ตอนที่ 2
ภรรยาของผู้เสียชีวิตได้แต่ส่ายหน้า ไม่ยอมรับความจริง ถามย้ำราวกับไม่เชื่อว่าเรื่องที่เกิดขึ้นจะเป็นความจริง
“ผมเสียใจด้วยครับ”
คุณหมอตอบอีกครั้งด้วยอาการสงบ หากก็ซ่อนความรู้สึกผิดเอาไว้ในแววตา ที่ไม่สามารถช่วยชีวิตคนไข้เอาไว้ได้
“หลายครั้งที่เขาเคยเป็นแบบนี้ มักจะมีอาการจุกแน่นที่หน้าอกด้านซ้ายบ่อยๆ…แต่ไม่คิดว่าครั้งนี้จะรุนแรงถึงชีวิต” หญิงสาวกล่าวขึ้นลอยๆอีกครั้ง ไม่เชิงว่าขอความเห็นจากหมอ เพราะเธอก็รับรู้มาตลอดว่าสามีป่วยด้วยโรคหัวใจ และมักจะมีอาการจุกแน่นในลักษณะนี้บ่อยๆ ซึ่งก็อยู่ระหว่างการรักษา ทว่าปราโมยท์ก็หละรวมเหลือเกิน ในการเอาใจใส่ดูแลตัวเอง ทำราวกับไม่รักชีวิต ทั้งเหล้าและบุหรี่ที่หมอกำชับให้เลิกโดยเด็ดขาด เขาก็ไม่เชื่อฟัง
“ทุกรายที่มาถึงมือหมอในสภาพเดียวกับสามีของคุณ...แทบไม่เคยมีสักรายที่รอด” แพทย์ผู้ทำการผ่าตัดกล่าวชวนให้คิด
“สภาพไหนครับ…ตอนที่น้องชายของผมมาถึงมือหมอ?”
คาร์ลอสแทรกขึ้นทันที ด้วยความสงสัย
คำถามของคาร์ลอส ทำให้คุณหมอฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าการสันนิษฐานถึงบางอย่างโดยที่ไม่มีหลักฐานนั้นเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ในกรณีที่คนไข้สิ้นลมหายใจ การรักษาก็เป็นอันจบสิ้น หมดภาระหน้าที่ของหมอ ส่วนการวินิจฉัยถึงมูลเหตุแห่งความตาย ควรจะปล่อยให้เป็นเรื่องของนิติเวช เพราะความจริงที่ว่า ‘มีคนทำให้เสียชีวิต’ หรือ ‘เสียชีวิตเอง’ นั่นก็เป็นหน้าที่ของตำรวจ เพราะหมอมีหน้าที่รักษา มีหน้าที่เอาชนะความตาย ไม่ว่าคนไข้จะเฉียดความตายมาในลักษณะใด อุบัติเหตุหรือเจ็บป่วยจากโรคอายุรกรรม หน้าที่ของหมอ ‘คือยื้อชีวิตคนไข้จากเงื้อมมือมัจจุราช’
เมื่อฉุกคิดได้ดังนั้น…คุณหมอจึงนิ่ง ไม่ได้อธิบายอะไรต่อ
“ผมขอตัวก่อนนะครับ” คุณหมอกล่าว
“เดี๋ยวครับคุณหมอ”
คาร์ลอสพยายามยื้อคุณหมอเอาไว้ด้วยน้ำเสียงและสายตาของความสงสัย
คุณหมอมองกลับมาด้วยสีหน้าใจอ่อน ครั้นแล้วจึงกล่าวขึ้นเบาๆ
“หมออาจช่วยชีวิตน้องชายคุณเอาไว้ได้ทัน…ถ้าเขามาถึงโรงพยาบาลเร็วกว่านี้”
“ยังไงครับหมอ”
ผู้ชายขี้สงสัยเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“Pulmonary edma”
คุณหมอกล่าวเป็นภาษาแพทย์ ทว่าเมื่อเห็นชายหนุ่มย่นหน้าผากด้วยความสงสัย เขาจำต้องอธิบายด้วยภาษาที่คนฟังจะเข้าใจง่ายว่า ถึงความหมายของคำว่า ‘Pulmonary edma’
“เกิดภาวะหัวใจวายที่ห้องซ้ายเฉียบพลัน คนไข้มาถึงมือหมอช้า ทำให้เกิดอาการคั่งของน้ำและเกลือที่ปอดจำนวนมาก”
‘ช้า…’
คาร์ลอสทวนคำของหมออยู่ในใจ พร้อมๆกับชำเลืองไปทางหญิงสาวผู้เป็นภรรยาของน้องชาย ด้วยสายตาคาดคั้นถึงความจริงบางอย่าง
คำพูดที่ว่า ‘คนเจ็บมาถึงมือหมอช้า’ ยังสะท้อนก้องอยู่ในหูของคาร์ลอส
‘ได้โปรดอย่ามองฉันด้วยสายตาแบบนั้น ในฐานะภรรยาของน้องชาย คาร์ลอสควรจะให้เกียรติเธอบ้าง’
เธอนึกตำหนิเขาอยู่ในใจ สายตาของ ‘คาร์ลอส มิคาเอล’ กำลังจะทำให้เธอตกเป็นจำเลยของความสงสัย ซึ่งเธอมองว่ามันไม่ยุติธรรมกับเธอนัก ที่เขามองเธอด้วยสายตาเช่นนั้น ทั้งที่คาร์ลอสเองก็เพิ่งมาเมืองไทย และเขาแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับชีวิตครอบครัวของเธอเลยด้วยซ้ำ
ทว่าคาร์ลอสกลับคิดว่าสีหน้าของน้ำผึ้ง กำลังแสดงออกถึงอาการร้อนตัวอย่างเห็นได้ชัด
“หมอขอตัวก่อนนะครับ”
เมื่อเห็นว่าหมดธุระและรู้สึกได้ถึงความตึงเครียดของบรรยากาศๆที่กำลังก่อตัวขึ้นในขณะนั้น แพทย์ผู้ทำการผ่าตัดรีบกล่าวพร้อมๆกับเดินจากไปช้าๆ ด้วยสีหน้าซึ่งยังไม่เปลี่ยนไปจากตอนที่ก้าวออกมาจากห้องผ่าตัด
‘ขอให้น้องไปสู่สุขติ’
คาร์ลอสรำพึงอยู่ในใจ อธิษฐานให้ดวงวิญญาณของปราโมทย์ผู้ได้รับรู้ ครั้นแล้วก็ยืนนิ่ง หลับตา สงบจิตใจลงชั่วขณะในอาการไว้อาลัย ขอให้ดวงวิญญาณไปสถิตย์ในภพภูมิที่ดี พยายามสะกดกลั้นความเสียใจอย่างถึงที่สุด แม้รู้ดีว่า เกิด แต่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องของสังสารวัฎ เป็นธรรมดาโลก ไม่มีมนุษย์คนไหนหนีพ้น ทว่าเมื่อมันเกิดขึ้นกับน้องชายที่ตนรักและผูกพัน...ก็ยากที่คาร์ลอสจะทำใจยอมรับ นึกสงสารปราโมทย์ที่ต้องมาเสียชีวิตก่อนเวลาอันควร ด้วยวัยเพียง 30 ปี
ภายหลังจากความพยายามระงับสติอารมณ์อย่างถึงที่สุด กับสายตาของคาร์สที่มองเธอด้วยความสงสัย
“มาถึงตั้งแต่เมื่อไรคะ”
หญิงสาวถามด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย ด้วยสถานการณ์เมื่อครู่ข้างค่อนบีบคั้นอารมณ์และตึงเครียดเกินกว่าจะเอ่ยถามถึงสารทุกข์สุกดิบของเขา เพราะจิตใจของเธอในขณะนั้น จดจ่ออยู่แต่อาการของสามี
“ลงจากเครื่องก็ตรงมาที่นี่เลย”
คาร์ลอสตอบคำถามของเธอด้วยสีหน้าเรียบขรึม แอบกลืนก้อนความเศร้าลงลำคอไปช้าๆ เขาเองก็ไม่ได้เตรียมใจเอาไว้เช่นกัน ว่าจะได้รับข่าวร้าย ทั้งที่ของฝากที่เตรียมมาให้น้องชายยังอยู่ในกระเป๋าเดินทางของเขา
นานแล้วที่น้ำผึ้งไม่ได้เจอหน้าคาร์ลอส ครั้งสุดท้ายที่เจอกันก็เมื่อ 7 ปีก่อน ตอนงานแต่งของเธอกับปราโมทย์ ซึ่งตอนนั้นบานเย็นกับราอุลซึ่งยังแข็งแร็ง ก็เดินทางมาร่วมงานแต่งของเธอด้วย ในฐานะพ่อแม่ของฝ่ายเจ้าบ่าว
“แล้วคืนนี้พักที่ไหน…มีที่พักแล้วหรือยัง” น้ำผึ้งถาม
“ไม่ต้องเป็นห่วง”
เขาตอบเรียบๆ โดยที่ไม่ได้หันมามองหน้าเธอด้วยซ้ำ
“จะไปพักด้วยกันที่บ้านก็ได้นะ” เธอชวนไปตามมารยาท
“ไม่ดีกว่า” เขาปฏิเสธ
“ทำไมคะ”
หัวคิ้วของหญิงสาวกดลงเล็กน้อยขณะ ดวงตารียาวหรี่ลงด้วยความอยากรู้
“นอนโรงแรมสะดวกกว่า” เขาให้เหตุผลเพียงเท่านั้น
น้ำผึ้งตระหนักดีว่ากิริยาแบบนั้นแหละ ใช่เลย…มันแสดงให้เห็นว่าเขาคือ ‘คาร์ลอส’ คนเดิมกับที่เธอเคยรู้จัก ด้วยบุคลิกภาพที่มีความหยิ่งลำพองอยู่ในที เหมือนครั้งแรกที่เธอได้เจอกับเขาเมื่อหลายปีก่อนไม่มีผิดเพี้ยน เพียงแต่ตอนนั้นทั้งเธอและเขาไม่มีโอกาสได้คุยกันเหมือนตอนนี้
“คุณสะดวกที่จะมางานศพใช่ไหมคะ”
เธอถาม เพราะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลย ไม่รู้ว่าเขาพักที่ไหน เขาจะอยู่เมืองไทยกี่วัน และเขาเองก็ไม่มีทีท่าว่าอยากจะบอกเธอ
“แน่นอน” เขาตอบสั้นๆ
“เอาเบอร์โทรศัพท์ฉันไว้…ไม่งั้นคุณจะมาไม่ถูก คุณหาวัดไม่เจอแน่ๆ” เธอยังคงเป็นห่วงเรื่องการเดินทางของเขา
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง…ยังไงผมต้องมาจนได้”
รถแท็กซี่ที่วิ่งกันเกลื่อนเมือง ทำให้เขาไม่รู้สึกเป็นกังวลกับการเดินทาง
“แล้วเจอกันที่วัดนะคะ”