หนี้รักทาสเสน่หา

112.0K · จบแล้ว
อัญญาณี
46
บท
12.0K
ยอดวิว
7.0
การให้คะแนน

บทย่อ

พิตตนันท์ถอยร่นจนแผ่นหลังชิดกับผนังปูน โดยมีร่างของชายหนุ่มที่ก้าวย่างเข้ามาใกล้ดั่งมัจจุราช แววตาของเขาทำให้เธอกลัวอย่างบอกไม่ถูก กลัวจนเธอไม่สามารถบรรยายออกมาได้“อย่าทำอะไรต้นข้าวเลย..ต้นข้าวกลัวแล้ว”เธอพูดทั้งน้ำตา ตอนนี้กัณติพัฒน์หาได้มีความสงสารและเมตตาไม่ เพราะว่าเขาถูกความโกรธและแรงโทสะ รวมทั้งความหึงหวงครอบงำ“มานี่”มือแกร่งกระชากร่างบางของเธออย่างแรง ลากจูงไปที่ห้องนอนของเขาก่อนจะโยนร่างบางไปบนเตียงกว้าง โดยมีร่างของเขาทาบทับอยู่“เธอจะได้รู้จักความสุขจนแทบกระอัก ได้รู้จักความเจ็บปวดและทรมานอย่างที่ไม่เคยเจอ และนี่คือการตอบแทนที่เธอทอดร่างกายให้คนอื่นเชยชม”เขากัดฟันพูด ดวงตาลุกโชนด้วยความโกรธ มือหนากระชากชุดคลุมของเธอออก แม้ว่ามันจะหนาแต่ก็ไม่ใช่อุปสรรคสำหรับเขา เพราะเพียงครู่เดียวเสื้อคลุมตัวสวยถูกฉีกขาดกระจุยลงไปอยู่ที่พื้น ตามด้วยชุดนอนตัวบางของเธอเป็นชิ้นต่อไป“ไม่..อย่า..คุณกันไม่ม่ม่ม่ม่ม่ม่”เธอกรีดร้องเสียงดังเมื่อความแข็งแกร่งของเขาคืบคลานเข้าไปในร่างกายเธออย่างรุนแรง กัณติพัฒน์ไม่สนใจเสียงที่แผดร้องและเสียงสะอื้นของพิตตนันท์ เพราะตอนนี้เขานึกเพียงสิ่งเดียวคือต้องการลงโทษเธอให้สาสม กับความเสียใจและผิดหวังของเขา แรงเคลื่อนไหวเริ่มทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ตามอารมณ์ของเขา ร่างกายสาวแทบแหลกสลาย ไม่ว่าจะเป็นทรวงอกอวบที่ถูกเขาบีบเคล้นจนแหลกคามือ ปลายถันที่เขาดูดกลืนและกัดมันเจ็บจนเธอน้ำตาเล็ด รอยฝากรักตามร่างกายกระจายไปทั่ว พิตตนันท์ไม่รู้ว่าเวลาที่โหดร้ายผ่านไปนานเท่าไหร่ หญิงสาวเองไม่อยากสนใจไม่อยากรับรู้ ขอเพียงเขาหยุดการกระทำที่ป่าเถื่อนนี้เร็วๆ ก็พอ

นิยายรักโรแมนติกนิยายปัจจุบันประธานพระเอกเก่งมาเฟียเศรษฐีรักหวานๆโรแมนติกดราม่า

บทที่ 1 บทนำ 1

“ว่าไงนะ..จะมากู้เงินฉันหนึ่งแสน มีอะไรมาค้ำประกันเงินกู้มั้ย..ถ้ามีฉันจะให้”

เสียงของคุณนายผกาผู้ร่ำรวยและแสนเค็ม ปล่อยเงินกู้ด้วยดอกเบี้ยแสนหฤโหด ดังก้องอยู่ในโสตประสาทหูฝังแน่นเข้าไปในจิตสำนึก จริงสิเธอแบกหน้ามาขอกู้ยืมเงินแต่ไม่มีหลักประกันอะไรเลย อย่างนี้เธอจะได้เงินไปรักษายายที่นอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาลได้ยังไง

“บ้านที่อยู่ท้ายสวน..พอจะค้ำประกันได้หรือเปล่าคะคุณนาย”

คุณนายผกาหัวเราะออกมาดังลั่น เมื่อได้ยินคำพูดที่ชวนหัวเราะของสาวแสนซื่อคนนี้

“ฉันอยากจะหัวเราะให้ฟันหัก..บ้านของเธอที่อยู่ท้ายสวนมันมีค่าถึงแสนหนึ่งเหรอ แม่ต้นข้าวใช้อะไรคิดเนี่ย”

คุณนายแสนเค็มหัวเราะอีกครั้งเมื่อพูดจบ ส่งผลให้สาวน้อยหน้าใสแสนซื่อนามว่าพิตตนันท์ หน้าเจื่อนลงทันที จริงอย่างที่นางพูดบ้านเก่าขนาดนั้นได้เงินแค่ห้าพันก็ถือว่ามากแล้ว

“งั้นต้นข้าวขอตัวกลับก่อนนะคะ”

พิตตนันท์ขอตัวกลับทันทีเพราะอยู่ที่นี่ต่อไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร รังแต่จะขายขี้หน้าเปล่าๆ หญิงสาวก้าวออกมาพ้นประตูห้องรับแขก โดยไม่รู้ว่ามีบุคคลที่สามยืนฟังการสนทนาของเธอและคุณนายผกาอยู่

มารุตลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของคุณนายผกา เดินตามพิตตนันท์ออกมา เพื่อยื่นข้อเสนออะไรบางอย่างให้กับเธอ แลกกับเงินหนึ่งแสนบาท หลังจากที่ยืนฟังเหตุผลของการมาขอกู้เงินในครั้งนี้

“เดี๋ยว!!..ต้นข้าว” มารุตร้องเรียกหญิงสาวเมื่อเดินเข้ามาใกล้ ร่างบางหยุดชะงัก หมุนตัวกลับไปมองผู้เรียก

“มีอะไรคะ?..คุณรุต” หญิงสาวเอ่ยถาม

“เธออยากได้เงินหนึ่งแสนบาทอยู่หรือเปล่า?” มารุตถามตรงจุด

“คุณรุตจะให้ต้นข้าวยืมหรือคะ?” พิตตนันท์ร้องถามด้วยความดีใจ

“อืม..ให้เลยล่ะ..ไม่เอาคืนด้วย” มารุตพูดอย่างมีเลศนัย

“จริงหรือคะ?” เธอถามย้ำอีกครั้ง ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวัง ในที่สุดเธอสามารถหาเงินไปรักษาอาการป่วยของยาย ที่นอนอยู่ที่โรงพยาบาลได้แล้ว

“แต่มีข้อแม้นะ” ในที่สุดสิ่งตอบแทนจากการให้เงินหนึ่งแสนบาท ก็เปิดเผยออกมา

“อะไรคะ?”

“ไปคุยกันตรงโน้นดีกว่า เพราะว่าเราต้องคุยกันยาว”

มารุตเดินนำหญิงสาวไปที่โต๊ะหินอ่อน ที่ตั้งอยู่กลางสนามหน้าบ้านเรือนไทยของเขา การสนทนาจึงเริ่มต้นอีกครั้ง เมื่อทั้งสองทรุดตัวลงนั่งที่หินอ่อนทรงสูง

“เธอฟังฉันให้จบก่อนนะแล้วค่อยแย้ง..ตกลงมั้ย?”

มารุตรู้ว่าสิ่งที่เขาจะพูดออกไปนั้น หญิงสาวแสนสวยคนนี้ต้องไม่ยินยอมและโวยวายเป็นแน่ เขาจึงพูดดักคอไว้เสียก่อน

“ค่ะ” หญิงสาวรับคำ สัญชาตญาณบอกให้เธอได้รู้ว่า ต้องเป็นเรื่องที่เธอรับไม่ได้แน่นอน

“อาทิตย์หน้า เป็นวันเกิดของเพื่อนสนิทของฉัน ปีนี้ฉันอยากให้ของขวัญที่เขาประทับใจและไม่มีวันลืม เป็นของขวัญที่แปลกกว่าคนอื่นๆ ...”

เขาหยุดชะงักคำพูดนั้นไว้ สูดลมหายใจเข้าและผ่อนออกมา มองใบหน้างามของผู้หญิงตรงหน้าเพียงนิด ก่อนจะพูดต่อ

“ของขวัญชิ้นนั้นก็คือ..ความบริสุทธิ์ของเธอหรือเรียกง่ายๆ ว่าพรหมจารี..ถ้าเธอมีสิ่งนั้นอยู่”

ร่างของพิตตนันท์เเข็งราวกับหิน หัวใจแทบหยุดเต้น ดวงตาทั้งสองข้างเบิกโพรงด้วยความตื่นตกใจ คำพูดที่เปล่งออกมานั้นเป็นคำพูดที่ดูถูกเธอเป็นอย่างมาก และดูถูกศักดิ์ศรีของลูกผู้หญิงด้วย

“คุณมันบ้า..บ้าที่สุด” เธอตะโกนใส่หน้าของมารุตเต็มเสียง ตั้งท่าจะวิ่งหนีชายหนุ่มตรงหน้าไปให้ไกลแสนไกล ไกลจากผู้ชายที่หยามเกียรติเธอ

“เธอลองเอาไปคิดดูนะ..ฉันจะรอคำตอบจากเธอสามวัน” เขาพูดไล่หลังพิตตนันท์

“ไม่ว่าจะกี่วัน คำตอบของต้นข้าวก็คือไม่”

หญิงสาววิ่งออกไปจากบ้านหลังนั้นทันที โดยมีสายตาของมารุตมองตามไปจนสุดสายตา

“ฉันไม่คิดอย่างนั้น..ต้นข้าว..เธอต้องกลับมาให้คำตอบที่ฉันพอใจแน่นอน” มารุตพูดออกมาเมื่อร่างของเธอออกไปจากประตูรั้วแล้ว

พิตตนันท์มาหยุดยืนหอบอยู่ที่สะพานไม้ ที่เชื่อมต่อระหว่างสองฝั่งคลอง ดวงตาคู่หวานมองเรือแจวที่ผ่านสัญจรอยู่ในแม่น้ำสายเล็กๆ ที่เชื่อมต่อกันหลายหมู่บ้าน เป็นแม่น้ำที่ยังอุดมไปด้วยความใสสะอาด ใช้ประโยชน์ได้ตามปกติ เป็นเพราะหมู่บ้านทั้งสามแห่ง ช่วยกันดูแลเอาใจใส่ผืนน้ำผืนนี้ให้ลูกหลานไว้ได้ใช้สืบต่อไป บ้านของพิตตนันท์อยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร แถบชานเมืองมีสวนผลไม้ปลูกอยู่รอบบริเวณ ร่มรื่นและอบอุ่นด้วยไมตรีของเพื่อนบ้าน ที่พึ่งพาอาศัยกันเหมือนพี่เหมือนน้อง

“ยายจ๋า..ต้นข้าวจะทำยังไงดี จะหาเงินที่ไหนมารักษายาย”

พิตตนันท์ปรารภกับผืนน้ำที่สงบนิ่งเบื้องล่าง ปลดปล่อยอารมณ์ให้เลื่อนลอยไปพร้อมกับความคิดที่ว่างเปล่าของเธอ เสียงโทรศัพท์เครื่องเล็กราคาถูกดังขึ้นหลายครั้ง ทำให้ความคิดที่ล่องลอยไปไกล วกกลับเข้ามาในสมองทันที

“พิตตนันท์พูดค่ะ” ปลายทางรับสายเสียงหวาน

“โทรฯ มาจากโรงพยาบาลนะคะ ตอนนี้อาการของยายหอมยังไม่ดีขึ้น ทางเราจะแจ้งให้ญาติทราบว่า ต้องพายายหอมเข้ารับการผ่าตัดอย่างเร่งด่วนค่ะ ขอความกรุณาคุณมาเซ็นอนุญาตด้วยนะคะ” เสียงของเจ้าหน้าที่พยาบาล ทำให้ร่างบางสั่นไหว น้ำตาเม็ดใสๆ เกลือกกลิ้งไปตามแก้มนวล

“ค่ะ..จะรีบไปเดี๋ยวนี้ค่ะ” เธอตัดสายทิ้งก่อนจะเดินทางไปที่โรงพยาบาลทันที

เมื่อมาถึงโรงพยาบาล สาวน้อยวิ่งไปที่ตึกผู้ป่วยในเพื่อดูอาการของยายหอม มีนางพยาบาลสองสามคน รายล้อมอยู่รอบเตียง ช่วยกันถอดสายน้ำเกลือและเครื่องช่วยหายใจออกจากใบหน้าของยายหอม

“เรากำลังพายายหอมไปห้องผ่าตัดพอดีค่ะ เมื่อสักครู่ยายหอมปวดท้องมาก เราต้องรีบผ่าตัดด่วนค่ะ รบกวนให้ญาติผู้ป่วยไปเซ็นเอกสารด้วยนะคะ” พยาบาลพูดอย่างเร่งรีบ ก่อนที่บุรุษพยาบาลคนหนึ่งทำหน้าที่เข็นร่างที่ไร้สติของยายหอมไปที่ห้องผ่าตัด

หลังจากที่เซ็นเอกสารยินยอมให้ผ่าตัดเรียบร้อยแล้ว พิตตนันท์มานั่งรอที่หน้าห้องผ่าตัดอย่างใจจดใจจ่อ ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความกังวล ว้าวุ่นใจ อาการป่วยของยายหอมเรื้อรังมานาน สืบเนื่องจากนางดื้อที่จะไปหาหมอ ด้วยเหตุผลที่ทำให้เธอต้องเสียน้ำตาทุกครั้งที่ได้ยิน

‘เก็บเงินไว้เรียนหนังสือเถอะลูก อีกไม่กี่เดือนก็จะจบแล้ว อย่าให้ยายเป็นตัวถ่วงที่ทำให้หลานเรียนไม่จบเลยนะ’ นี่เป็นเหตุผลที่ยายหอมไม่ไปหาหมอ อาศัยทานแต่ยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการเท่านั้น เพราะต้องการให้เธอนำเงินที่เก็บหอมรอมริบ จากการขายขนมหวานและร้อยพวงมาลัยขาย อาชีพที่หาเลี้ยงดูพิตตนันท์และดาวเรืองมาตั้งแต่เล็กจนกระทั่งเติบใหญ่

ยายหอมป่วยเป็นเนื้องอกในกระเพาะอาหาร ผลจากการดื้อดึงไม่ยอมไปพบแพทย์ ทำให้ก้อนเนื้อเริ่มขยายใหญ่ขึ้น ส่งผลให้ยายหอมมีอาการปวดท้องเรื้อรังมานานนับหกเดือน จนกระทั่งเมื่อวานนี้ยายหอมปวดท้องจนสลบไป พิตตนันท์จึงพายายมาตรวจดูอาการและรู้ว่ายายหอมเป็นเนื้องอกในกระเพาะอาหาร แต่ที่ทำให้เธอหนักใจมากที่สุด คือค่ารักษาพยาบาลที่ต้องแบกรับภาระนับแสนบาท เมื่อแพทย์ตรวจเจอเนื้องอกที่มดลูกและที่กระดูกสันหลัง ดีหน่อยที่ว่าเนื้องอกทั้งสองนั้นไม่ใช่เนื้อร้าย แต่ก็นิ่งนอนใจไม่ได้ หากกำจัดได้ในตอนนี้ก็สมควรทำ เพื่อต่อไปภายภาคหน้าเนื้อดีสองก้อนนั้นจะไม่รุกรานไปส่วนอื่นอีก

การรอคอยนานสองชั่วโมงผ่านพ้นไป ร่างของยายหอมถูกเข็นออกมาจากห้องผ่าตัด นายแพทย์ที่รักษาอาการบอกว่ายายหอมพ้นขีดอันตรายแล้ว แต่ต้องเข้าไปพักฟื้นในห้องปลอดเชื้อหนึ่งคืน เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีโรคแทรกซ้อน เธอจึงต้องเดินทางกลับบ้าน เนื่องจากทางโรงพยาบาลไม่อนุญาตให้ญาติมาเฝ้าไข้ในห้องปลอดเชื้อ เพราะมีนางพยาบาลคอยเฝ้าดูอาการตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง