ตอนที่ 1 เคราะห์ซ้ำกรรมซัด
“พ่อ ญ่าออกไปซื้อผักให้แม่นะ พี่ธูปอยู่หน้าอู่มีอะไรก็เรียกเอา” ฉันตะโกนบอกพ่อที่นอนเอนกายอยู่หน้าโทรทัศน์ซึ่งเป็นที่ประจำของแกตั้งแต่เกษียณตัวเองจากการซ่อมรถเพราะป่วยก็เอาแต่ดูรายการทีวีทั้งวัน
พ่อของฉันป่วยเป็นโรคมะเร็งในลำไส้ เจอเนื้อร้ายก็ตอนระยะที่สามแล้ว เท่าที่เคยได้ยินใครหลายคนพูดกันก็ต่างบอกว่าระยะนี้คงจะอยู่ได้ไม่นาน ตอนที่รู้เรื่องนี้ครอบครัวเราก็จิตตกไปหลายวัน
ยกเว้นพ่อ ที่ไม่มีอาการตกใจอะไรเลย ท่านเข้มแข็งทั้งกายและใจมากกว่าพวกเราเสียอีก คนที่ทรุดโทรมลงมากกว่าคือแม่ที่เครียดจนทำอะไรแทบไม่ได้
“กะหล่ำสองหัวนี้จ๊ะป้า”
“สามสิบสองบาทจ้า”
“รอเดี๋ยวนะป้า” ฉันล้วงเอาเงินในกระเป๋ากางเกงขาสั้นที่เพิ่งได้ทอนมาจากร้านขายหมูสดแต่กลับพบกับความว่างเปล่า แถมยังเจอรูโบ๋ตรงกระเป๋าทะลุไปถึงผิวเนื้อตัวเอง
“เร็วๆไอ้ญ่า ป้าจะปิดร้านแล้ว เดี๋ยวพาลุงไปหาหมออีก”
“แปะไว้ก่อนได้ไหม พรุ่งนี้มาจ่าย”
“อะไรของเอ็ง เงินแค่นี้ยังมาติด วันนี้เจอคนขอติดเงินเป็นสิบคนแล้วฉันจะเอาเงินที่ไหนพาผัวไปหาหมอ หา!!”
“ก็ฉันทำเงินหล่นหายกลางทาง ไม่ได้ก็ไม่เอาละกัน” ว่าแล้วฉันวางถุงผักลงกับแผงหน้าร้าน ขี้งกจริงๆเลย ฉันเคยติดเงินใครที่ไหน ห้าบาทสิบบาทก็เอามาจ่ายโว้ย!
“พอพ่อเอ็งทำงานไม่ได้ก็เริ่มออกลายแล้วไง แม่เอ็งก็ไปติดเงินเขาจนทั่ว ค่าแชร์ที่บอกว่ารับไปแล้วจะเอาไปจ่ายค่าเทอมเอ็ง ก็จ่ายช้า เกินเวลามาเกือบเดือนแล้วก็ไม่จ่าย เหอะ ตกอับแล้วไง”
ฉันเงียบ ไม่ใช่เพราะเถียงไม่ออกแต่เพิ่งมารู้เรื่องแบบนี้ ไม่รู้ว่ามันคือความจริงหรือเปล่าแต่พอจะรู้มาบ้างว่าช่วงนี้อู่ซ่อมรถ ธุรกิจหลักของบ้านเราค่อนข้างเงียบลง
“ป้าไปรู้ได้ยังไง อย่ามาใส่ร้ายแม่หนูนะเว่ย”
“โอ๊ย! เขานินทากันทั้งตลาด มีแต่พวกเอ็งนั่นแหละที่ไม่รู้” ผู้หญิงวัยห้าสิบกว่าเอ่ยแถมยังทำหน้าตาราวกับผิดหวังพร้อมกับส่ายหน้าไปมา “ไปๆ ไม่ซื้อก็รีบไปฉันจะเก็บของปิดร้าน”
ฉันไม่ได้เถียงต่อ หันหัวจักรยานพร้อมกับเนื้อหมูสดที่เพิ่งซื้อมาจากร้านมุ่งหน้าไปยังบ้านของตัวเองที่อยู่ไม่ไหลจากตลาด สมองของฉันเอาแต่นึกถึงเรื่องที่ถูกกล่าวหาจนมันตีกันไปมาเพราะไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
ปี๊นๆ
เสียงแตรจากรถคันหนึ่งดังขึ้นสร้างความตกใจให้ฉันจนหักคอรถจักรยานเข้าข้างทางจนชนเข้ากับรถคันหนึ่ง แต่สัญชาตญาณความเอาจัวรอดของฉันสั่งให้กระโดดหนีจากรถจักรยานคันเก่าของแม่ที่ทำด้วยเหล็กหนักทั้งคัน
โครม!
“โอย~”
ใช่ว่ากระโดดหนีแล้วจะไม่เจ็บตัวเพราะดันเสียหลักร่วงลงไปนอนกับพื้นจนแขนไถลไปกับซีเมนต์ทั้งแถบจนเห็นรอยถลอกยาวและมีเลือดซึมออกมาจนน่ากลัว
“เฮีย! รถถูกชน!”
“โวยวายอะไรไอ้ตี๋”
“เตบอกว่ารถโดนชน นี่ไงรถเฮียเป็นรอยแล้ว สมน้ำหน้า” ประโยคหลังเด็กผู้ชายพูดเบามากแต่ฉันที่นั่งอยู่ใกล้นั้นได้ยินชัดเจน มองจากสีหน้าแล้วดูสะใจจริงๆ
แต่ช่างเถอะมันไม่ใช่เวลาจะมาสนใจว่าเด็กมันจะคิดยังไง ที่ควรสนใจคือตอนนี้ฉันอยู่หน้าอู่ซ่อมรถของพี่อี้เต๋อ อดีตศัตรูหัวใจเบอร์หนึ่งของพี่ธูป พี่ชายของฉัน!
“ไหน…เชี่ย~ ใครทำวะ!”
“คนนี้ทำ” นิ้วชี้เล็กของเด็กวัยประมาณห้าขวบจิ้มลงมาที่แก้มของฉันพร้อมกับสายตาสำรวจทั่วร่างกาย
“เอ่อ คือว่าฉันไม่ได้ตั้งใจ” ฉันบอกผู้ชายคนหนึ่งซึ่งน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกัน เขาสวมเสื้อผ้าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำมันรวมไปถึงใบหน้าก็มีรอยเปื้อด้วย ท่าทางดูไม่เป็นมิตรนัก
“ทำผิดก็ต้องขอโทษนะรู้ไหม” เด็กชายหน้าตาจิ้มลิ้มหันมาบอกฉันแล้วกอดอกมองอย่างเอาเรื่องจนฉันต้องเอ่ยปากขอโทษออกไปเพราะทำตัวไม่ถูก
“อือ ขอโทษ”
“ขอโทษบ้าอะไร” เจ้าของเสียงเข้มคนใหม่ดังขึ้นจากอีกทางจนเราทุกคนต้องหันไปมอง
“เฮียเต๋อ มาดูเอาเถอะ เข่าผมแทบทรุด”
เคยได้ยินแต่ชื่อก็ไม่คิดว่าจะหล่อขนาดนี้ มิน่าล่ะพี่ธูปถึงได้หวงพี่น้ำชานัก กลัวผู้ชายที่ชื่ออี้เต๋อคนนี้แย่งเมียไปนี่เอง
“ไม่ต่ำกว่าสามแสน”
สามแสน!
คนที่เข่าทรุดน่าจะเป็นฉันมากกว่า พอเหลือบเห็นสัญลักษณ์ยี่ห้อรถถึงได้ตระหนักถึงความจริงที่ว่า ราคาค่าซ่อมที่ตาช่างนั่นกล่าวคงไม่ใช่แค่พูดเล่น ก็รถมันราคาไม่ต่ำกว่าสิบล้าน!
ช่วงที่พวกนั้นกำลังลูบๆคลำๆรอบที่เกิดจากจักรยานรุ่นเก่าของแม่ ฉันก็รีบคว้าจักรยานแล้วปั่นมันออกไปจากที่เกิดเหตุทันที
ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายของเด็กห้าขวบที่แหกปากร้องฟ้องพวกนั้นอยู่ข้างหลัง แต่มันไม่ใช่เวลาที่จะหันมอง เวลานี้ควรเอาตัวรอดไว้ก่อน
เงินสามแสนบ้าอะไร สามร้อยยังแทบไม่มีติดกระเป๋าเลย!