บทที่ 6
“เออ...คือ... เอาเป็นว่าอย่างนี้แล้วกัน ในวันพรุ่งนี้ ผมจะหาวิธีทำอาหารให้ได้เยอะขึ้นก็แล้วกัน พรุ่งนี้ผมสัญญาเลยว่าจะเริ่มขายที่ 1,500 กล่องหรืออาจจะมากกว่านั้นเล็กน้อย วันนี้ยังไงก็ขอให้ทุกท่านกลับไปก่อนนะครับ ถือว่าผมขอร้อง..” สินเอ่ยพร้อมกับยกมือไหว้ลูกค้าของตัวเอง ไม่ให้มันเกิดเรื่องที่วุ่นวายไปมากกว่านี้
“ก็ได้ ถ้าวันพรุ่งนี้เอ็งไม่ทำอย่างที่พูดละก็ ข้าจะย้ายบ้านมานอนหน้าบ้านเอ็งนี่แหละ คอยดู” มนุษย์ลุงคนเดิมกล่าวออกมา ลูกค้าหลายๆคนก็เห็นด้วยถ้ามันมีข้าวมากกว่าเดิม อะไรๆก็น่าจะดีขึ้นกว่าเดิม วันนี้พวกเขาจึงกลับไปก่อน
“ขอบคุณมากครับทุกท่านที่เข้าใจผม” แล้วม็อบขนาดย่อมก็สลายไปในที่สุด แต่มันก็ยังไม่สิ้นสุดสักทีเดียว มันยังมีอีกคนหนึ่งที่ต้องการพูดคุยกับเขา
“เออ... ผมสรศักดิ์เองครับ.. เราเริ่มกันเลยมั้ยครับ” มันเหมือนเป็นคำถามว่าพร้อมหรือไม่ แต่เปล่าเลย รายการเริ่มที่จะถ่ายทอดออกไปแล้ว และเพื่อเป็นการแก้แค้นชายหนุ่ม สรศักดิ์จึงเริ่มเอ่ยถามกับสิน ในขณะที่สินยังไม่ทันที่จะได้ตั้งตัวอะไรเลย
“ไม่ทราบว่าร้านนี้เปิดมานานหรือยังครับ” สรศักดิ์ถาม
“อืม.... ก็ประมาน 1 อาทิตย์เห็นจะได้ครับ” สินเอ่ยตอบกลับ
“ก็ไม่นานเท่าไหร่เองนะครับท่านผู้ชม... แล้วคุณเจ้าของร้านขายข้าวกล่องราคาเท่าไหร่บ้างเหรอครับ” สรศักดิ์เอ่ยถามคำถามต่อไป
“ข้าวมันไก่ต้ม และไก่ทอด กล่องละ 20 บาทครับ ส่วนอย่างอื่นที่มีไข่ดาวก็ 25 บาทครับ”
“ถูกจริงๆเลยนะครับท่านผู้ชม ถือว่าราคาไม่แพงเลย ถ้าหากเราเทียบกับปริมานที่ได้ไป... เราไปคำถามต่อไปเลยดีกว่า” คำถามมากมายต่างๆ ถูกป้อนเข้ามาถามกับสินจนไม่ได้มีเวลาให้หยุดคิดเลยแม้แต่วินาทีเดียว จนเวลาล่วงเลยผ่านไปแล้วประมาน 20 นาทีเห็นจะได้
“คำถามสุดท้ายนะครับ คุณมั่นใจได้อย่างไหร่ครับว่าอาหารของคุณนั้นปลอดภัย และไม่ได้มีเชื้อโรคอะไรภายในร้าน... ร้านของคุณสะอาดมากน้อยเพียงใด.. แล้วมีองค์กรหรือหน่วยงานไหนมาตรวจสอบแล้วหรือยังครับ”
‘ไอ่นี่.. ตั้งแต่เมื่อกี้ล่ะ.. มันจงใจจะทำให้เราเสียชื่อเสียงซินะ ไม่ได้แดกตูหรอก’ เขาคิดในใจก่อนจะตอบออกไปว่า
“ผมยินดีให้ใครก็ตามที่สงสัย หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้ามาตรวจสอบตั้งแต่วิธีการทำได้เลยนะครับ.. ไม่มีการใส่สารแปลกปลอมในอาหารอย่างแน่นอนครับ รวมถึงสถานที่ และการเก็บรักษาวัตถุดิบ อุปกรณ์ครัวเองก็ด้วย ซึ่งผมสามารถรับรองได้เลยว่าปลอดภัยหายห่วงครับ”
“ถ้าเป็นอย่างที่เราเข้าใจมันก็จะเป็นเรื่องที่ดีนะครับท่านผู้ชม.. เอาล่ะถ้าอย่างนั้นผมขอจบการพูดคุยกับเจ้าของร้านอาหารลึกลับ คุณสินสมุทร สุดสาคร ไว้แต่เพียงเท่านี้นะครับ สำหรับวันนี้...” สรศักดิ์ยังพูดไม่ทันได้จบ สินก็เอ่ยขึ้นมาซะก่อน
‘ไหนๆก็ไหนแล้ว มีคนมาโฆษณาให้ถึงที่ ขอใช้ประโยชน์สักหน่อยก็แล้วกัน’ สินพึมพำในใจในขณะที่สรศักดิ์กำลังจะปิดรายการ ก่อนที่สินจะเอ่ยออกไป
“เดี๋ยวก่อนซิครับ.. จริงๆแล้วผมยังมีข้าวกล่องเหลืออยู่อีกสองสามกล่อง ลองทานดูซิครับ.. เพื่อเป็นการขอโทษที่ผมปล่อยให้พวกคุณรอนานเมื่อเช้านี้”
สรศักดิ์ที่เห็นสินพูดมาอย่างนั้น เขาก็หันไปดูสัญลักษณ์จากคนส่งสัญญาณสดว่าจะให้พอแค่นี้ หรือว่าจะให้ถ่ายต่อ ผลปรากฏออกมาว่า สามารถถ่ายได้อีก 5 นาที เขาจึงหันไปเอ่ยกับสินต่อ
“เออ....ก็ได้ครับ ท่านผู้ชมครับ ผมกำลังจะลองทานกะเพราไก่ไข่ดาวที่มีผู้คนสั่ง และอยากทานมากที่สุด ในทุกๆวันเลยนะครับ.. ซึ่งรสชาติจะเป็นอย่างไงเดี๋ยวรู้กันเลยครับ” เขาหยิบข้าวกล่องมาจากสิน แล้วก็ยื่นไปใกล้ๆกับกล่อง
“เอาล่ะ จะทานแล้วนะครับ อ้ำ ...อืม....อ.อะ..อร่อยมากครับ ตั้งแต่เกิดมา ผมยังไม่เคยกินกะเพราที่อร่อยขนาดนี้มาก่อนเลยสักครั้ง” เขาพูดในขณะที่ข้าวยังเต็มปากเขาอยู่เลย เขาไม่รู้สึกอายเลยสักนิดที่จะกินอย่างมูมมามต่อหน้ากล้อง เขากินหมดอย่างรวดเร็ว
“มันเป็นรสชาติที่ลึกซึ้งเหลือเกินครับ อาหารกล่องนี้ไม่ต่างจากร้านอาหารชื่อดังเลยทีเดียว”
“ขอบคุณมากครับ” สินกล่าวรับ
“เอาล่ะครับท่านผู้ชมครับ.. กระผมกล้ากะรันตรีเลยครับว่า ถ้าคุณได้มาลองอาหารกล่องร้านนี้ คุณจะติดใจอย่างกระผมอย่างแน่นอนครับ... สำหรับวันนี้ผมคงขอตัวลาไปก่อน...สวัสดีครับ” หลังจากรายการสดจบลง สินก็พูดคุยกับคุณสรศักดิ์ต่ออีกนิดหน่อย จนสินต้องขอตัวไปทำธุระต่อ เพราะวันนี้เขาต้องหาคนมาช่วยเขาทำอาหาร ไม่อย่างงั้นวันพรุ่งนี้จะต้องมีคนได้ย้ายมานอนที่หน้าบ้านเขาเป็นแน่
แต่ก่อนอื่นเลย สินคิดว่าจะไปร้านหนังสือก่อนเลย เพื่อหาความรู้เพิ่มเติมสักหน่อย สินจึงปั่นจักรยานคู่ใจคันเดิมตรงมายังร้านของพี่เจษเจ้าเก่า เขาใช้เวลาประมาน 30 นาทีก็ปั่นจนมาถึงหน้าร้าน
“สวัสดีครับพี่เจษ” สินเอ่ยทัก
“อ้าวสินนี่... วันนี้อยากได้หนังสืออะไรล่ะเรา” พี่แกก็ทักกลับตามปกติ แล้วจึงเอ่ยถามต่อ
“มาหาหนังสือทั่วๆไปนะครับ พี่พอมีอะไรแนะนำอีกไหมครับ” สินถาม
“เหมือนเดิมนั้นแหละ ลองๆเดินดูก่อนละกัน ตามสบายเลยนะ 10 บาททุกเล่มเหมือนเดิม”
“ขอบคุณครับพี่ ผมไปดูหนังสือก่อนนะ” แล้วสินก็ใช้เวลาในการเลือกหนังสือยาวนานจนเป็นชั่วโมง เขาได้หนังสือที่ต้องการมาทั้งหมด 30 เล่ม ถามว่าทำไมเขาถึงซื้อแค่นี้ ทั้งๆที่เงินมีเยอะ มันเป็นเพราะวันนี้เขาเอาจักรยานมาด้วย ถ้าซื้อเยอะจะขนกลับยังไงไหว
“30 เล่มนะ ทั้งหมดก็ 300 บาท แต่พี่คิดเราแค่ 250 บาทล่ะกันพี่ลดให้” พี่เจษก็ยังใจดีอยู่เช่นเคย
“ขอบคุณครับ ใจดีจังนะครับ เอาไว้ผมมาอุดหนุนใหม่นะครับ” สินยกมือขึ้นไหว แล้วกล่าวขอบคุณ พร้อมกับบ่นในใจเรื่องของผู้ช่วยที่จะมาทำงานกับเขา
‘ว่าแต่จะไปหาคนมาช่วยงานที่บ้านจากที่ไหนละเนี้ย’
แต่ในระหว่างที่เขากำลังคิดอะไรเพลินๆอยู่นั้นเอง เขาก็หันไปพบกับขอทานอยู่ตรงข้ามกับสถานีรถไฟคนหนึ่ง เด็กน้อยที่เสื้อผ้าขาดหลุดลุ่ย เดินโซซัดโซเซ ดูจากอาการแล้วน่าจะเป็นขาดสารอาหารอย่างหนัก สินไม่รอช้า เดินตรงไหนหาเด็กคนนั้นทันที
“หนูน้อย.. มานี่ซิ.. พี่เอาข้าวมันไก่จากตอนที่แล้วมาให้ทานนะ”
“ห๊ะ จากตอนที่แล้ว?.....เออ ขอบคุณค่ะ”
เธอรับเอาไว้ ถึงแม้ว่าจะงงๆกับมุกที่นักเขียนเขียนลงไปก็ตามที เธอเดินไปนั่งเก้าอี้สาธารณะพร้อมกับเริ่มแกะกล่องข้าวมากินอย่างรวดเร็ว และมันเต็มไปด้วยรอยยิ้ม น้ำตาของเธอเริ่มที่ไหลรินออกมา เธอคิดอยู่ในใจหลังจากที่ทานไปแล้วคำนึง
‘นี่สินะที่เรียกว่าอาหาร’
ไม่นานเธอก็ทานมันจนเหลือเพียงครึ่งกล่อง แต่จู่ๆเธอก็ปิดกล่อง และเก็บมันไว้ในถุงเช่นเดิม สินที่มองดูเด็กน้อยคนนี้อยู่ไกลๆ ก็สงสัยว่าทำไมเด็กน้อยคนนี้ไม่กินข้าวให้มันหมดๆไป สินที่ขี้สงสัยจึงเดินเข้าไปถามเธอ
“อ้าว.. หนูน้อยมันไม่อร่อยหรือ? หรือจะติดคอ? เอานี่น้ำค่อยๆทานนะ” เขาที่คิดเองเออเองก็ยืนน้ำเปล่าไปให้กับเธอ เด็กสาวก็รับไว้ แล้วพูดกับเขาว่า
“ขอบคุณมากค่ะ สำหรับน้ำดื่มขวดนี้ แต่ไม่ใช่ข้าวติดคอนะคะคุณลุง ที่หนูเก็บไว้... คือหนูเก็บไว้ให้คุณแม่ทานนะคะ คุณแม่ยังไม่ได้ทานอะไรเลย” คิ้วด้านขวาของเขากระตุกเล็กน้อย
‘คุณลุง?...เหรอ ฉันเนี่ยนะเป็นลุง.. ฉันดูแก่มากขนาดนั้นเลยหรือไง ’ สินคิดในใจ เขารู้สึกเจ็บเป็นอย่างมาก อายุเพียงแค่ 25 ปีเท่านั้น ก็โดนเรียกว่าคุณลุงซะแล้ว แต่เขาก็ยังไม่ว่าอะไร จึงหันไปพูดกับเด็กน้อยต่อ
“อย่างนั้นเหรอ... ว่าแต่แม่ของหนูล่ะ ไปไหนแล้วล่ะ”
“คุณแม่ของหนูกำลังหาของไปขายอยู่ค่ะ... ในสถานีรถไฟนี่เอง” เธอตอบกลับมาพร้อมมือชี้ไปภายในสถานีรถไฟ
“อย่างงั้นเหรอ.. รีบๆไปหาแม่ได้แล้ว ออกมาไกลขนาดนี้ เดี๋ยวคุณแม่ก็เป็นห่วงเอา แล้วอีกอย่างคุณแม่คงหิวมากแล้วด้วย” เขาตอบกลับเธอไปอย่างนั้น
“นั้นสิค่ะ หนูลืมไปเลย งั้นหนูไปก่อนนะคะพี่ชาย... ขอบคุณสำหรับอาหารนะค่ะ” ไม่นานนักเด็กน้อยวัย 7 ปีก็รีบวิ่งเข้าไปในสถานีรถไฟ โดยที่เธอไม่ทราบเลยว่าไอ้สินของเขาเดินตามอยู่ห่างๆ
‘ว่าแต่เด็กคนนี้ก็อยู่เป็นเหมือนกันนะเนี่ย... ตอนแรกเรียกเราว่าคุณลุง.. ตอนนี้เปลี่ยนมาเป็นพี่ชายเสียแล้ว... โตขึ้นคงจะฉลาดน่าดู’ สินคิดในขณะที่เดินตามเธอเข้าไปในสถานีรถไฟ
--------------------------------------------------------
A : ไอ้สินมันเป็นสโตกเกอร์เด็กหรือวะ
B : นั้นสิ สงสัยมันจะเลี้ยงต้อย
ไรท์ : จับทำเมียเลยดีไหม?
ไอ้สิน : ไอ้ไรท์จิตใจนายทำด้วยอะไร นั้นมันเด็กเจ็ดขวบนะ ถ้าแม่ของเด็กนั้นก็ว่าไป
ไรท์ : ถุย....ไอ้พ่อพระ นึกว่าคนดี โถ่ว
------------------------------------------------