบอ่านออกอยู่เรื่อยเลยเวลาที่ฉันปิดปังอะไรหรือมีเรื่องโกหก
“เปล่านะ ไม่ได้ทำอะไรเลยพ่อ”
“พ่อดูออก สายตาลูกมันฟ้องว่ากำลังโกหก”
“พ่อ…”
“แกไปมีเรื่องกับใครมา ซนเหมือนเด็ก” ไม่ใช่แค่พ่อที่จับผิดแต่พี่ธูปก็จ้องจะเล่นงานฉันอยู่ด้วย
“จะไปมีเรื่องกับใคร แถวนี้ก็รู้จักกันหมด”
“ดื้อเหมือนตอนเด็กเลยพ่อขี้โกหกด้วย”
“พี่ธูปนั่นแหละดื้อ หาเรื่องน้องอีก เหอะ กลับบ้านไปเลยไป เดี๋ยวเมียก็ทิ้งจริงหรอก” ทำเป็นงอนเมียคิดว่าเขาจะง้อ วันนี้ทั้งวันไม่เห็นเสียงโทรศัพท์ดังเลยสักครั้ง สมน้ำหน้า!
“ไอ้นี่ เดี๋ยวเตะตายเลย”
ฉันรีบเผ่นออกมาจากตรงนั้นก่อนที่เท้ายาวๆของพี่ชายตัวเองจะมาถึงตัวเอง หลบไปนั่งคิดหาทางออกอยู่หลังบ้านสักพักหนึ่งก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายจากหน้าบ้านจนต้องรีบวิ่งออกมาดูอีกรอบ
“พูดเรื่องอะไรของมึง”
“ธูป! ใจเย็นๆก่อนได้ไหม แม่ขอฟังอี้เต๋อเขาอธิบายก่อนเถอะ”
มาไวเกินไปไหม! มาถูกที่ด้วยอย่างกับทำงานเป็นบุรุษไปรษณีย์ ฉันรู้จักเขาแค่ชื่อหน้าก็เพิ่งเคยเห็นไม่คิดว่าเขาจะรู้จักฉันจนมาถึงบ้านแบบนี้
“ลูกสาวป้าขับจักรยานมาชนรถผมแล้วก็หนีมา ไม่คิดจะรับผิดชอบเลย”
เหมือนจะด่าแม่ฉันอ้อมๆว่าไม่สั่งสอนลูกอย่างนั้นแหละ แม่ก็สอนมาดีหรอกแต่ดูจากสถานการณ์ของบ้านฉันตอนนี้จะเอาเงินที่ไหนไปชดใช้ ถึงได้เลือกหนีมาแบบนี้ไง
“เดี๋ยวป้าเรียกญ่ามันมาคุย” แม่ทำหน้าตกใจและแฝงไปด้วยความกังวลก่อนจะกันมาเจอกับฉันที่หลบอยู่ตรงมุมหลังบ้านพอดีถึงกวักมือเรียก
“มึงแน่ใจเหรอว่าน้องกูทำ ไม่ใช่มาใส่ร้ายนะเว่ย”
พี่อี้เต๋อไม่ตอบแต่จ้องเขม็งมาที่ฉันอย่างกับจะกินหัว จนฉันต้องทำตัวลีบลงให้เล็กที่สุด รู้ตัวว่าผิดก็แค่อยากมาทำแผลเท่านั้นเอง
จริงๆนะ…
“จริงหรือเปล่าลูก ไปทำรถเขาเป็นรอยจริงเหรอ” แม่มองฉันด้วยสีหน้าสิ้นหวังมาก ยิ่งเห็นแบนี้ฉันยิ่งรู้สึกไม่ดี ถ้าแม่รู้ว่าค่าซ่อมมันแทบจะขายรถที่บ้านเราไปจ่ายได้คงเป็นลมล้มพับแน่
“เดี๋ยวหนูคุยกับเขาเองแม่ พี่ธูปพาแม่เข้าไปในบ้านหน่อย”
“คุยตอนนี้แหละ เกิดมันเอาเปรียบแกจะทำไง”
“คนอย่างหนูไม่ยอมให้ใครเอาเปรียหรอกน่า” ฉันปัดมือไล่พี่ขายตัวเอง “เมื่อกี้เป็นพี่น้ำชาโทรมาด้วย รีบไปรับเถอะ”
พอพูดถึงเมีย พี่ชายฉันก็รีบวิ่งแจ้นเข้าไปในบ้านแต่ก็ไม่ลืมพาแม่เข้าไปด้วย จนเหลือแต่ฉันที่ต้องเผชิญหน้ากับผู้ชายหน้าเลือดเพียงลำพัง
“จะเอายังไงก็ว่ามาเลย” ฉันกัดฟันสู้สบตากับคนตัวสูงกว่า แค่ส่วนสูงและรูปร่างของเขาก็แทบจะจับฉับฟาดลงกับพื้นได้แล้ว
“ทำผิดแล้วยังหนี หรือต้องไปเคลียกันที่โรงพัก”
“หนีอะไรเล่า แค่เจ็บแผลอยากมาทำแผลก่อนแล้วค่อยกลับไปเคลีย”
“ตอแหล”
กรี๊ด!! เมื่อกี้ฉันไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหม ผู้ชายคนนี้ปากจัดอย่างกับอมหมาไว้ทั้งตัว สงสัยฉันเจอศึกหนักแล้วแน่ๆ
“จะให้รับผิดชอบยังไงก็ว่ามาเลย แต่ให้จ่ายสามแสนไม่มีหรอก ใครใช้ให้จอดรถข้างทางกัน!”
“พูดแบบนี้จะไม่รับผิดชอบเหรอวะ!”
“ก็บอกมาสิจะให้รับผิดชอบยังไง!” ฉันกอดอกถามอย่างเอาเรื่อง ที่ทำแบบนี้ได้ก็เพราะเราอยู่กันคนละฝั่งแล้วมั่นใจว่าประตูรั้วล็อกแล้วถึงกล้าต่อกลอนกับเขา
“ไปเซ็นสัญญาจ่ายค่าซ่อม”
“จะเอาไหนไปจ่ายล่ะ เงินตั้งขนาดนั้น”
“งั้นก็ไปโรงพัก”
เอะอะก็โรงพัก คิดคำอื่นไม่ได้แล้วหรือไงวะ คิดว่ากลัวหรือไง หลักฐานก็ไม่มียังไงฉันก็รอด!
“เชิญเลย ตำรวจคงเชื่อหรอก”
“ตำรวจอาจจะไม่เชื่อคำพูดฉัน แต่เชื่อกล้องวงจรปิดแน่นอน” พูดจบเขาก็ทำท่าจะหันหลังเดินหนีไป
“เดี๋ยว!” ให้ตายเถอะ ฉันไม่น่าหาเรื่องใส่ตัวเองเลย “มีกล้องด้วยเหรอ”
พี่อี้เต๋อทำหย้านิ่งก่อนจะกระตุกยิ้มมุมปากอย่างเย้ยหยัน แล้วคำตอบที่ออกจากปากเขาก็ทำเอาฉันแทบทรุดลงไปนั่งกับพื้น
“กล้องหน้าร้านมีตั้งสามตัว ไม่แหกตาดูหรือไง”
พ่อทำธุรกิจผลิตกล้องหรือไง ติดทำไมเยอะชิบหายเลย!
“คุยกันก่อนสิจะรีบไปไหน”
“เสียเวลา ไม่อยากคุย”
“ขอผ่อนจ่ายได้ไหม อาทิตย์ละห้าร้อยก็ได้” ฉันยอมอดข้าวมือเย็นทุกวันเลยจะได้หุ่นดีด้วย
“ปัญญาอ่อน ชาตินี้จะจ่ายครบไหมวะ”
“ใจเย็นสิพี่ชาย งั้น…ให้ทำงานใช้หนี้ก็ได้ หนูทำได้หมดเลย”
“ฉันไม่ต้องการ”
“ถ้าไม่ให้ทำก็ไม่มีจ่ายนะ กวาดบ้านถูบ้าน ซักผ้าล้างจาน ทำได้หมด…”
“พอเถอะ คนอย่างเธอไปอยู่ในคุกน่าจะสมควรที่สุดแล้ว ฉันเหนื่อยจะคุย”
“ฮือๆ พี่คะ ได้โปรดเถอะ บ้านหนูไม่มีเงินจริงๆนะ พ่อก็ป่วยแม่ก็เป็นหนี้” เอาวะ พูดความจริงแบบนี้บางทีเขาคงเห็นใจ
“ถึงกับต้องแช่งพ่อแข่งแม่เลยเหรอ เธอเป็นคนแบบไหนวะ”
แช่งบ้าอะไรพูดความจริงทั้งหมดยังไม่เชื่อ ก็แน่ล่ะ คนเข้มแข็งอย่างฉันไม่มีใครดูออกหรอกว่าต้องเจอกับอะไรบ้าง
“พูดจริงๆพี่! ขอร้องล่ะนะ ถ้าไม่ให้ทำงานก็ไม่มีปัญญาใช้หรอก”
“เฮ้อ ทำไมซวยแบบนี้วะเนี่ย” เขาสบถออกมาอย่างหงุดหงิดก่อนจะปรายตามองฉันแล้วพูดเสียงเข้ม “พรุ่งนี้ไปที่อู่ เซ็นสัญญารับผิดชอบด้วย”
“พูดแบบนี้แปลว่าตกลงเหรอ!?”
เขาไม่ตอบ ทำเพียงถอนหายใจแล้วหันหลังเดินไปข้างหน้า แต่อยู่ๆก็หยุดชะงักแล้วหันมาอีกครั้งเหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้
“ถ้าไม่มาก่อนเที่ยงก็ไปเจอกันที่โรงพัก”