ตอนที่ 3
เธอเขียนชื่อวัดที่จะนำศพของปราโมทย์ไปตั้งสวดอธิธรรมลงในแผ่นกระดาษใบเล็กๆที่ขอมาจากเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ของโรงพยาบาล แล้วยื่นให้เขา
“ขอบคุณ”
เขาเอื้อมรับแผ่นกระดาษเล็กๆจากมือของเธอ
“เอากระดาษแผ่นนี้ให้แท็กซี่…หรือไม่ก็โทรมาตามเบอร์ที่จดให้นะคะ”
คาร์ลอสรู้สึกได้ว่าน้ำผึ้งออกอาการเกร็งๆที่จะสื่อสารกับเขา อาจเป็นเพราะความแปลกหน้า ไม่คุ้นเคยต่อกัน
“แล้วเจอกันนะคะ”
เธอกล่าวก่อนจะปลีกตัวออกไปจัดการธุระเกี่ยวกับงานศพของสามี ต้องไปแจ้งมรณะที่อำเภอภายใน 24 ชั่วโมง แล้วค่อยนำใบมรณะบัตรมาติดต่อขอรับศพกับทางโรงพยาบาลอีกที เพื่อนำไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อไป
เสี้ยวขณะที่ร่างระหงของน้ำผึ้งกำลังจะลับสายตาของคาร์ลอสที่แอบมองดูการจากไปของเธออยู่เงียบๆ เป็นเสี้ยวขณะเดียวกันกับที่ความรู้สึกบางอย่างทำให้น้ำผึ้งต้องเหลียวกลับมามองคาร์ลอส
แม้สายตาจะประสานกันในระยะไกล ทว่าหญิงสาวก็พอจะอ่านออกว่าเขากำลังคิดอะไร
ใช่…เธอรู้ว่าเขากำลังตั้งข้อสงสัยอยู่เงียบๆ ถึงสาเหตุแห่งการตายของน้องชาย
เหตุที่คาร์ลอสเป็นคนช่างสงสัย และบางครั้งก็เผลอมองเธอด้วยสีหน้าตั้งคำถาม แววตาแข็งกร้าวคู่นั้นกระหายที่จะสอบสวนเธออยู่ตลอดเวลา อาจเป็นเพราะบุคลิกภาพเหล่านั้นล้วนเป็นความเคยชินซึ่งติดมาจากหน้าที่การงานของเขา เพราะคาร์ลอสทำงานให้ซีไอเอ* เขาสังกัดหน่วยปฏิบัติการภาคสนาม (The Directorate of Operations) พวกนี้คือขาลุยฝีมือฉมัง ทำงานลับๆด้วยการแฝงตัวเข้าสู่พื้นที่อันตรายมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
ซีไอเอ* (Central Intelligence Agencies : CIA) คือหน่วยข่าวกรองกลาง เป็นองค์การที่รัฐบาลกลางของสหรัฐอเมริกาสถาปนาขึ้นเมื่อ ค.ศ. ๑๙๔๗ มีหน้าที่สืบเสาะข่าวสารข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นทั้งภายในและภายนอกสหรัฐอเมริกา
------------------------------
ทว่าเมื่อไม่กี่วันมานี้ มีเหตุให้เขาต้องยื่นเรื่องขอลาออก สาเหตุมาจากความผิดพลาดในการปฏิบัติงานครั้งล่าสุด ที่เขาไม่สามารถปกป้องชีวิตของตัวประกันเอาไว้ได้
เพื่อนร่วมงานหลายคนพยายามทัดทานไม่ให้คาร์ลอสลาออก ทว่าก็ไม่เป็นผล และเมื่อเรื่องถึงผู้บังคับบัญชาระดับสูง ด้วยตระหนักว่าฝีมือระดับพระกาฬอย่างเขา ใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆ จึงพยายามยับยั้งการลาออกของเขา อนุญาตให้คาร์ลอสหลบไปพักผ่อนสักพัก เมื่อสบายใจค่อยกลับมาทำงาน
ขณะที่คาร์ลอสกำลังอยู่ระหว่างตัดสินใจว่าจะไปพักผ่อนที่ไหน เขาก็ได้รับข่าวร้ายเรื่องน้องชายที่เสียชีวิตกะทันหัน ทำให้จุดหมายในการพักร้อนของเขาต้องมาลงที่เมืองไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้วัตถุประสงค์ของการมาเยือนต้องเปลี่ยนไปจากครั้งแรกที่ตั้งใจเอาไว้ว่าจะมาพักร้อนให้หายเครียดเรื่องงาน กลับกลายเป็นต้องมาร่วมงานศพของน้องชายแทนพ่อกับแม่ที่แก่ชราเกินกว่าจะเดินทางไกลด้วยการนั่งเครื่องบินมาหลายชั่วโมง เขาจำต้องรับหน้าที่เป็นตัวแทนของครอบครัวเพื่อมาแสดงความไว้อาลัยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ที่บริษัททัวร์แห่งหนึ่งซึ่งมีสภาพเป็นเพียงทาวน์เฮาส์เล็กๆสองห้องเชื่อมต่อกัน ทว่าด้วยการตกแต่งให้บริเวณผนังด้านหน้าดูแตกต่างไปจากหลังอื่นๆที่ขนาบยาวออกไปทั้งด้านซ้ายและขวา จึงตกแต่งผนังและกรอบประตูทางเข้าด้านหน้าให้ดูแปลกตา ก่อทับด้วยอิฐมอญสีส้มซีด เรียงสลับขึ้นเป็นผนังโดยไม่ฉาบปูนทับ โชว์รอยประสานของอิฐแต่ละก้อนด้วยสีของซีเมนต์ธรรมชาติ จงใจทำให้ความสูงของอิฐแต่ละก้อนลดหลั่นไม่เสมอกัน มีรอยเว้าแหว่งราวกับว่าที่ตรงนั้นเป็นส่วนหนึ่งของโบราณสถานเก่าแก่ ตกทอดมาแต่ครั้งอดีตกาล กลมกลืนกับต้นตีนตุ๊กแกที่แผ่คลุมบางส่วนของผนัง กระจายคล้ายผืนพรมที่ปูขึ้นในแนวตั้ง คลี่คลุมบางส่วนของอิฐเอาไว้
ที่ด้านหน้าประตูทางเข้า ขนาบเอาไว้ด้วยลีลาวดีสายพันธุ์ขาวพวงต้นใหญ่สองต้น อวดดอกสีขาวเป็นพุ่มสะพรั่ง กลิ่นหอมจางๆของดอกลีลาวดีที่เจือจับอยู่ในบรรยากาศ ทำให้บริษัทเล็กๆแห่งนั้นดูมีเสน่ห์ลึกลับ ป้ายชื่อบริษัทที่แขวนประดับเอาไว้เหนือกรอบประตูทางเข้า เป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษสีขาว หากเส้นสายกระหวัดไหวประหนึ่งลวดลายไทย บนแผ่นไม้สีน้ำตาลเข้ม ความยาวเท่าช่วงแขนเหยียด อ่านข้อความได้ว่า ‘Precious Moment Tour’ ซึ่งพนักงานมักจะเรียกย่อๆกันจนติดปากว่า ‘PMT’ ทัวร์ อันย่อมาจากชื่อเต็มของบริษัท
เมื่อก้าวเท้าขึ้นมาบนรถทัวร์วีไอพีปรับอากาศ 2 ชั้น 42 ที่นั่ง สีน้ำเงินคราม ในสภาพใหม่เอี่ยม จอดเลียบอยู่หน้าบริษัท ติดเครื่องรออยู่ในสภาพพร้อมออกเดินทาง แอร์ในรถเย็นยะเยียบเพราะแสดงแดดยังไม่สาดมาเยือน
“ครบหรือยังเอ่ย”
‘น้ำค้าง’ หญิงสาวหน้าตาสะสวย ในมือถือโทรโข่ง ถามเอ่ยถามกับลูกทัวร์ด้วยเสียงดังฟังชัด ขณะกำลังกวาดสายตาสำรวจไปตามที่นั่งของผู้โดยสาย
“รู้สึกว่าจะขาดไปสองคน…อีกคนไปห้องน้ำ”
เป็นเสียงของเพื่อนร่วมงานคนหนึ่ง มีชื่อว่า ‘เพ็ญ’ กำลังสาละวนอยู่กับน้ำดื่มในแก้วพลาสติกบรรจุสำเร็จ เพื่อเตรียมแจกจ่ายลูกทัวร์ตอนรถเริ่มออกเดินทาง
“อ้าว…แล้วตรงนี้ล่ะ”
หญิงสาวที่มีโทรโข่งอยู่ในมือหันมาถามอีกครั้ง เมื่อเหลือบไปเห็นเบาะที่นั่งตรงแถวหน้า ด้านหลังคนขับซึ่งยังว่างอยู่
“ยังไม่เห็นเลย” เพ็ญส่ายหน้า
“แล้วมีใครโทรตามหรือยัง”
“กำลังโทรตามครับ”
ลุงแหลมซึ่งเป็นโชเฟอร์หันมาตอบเบาๆ
“เร่งหน่อยนะครับคุณน้ำ ถ้าสายเดี๋ยวรถติด” ลุงแหลมเป็นห่วง ขณะตรวจตราดูความเรียบร้อยของรถ อุ่นเครื่องยนต์ไปพลางๆ
ระหว่างที่น้ำค้างกำลังจะเดินลงไปจากรถ เพื่อตรวจสอบข้อมูลของลูกทัวร์รายที่ยังมาไม่ถึง ทั้งที่ก็เลยเวลานัดมามาก ระหว่างนั้นเอง อังเอิญสายตาเหลือบไปเห็นร่างสูงใหญ่ของผู้ชายชาวต่างชาติ สะพายเป้ใบใหญ่เอาไว้ด้านหลัง เดินตรงเข้ามาที่สำนักงาน ใกล้ๆกับที่เธอยืนอยู่
เขาชะงักเล็กน้อย ดูเงอะงะเมื่อเห็นเธอ
“กลิ่นนั้น…”
ฝรั่งคนนั้นพึมพำ ตอนแรกเจอกันเขาสื้อสารด้วยภาษาอังกฤษ ทำจมูกฟุดฟิด สูดกลิ่นหอมของลีลาวดีที่ลอยโชยอยู่ในบรรยากาศ
“คะ…”
น้ำค้างย่นหน้าผาก นึกสงสัยว่าอีตาฝรั่งคนนี้พูดอะไร?
“หอม…หอมเหลือเกิน” เขารำพึงขึ้นลอยๆ
“อะไรหอมคะ” เธอสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษเช่นกัน
“’…..”
เขาตอบด้วยการทำจมูกฟุดฟิด ทอดสายตาไปที่หน้าประตูทางเข้าสำนักงาน
เมื่อหญิงสาวหันไปเห็นดอกลีลาวดี จึงได้รู้ว่าฝรั่งคนนั้นกำลังพูดถึงอะไร