บทที่ 7
**คำเตือน เนื้อหาตอนนี้ไม่เหมาะสมกับคนที่อ่อนไหว ถึงจะไม่มากแต่ก็มีซึม***
-------------------------------------------------
เด็กน้อยวัยเจ็ดขวดปีวิ่งเข้าสถานีรถไฟอย่างร่าเริง ในมือของเธอถือข้าวกล่องที่ข้างในบรรจุไปด้วยข้าวมันไก่ครึ่งกล่อง เธอเลี้ยวซ้ายทีขวาที ไม่นานก็พบกับผู้หญิงคนหนึ่ง
“คุณแม่คะ... ทายซิ หนูได้อะไรมาเอ่ย... นี่ไง..กับข้าวค่ะ”
เธอเรียกคุณแม่ที่กำลังหาของมาขาย แต่ของที่ว่านั้นไม่ใช่อะไรที่ไหน มันคือขยะ และก็ขยะทั้งนั้น ในมือของหญิงสาวคนนั้นกำลังถือถุงพลาสติกขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยขวดน้ำพลาสติก ที่ดูแล้วน่าขายได้กิโลละ 8-14 บาทเท่านั้น จากนั้นเธอค่อยเปิดกล่องออกมาให้แม่ของเธอดู ข้างในเป็นข้าวมันไก่เพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น
“อย่างงั้นเหรอจ๊ะ.. แล้วหนูไอซ์หนูทานหรือยังคะลูก” เธอถามด้วยความห่วงใย และเป็นห่วง เธอกลัวว่าลูกของเธอจะยังไม่ได้ทานอะไร ถึงข้าวมันไก่มันจะน่าทานมากสักแค่ไหน เธอก็ต้องอดทนเพื่อให้ลูกของเธอได้ทานก่อน
“หนูทานแล้วค่ะคุณแม่.. พอดีมีคุณลุงใจดี.. ให้หนูมาทั้งกล่องเลย” เธอตอบออกมาด้วยความจริง
“อย่างนั้นเหรอจ๊ะ.. หนูเก็บไว้ทานตอนเย็นดีไหมเอ่ย เมื่อกี้แม่ก็ทานมาแล้ว เจอข้าวกล่องเหมือนของหนูไอซ์เลย” เธอพยายามที่จะไม่กิน เพื่อให้ลูกของเธอได้ทานมันต่อในตอนเย็น ในตอนนี้เธอยังไหวอยู่
‘คุณเชื่อหรือครับว่ามันจะมีข้าวกล่องในลักษณะอย่างนี้อยู่ในกองขยะ มันเป็นไปไม่ได้เลย แต่ด้วยความเป็นแม่ เธอก็ต้องทำทุกวิถีทางให้ลูกของตัวเองสบายด้วยสัญชาตญาณความเป็นแม่ และผู้เป็นแม่ทุกคนก็หวังจะให้ลูกของตนมีชีวิตที่ดี รวมไปถึงความเป็นอยู่ดีที่สุด ถึงสภาพการณ์ในตอนนี้ มันจะเลวร้ายสักแค่ไหนก็ตามที’
“อย่างนั้นเหรอคะ งั้นเรามาทานพร้อมกันตอนเย็นนะคะคุณแม่” เธอเป็นเด็กที่ฉลาด และเรื่องแค่นี้เธอก็สามารถรับรู้มันได้ เธอจึงบอกว่าจะทานพร้อมกับคุณแม่ เพื่อให้ได้แน่นอนว่าคุณแม่ของเธอได้ทานมันจริงๆกับตาของเธอเอง
“ก็ได้จ่ะ.. เดี๋ยวคุณแม่ขอทำงานต่อก่อนนะคะ.. แล้วเราค่อยไปอาบน้ำด้วยกันดีมั้ยเอ่ย” เธอถามออกมา
“ค่ะคุณแม่ เดี๋ยวหนูช่วยนะคะคุณแม่.. อีกนิดเดียวขวดก็ขายได้ยี่สิบบาทแล้ว.. เราจะได้ไปอาบน้ำด้วยกัน เย้ๆ” เธอกระโดดเต้นออกมาด้วยความดีใจ
“จ่ะๆ.. เอ๊ะ!! นั้นไงขวด แม่เก็บได้หนึ่งขวดแล้วนะ” เธอกล่าวออกมากับลูกของเธอ ดูแล้วเหมือนว่าเธอจะมีความสุขมาก
“เอ๊ะ!! คุณแม่ขี้โกง.. หนูไปหาตรงนู้นดีกว่า.. นั้นไง!! มีตั้งสองขวด หนูคะแนนนำแล้วนะคะคุณแม่” เธอรีบวิ่งไปเก็บขวดน้ำที่เธอเห็นในทันที
“คนเราถึงแม้ว่าจะยากดีมีจนอย่างไง ขอแค่มีความสุขกับคนที่เรารักแค่นั้นก็เกินพอแล้วจริงๆไม่ใช่เหรอ แต่ว่าก็ว่าเถอะ แ_ร่งเอ๊ย น้ำตาตูจิไหล”
ไม่ใช่ใครที่ไหนที่พูดออกมา ไอ้สินของเรานั้นเอง เรื่องนี้มันเศร้ากว่าเรื่องที่พี่ชายของเขาทิ้งเขาไปซะอีก ในเมื่อสินไม่สามารถทนดูต่อไปได้ เขาจึงเดินเข้าไปหาทั้งคู่ ซึ่งกลิ่นตัวเจ๊แกหรือคนเป็นแม่นั้น ค่อนข้างจะเหม็นมาก แต่มันก็เป็นธรรมดาสำหรับคนที่นานๆจะได้อาบน้ำครั้งหนึ่งละมั้ง?
“ขอโทษนะครับ รบกวนหรือป่าว” สินเดินเข้าไปสอบถามพวกเธออย่างสุภาพ
“เอ๊ะ!! คุณลุงเมื่อกี้นี่ค่ะ คุณแม่ค่ะ คุณลุงคนนี้แหละที่เอาข้าวกล่องให้กับหนูค่ะคุณแม่” เธอหันไปบอกแม่ของเธอ
“จ่ะ...เออ.... ขอบคุณมากนะคะที่เอาข้าวมาให้พวกเรา หนูไอซ์ของฉันยังไม่ได้ทานอะไรมาสองวันแล้ว ขอบคุณมากจริงๆนะคะ” เธอยกมือขึ้นไหว้ให้กับสิน เขาจึงรีบโบกมือแล้วก็พูดขึ้น
“ไม่เป็นไรครับ... ไม่ต้องไหว้ก็ได้ครับ.. ว่าแต่คุณชื่ออะไรเหรอครับ” สินเอ่ยถามต่อ
“ฉันชื่อ อรนภาค่ะ เรียกว่า อร ก็ได้ค่ะ” อรตอบกลับมา
“อ่อครับ... ผมชื่อสินนะครับ เออ..คุณอรครับ ถ้าไม่เป็นการละลาบละล้วงจนเกินไป ช่วยเล่าให้ผมฟังหน่อยได้ไหมครับว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณ และหนูไอซ์” เขาถามออกมา ในขณะที่เธอก็เริ่มที่จะทำหน้าไม่สบายใจออกมาให้เห็น
“ถ้าคุณอรไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ” มันเป็นท่าไม้ตายสำหรับใครหลายๆคน คำพูดดูเหมือนจะไม่เป็นไรจริงๆ แต่มันเป็นจิตวิทยาชนิดหนึ่งที่คอยกดดันให้คนอื่นคิดว่าเราน้อยใจ และเมื่อถ้าไม่พูดหรือไม่เล่า มันก็จะดูแย่ลงในสายตาของอีกฝ่ายทันที
“เออคือ.....มันจะดีหรอค่ะ ฉันก็ไม่ได้อยากให้ใครมาเห็นใจเราสองแม่ลูกมากขนาดนั้นค่ะ” เธอไม่สามารถไว้ใจใครได้เลยในตอนนี้ เนื่องจากอดีตที่ผ่านมา มันทำให้เธอได้รับบทเรียนอันแสนล้ำค่า กับการไว้ใจคนอื่น
“ผมก็ไม่ได้หวังว่าคุณจะเล่าให้ฟังนะครับ ผมเองก็อดที่จะสงสารเด็กไม่ได้ เลยพยายามอยากจะช่วยเท่าที่ทำได้นะครับ” สินเอ่ยออกมา ส่วนทางด้านอรก็ทำหน้าคิดเล็กน้อย ก่อนจะตอบออกไป เพราะเธอไม่มีอะไรจะต้องเสียแล้ว
“อย่างงั้น....ก็ได้ค่ะ หนูไอซ์จ๊ะ หนูไปเล่นตรงนู้นก่อนนะคะ เดี๋ยวคุณแม่ขอคุยกับคุณลุงคนนี้ก่อนจ๊ะ” ในเมื่อเธอตัดสินใจที่จะเล่า แม้จะไม่ได้เชื่อใจหรือมีความหวังอะไรก็ตาม แต่แค่เล่าให้ฟังคงจะไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง
“คร้า” หนูไอซ์ตอบออกมาอย่างชื่นใจ ก่อนจะวิ่งออกไปเล่นของเล่นที่ภายในสถานีรถไฟที่จัดไว้ให้สำหรับเด็กๆแถวนั้นได้มาเล่นกัน
“ขอโทษนะคะ พอดีฉันไม่ค่อยอยากให้แกรับรู้เรื่องพวกนี้มากสักเท่าไหร่... ก็เลย.. ช่างมันเถอะค่ะ ฉันจะเริ่มเลยนะคะ.. มันคงต้องย้อนกลับไปเมื่อ 6-7 ปีก่อนค่ะ ตอนนั้นฉันเรียนจบมัธยมปลายจากโรงเรียนบ้านนอกแห่งหนึ่งที่แม่ฮ่องสอน...”
“หลังจากเรียนจบได้ไม่นานนักที่หมู่บ้านก็มีนายหน้ามาเสนองานให้กับพวกเรามาทำงานในตัวเมืองเชียงใหม่ และล่อพวกเราด้วยการจ่ายค่าตอบแทนถึงวันละ 500 บาทเลยทีเดียว ในตอนนั้นเงินจำนวนนี้มันถือว่าเยอะเป็นอย่างมาก ฉันและเพื่อนๆอีกจำนวนหนึ่งจึงตัดสินใจลงมาทำงานที่นี่กันค่ะ”
“แต่แล้ว... งานที่พวกเราได้รับกับเป็นงาน... ‘ขายบริการ’ ซึ่งในตอนแรกนั้น ฉันพยายามที่จะปฏิเสธ แต่ก็ถูกนายจ้างคนนั้นข่มขืน.... จน... ตั้งท้อง.. เป็นน้องไอซ์.. นี่แหละ..ค่ะ” เธอพยายามที่จะเก็บน้ำตาเอาไว้ แต่แล้วมันก็ซึมๆออกมาเอง
“ขอโทษนะคะ.. มันไม่ไหวจริงๆ.. ฉันจะเล่าต่อเลยนะคะ” เธอกล่าวขอโทษออกมา
“ไหวมั้ยครับ.. พอแค่นี้ก่อนก็ได้นะครับ.. ผมเข้าใจ เรื่องอย่างนี้มันกระทบต่อจิตใจเป็นอย่างมาก” สินเอ่ยกล่าวออกไป
“ไม่เป็นไรค่ะ... ไหนก็เล่าแล้ว ฉันขอเล่ามันให้จบก็แล้วกันนะคะ” เธอปรับอารมณ์เล็กน้อย ก่อนจะเล่าต่อ
“ในตอนนั้นฉันก็พอมีเงินเก็บอยู่บ้าง และคิดที่จะกลับไปตั้งตัวใหม่ที่บ้าน แต่ฉันก็ไม่กล้ากลับไปค่ะ ถ้าคุณพ่อคุณแม่ของฉันรู้ว่าฉันท้องไม่มีพ่อละก็...ฉัน ฉันไม่กล้าพบหน้าพวกท่านจริงๆ ฉันจึงออกมาหางานทำ ส่วนใหญ่ก็เป็นงานทั่วๆไป และก็เช่าห้องเล็กๆอยู่”
“เมื่อช่วงที่ฉันให้กำเนิดหนูไอซ์มาก็มีภาระมากกว่าเก่า จากที่มีเงินพอใช้พออยู่ได้ จากที่เคยที่ซุกหัวนอนก็โดนไล่ออกมาเพราะไม่ได้จ่ายค่าเช่า งานที่เคยทำไม่อยากให้ฉันทำงานด้วยเพราะมีหนูไอซ์ ฉันที่คิดจะกลับไปที่บ้าน และยอมรับผิดกับคุณพ่อคุณแม่”
“แต่แล้ว.. เมื่อตอนที่ฉันคิดจะกลับไปที่บ้านจริงๆ.. เพื่อนๆที่มาทำงานพร้อมกันกับฉัน ก็มาแจ้งข่าวร้าย... พวกท่านได้จากไปแล้วทั้งคู่ เนื่องจากถูกเสือดำทำร้ายจนถึงแก่ชีวิตตอนออกไปหาของป่ากัน ในตอนนั้นตัวฉันที่ไม่มีที่ให้กลับ ตึกรามบ้านช่องที่อยู่ที่นู้นก็โดนเจ้าหนี้ที่ไหนก็ไม่รู้มายึดไป ฉันจึงได้แต่กัดฟันสู้หาเลี้ยงตัวเอง และลูกจนมาถึงทุกวันนี้แหละค่ะ”
“คุณอรคงผ่านอะไรมามากสินะครับ... ผมเข้าใจดี... ผมจะไม่อ้อมล่ะกันครับ คุณสนใจมาทำงานกับผมมั้ยครับ ผมกำลังหาคนมาช่วยทำอาหารขายในตอนเช้าอยู่นะครับ ผมสามารถให้คุณอร วันละ500 บาท บวกกับที่พัก อาหาร 3 มื้อ และสวัสดิการให้หนูไอซ์เข้าโรงเรียน
“ไม่ต้องห่วงนะครับว่าผมจะทำอะไรคุณอร... ผมเองก็เอ็นดูหนูไอซ์เหมือนกับคุณอร เธอเป็นเด็กที่ฉลาดมาก... ยังไงก็โปรดเชื่อใจคนที่พึ่งพบกันอย่างผมสักครั้งเถอะครับ” เมื่ออรได้ยินสิ่งที่สินพูดออกมาก็ลังเลเล็กน้อย ก่อนจะคิดในใจเพียงลำพังว่า
‘ถ้าเกิดว่าเขาจะหลอกเราไปเป็นเมียน้อย.. ไม่น่าจะใช่ จะมาหลอกทำไมกับคนที่แต่งตัวสภาพอย่างขอทานนี้... หรือจะหลอกไปใช้งานฟรีๆ... มันก็ยังดีกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้แหละมั้ง ยังไงเขาก็คงไม่ทำร้ายเด็กตาดำๆได้ลงคอ... เอายังไงดีเนี้ยฉัน’ เธอกำลังรู้สึกสับสน
‘ถ้ามันเป็นจริงอย่างที่เขาว่ามา.. มันก็คงจะดีไม่น้อย... ตัดสินใจได้แล้ว ยังไงก็ต้องไป ยังไงมันก็ดีกว่าที่อยู่ในตอนนี้ล่ะนะ ... หวังว่า’
“เออ....ก็ได้ค่ะ อรจะเชื่อใจคุณสินดูสักครั้ง.. ยังไงก็ต้องขอบคุณที่ให้โอกาสอรได้กลับมาทำงานอีกครั้งนะคะ.. ขอบคุณๆมากจริงค่ะ” เธอกล่าวออกมา
“อย่างงั้นเหรอครับ.. ขอบคุณมากนะครับที่ยอมเชื่อใจผม ว่าแต่คุณอรทานอะไรก่อนดีกว่านะครับ จะได้มีแรงทำงานให้ผมไง ไปร้านอาหารตรงนั้นกันดีกว่านะครับ เรียกหนูไอซ์มาทานด้วยกัน มื้อนี้เดี๋ยวผมเลี้ยงเอง” สินพูดออกมา พร้อมกับลุกขึ้นยื่นก่อนจะเดินนำหน้าไป
---------------------------------------------