ตอนที่ 9 คิดได้แค่น้องสาว
ราห์ฟาสนั่งลงที่โต๊ะทำงานของตนเองที่สร้างเชื่อมต่อออกมาจากห้องนอน ทำให้ห้องที่เขาอยู่กว้างกว่าห้องอื่นๆภายในคฤหาสน์หลังนี้
“น้ำชาครับ” นาดาลวางถ้วยน้ำชาลงกับโต๊ะข้างๆ ก่อนจะมองหน้าที่เคร่งเครียดของนายหนุ่ม “สีหน้านายท่านดูเหมือนว่ามีอะไรกังวลใจ”
“ใช่... ราลีน่าชักเข้ามายุ่งวุ่นวายกับเรื่องส่วนตัวของฉันมากขึ้นทุกที” เจ้านายหนุ่มหมุนเก้าอี้มาทางลูกน้องคนสนิท
“นายท่านไม่รู้หรือครับว่าคุณราลีน่าทำแบบนี้ทำไม” นาดาลย้อนถามนายหนุ่ม
“รู้สิ แต่ฉันเห็นเขาเป็นแค่น้องสาวเท่านั้น ไม่ได้คิดมีใจเป็นอย่างอื่น ฉันเห็นราลีน่ามาตั้งแต่ตัวเล็กๆ ความรักและความเอ็นดูมีให้ในฐานะน้องสาวเท่านั้น จะพูดจารุนแรงออกไปมันก็จะไม่ดี ฉันไม่อยากให้ราลีน่าเสียใจ”
“แล้วนายท่านจะทำยังไงล่ะครับ”
“คงต้องอยู่ห่างๆเอาไว้ให้มากที่สุด”
“คงจะยากนะครับ เพราะถึงยังไงก็อยู่บ้านเดียวกัน จะไม่ให้เจอหน้ากันเลยมันก็คงเป็นไปไม่ได้” นาดาลออกความเห็น
“ฉันรู้ นายนั่นแหล่ะที่จะต้องเป็นมือที่สามตามฉันไม่ให้คลาดสายตา” ชายหนุ่มกระตุกยิ้มที่มุมปากน้อยๆ
“นั่นมันเป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้วครับ” นาดาลอมยิ้ม
“รอให้ฉันเคลียร์งานหมดก่อน ฉันจะออกไปค้างข้างนอกสักเดือน 2 เดือน ถือว่าไปเยี่ยมคนของเราด้วย” ราห์ฟาสยกมือขึ้นมาประสานกันใต้คางที่มีไรหนวดสีเขียวจากการโกนปกคลุมอยู่
“ก็ดีครับ ผมเห็นด้วย”
“แต่ฉันจะไปคนเดียว นายไม่ต้องไป” เขาบอกเสียงเรียบ
“อ้าว...ไม่ได้นะครับ ผมต้องตามไปดูแลนายท่าน” นาดาลรีบค้าน
“ไม่ต้อง นายมีครอบครัวจะไปอยู่กลางทะเลทรายได้ยังไง”
“แต่ว่า...”
“ไม่มีแต่ เอาตามที่ฉันบอก” ราห์ฟาสบอกเสียงแข็งก่อนจะเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ของตัวเอง นาดาลจึงต้องเงียบไปและลอบถอนหายใจออกมา
“นายจะไปทำอะไรก็ไปเถอะ ฉันจะทำงานต่อ” เสียงของนายหนุ่มดังขึ้น
“ครับ แล้วพรุ่งนี้นายท่านจะออกไปไหนอีกหรือเปล่าครับ ผมจะได้จัดเตรียมรถเอาไว้” ลูกน้องหนุ่มถามอย่างรู้ใจ
“คงไปสายๆ เห็นคุณพ่อบอกว่ามีเรื่องจะคุยกับฉันตอนเช้า นายมีอะไรก็ไปทำก่อนได้ แล้วฉันจะโทรตามเอง”
“ครับ”
“นายกลับไปพักผ่อนเถอะ ได้ของฝากภรรยามาด้วยไม่ใช่เหรอ รีบเอาไปเธอ” ราห์ฟาสอมยิ้มแล้วหันมามองลูกน้องหนุ่ม
“ครับ วันนี้เป็นวันครบรอบแต่งงานของเราครับ ถ้างั้นผมขอตัวก่อนนะครับ” นาดาลยิ้มกว้างก่อนจะเดินออกไป
ราห์ฟาสมองตาหลังนาดาลไป แล้วอดที่จะอิจฉาลูกน้องหนุ่มของเขาไม่ได้ อิจฉาในความรักที่คนทั้งคู่มีให้กันและกัน แต่แล้วภาพของหญิงสาวที่สนามบินก็ผุดขึ้นมาในความคิดของเขา
‘ฮึ ฮึ ผู้หญิงอะไรปากร้าย ใจกล้า กล้าอย่างไม่กลัวใคร ท่าทางอวดดีจนน่าลองดี’ ชายหนุ่มขำในใจ แต่ก็ต้องหยุดความคิดลงเมื่อนึกถึงว่าผู้หญิงคนนั้นมาตามหาคนรัก เขาอยากรู้นักว่าผู้ชายคนนั้นโง่หรือบ้ากันแน่ที่ทิ้งผู้หญิงสวยๆแบบนั้นมาได้
“บ้าแล้วเรา คิดบ้าอะไรเนี่ย ขึ้นชื่อว่าผู้หญิงไม่มีใครดีสักคน” ราห์ฟาสบอกตัวเองเมื่อคิดไปไกลถึงอดีตคนรักของเขา ความเคียดแค้นและชิงชังกลับมาในหัวใจของเขาอีกครั้ง ฟันกรามขบเข้าหากันแน่น ก่อนจะค่อยๆคลายออก ดวงตาสีดำสนิทปิดลงครู่หนึ่งก่อนจะลืมขึ้นอีกครั้ง
หลังจากผ่านค่ำคืนแรกไปอย่างปลอดภัยแล้ว สร้อยสะบันงาซึ่งเพิ่งอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดกระโปรงสีขาวเสื้อแขนจีบเปิดบ่ากำลังนั่งมองตัวเองในกระจกกลางห้องนอนใหญ่โตหรูหราภายในพระราชวังฟาริทอย่างกลัดกลุ้ม
“จะติดต่อทางบ้านได้ยังไงกันนะ ป่านนี้คุณแม่คงเป็นห่วงฉันแย่แล้ว”
เธอพยายามคิดหาหนทางเป็นร้อยแปดวิธีแต่แล้วก็กลับเจอแต่ความมืดมน “ฟาริทอยู่ที่ไหนในแผนที่โลกกัน แล้วอยู่ไกลจากประเทศไทยแค่ไหน โธ่เอ๋ย! ฉันจะทำอย่างไรดี” ใบหน้านวลนิ่วลงพร้อมฟุบลงกับโต๊ะเครื่องแป้งจนผมหยักยาวสลวยแผ่สยาย ดวงตาคมสวยหลับนิ่งลงด้วยจนใจในหนทาง
ทว่าชั่วเวลาไม่นานเธอกลับได้ยินเสียงถามจากที่ใกล้ๆ “เป็นอะไรไปคนสวย” ประโยคที่ดังขึ้นทำให้สร้อยสะบันงาเงยหน้าในทันที เธอมองร่างสูงของเจ้าชายวาคิมซึ่งประทับนั่งอยู่บนเตียงด้านข้างโต๊ะเครื่องแป้งอย่างตกใจ
“ฝ่าบาท..เข้ามาได้ยังไง”
“เปิดประตูแล้วก็เดินเข้ามาน่ะสิ จะให้ฉันเข้ามาทางหน้าต่างหรือยังไง”
“แต่นี่มันห้องของหม่อมฉัน ฝ่าบาทจะเดินเข้ามาเฉยๆ แบบนี้ไม่ได้นะ”
“ห้องของเธอ?” พระขนงเข้มของเจ้าชายหนุ่มเลิกขึ้น “แต่นี่มันวังฟาริทนี่นา และนี่ก็คือบ้านของฉัน” พร้อมคำตรัสนั้นเจ้าชายหนุ่มก็ขยับไปหาหญิงสาวที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง
“เจ้าชายวาคิม!” สร้อยสะบันงาตกใจเรียกชื่ออีกฝ่ายเสียงดังลั่นพลางลุกขึ้นยืนตัวตรงทันที
“เรียกทำไม” ราชนิกูลหนุ่มถามยิ้มๆ พระองค์ลุกตามและเดินเข้าไปจนประชิดกับร่างระหงพร้อมเรียกเธอในแบบของพระองค์ “ฉันอยู่ตรงนี้แล้วสะบันงา”
“ไม่ใช่แบบนั้น...” เสียงหวานเริ่มสั่น แม้เจ้าชายวาคิมจะเพียงแค่ใช้พระหัตถ์หนาแตะบ่าบางๆ ของเธอไว้ “ฝ่าบาทจะทำอะไร” ท่าทางแบบนั้นทำให้ราชนิกูลยิ้มมุมปาก
“เธอว่าฉันจะทำอะไรล่ะ”
“หม่อมฉัน...” สร้อยสะบันงาตอบไม่ถูก แต่เธอก็เริ่มรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยเมื่อพระหัตถ์หนาคลี่ออกและจับหมับลงที่บ่าทั้งสอง ดวงตาหวานของสาวชาวเหนือจึงโตขึ้นและโพล่งออก
“อย่าเพิ่งค่ะ!”
เจ้าชายวาคิมถึงกับพระสรวลในลำคอ จักษุสีน้ำทะเลทอดพระเนตรมองร่างระหงของหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าด้วยความรู้สึกบางอย่างซึ่งกำลังพลุ่งพล่านผ่านพระหัตถ์ทั้งสองของพระองค์ โอษฐ์สีแดงอย่างชายสุขภาพดีถามขึ้น
“อย่าเพิ่งอะไร”
“อย่างเพิ่งค่ะ” สร้อยสะบันงากลายเป็นคนพูดจาวกวนติดๆ ขัดๆ ไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ หญิงสาวพยายามหาเหตุผลร้อยแปดและตั้งหลักโดยการเรียกพระนามของพระองค์อีกครั้ง “เจ้าชายวาคิมคะ” ก่อนสารภาพออกไปตรงๆ
“หม่อมฉันยังไม่พร้อม”
“หมายความว่ายังไง” เจ้าชายหนุ่มถามยิ้มๆ “คืออะไร ที่เธอบอกว่าไม่พร้อม”
“ทุกอย่าง” หญิงสาวส่งเสียงบอก เธอชำเลืองมองพระหัตถ์หนาที่วางอยู่ไหล่เปลือยเปล่าของตนเอง และเริ่มสะท้านเมื่อพระองค์ขยับไล้บ่าบางอย่างช้าๆ สร้อยสะบันงากัดริมฝีปากตัวเอง “ฝ่าบาททำแบบนี้กับหม่อมฉันไม่ได้นะ”
“เธอรู้หรือว่าฉันจะทำอะไร” เจ้าชายวาคิมใช้พระหัตถ์ด้านหนึ่งรวบเอวคอดของหญิงสาวเข้ามาประชิดตนเองพร้อมก้มลงรับสั่ง พระองค์กำลังพยายามอย่างยิ่งที่จะห้ามไม่ให้ตนเองรีบร้อนจนผลีผลามลิ้มความหอมหวานจากผู้หญิงตรงหน้า
“แล้วเธอจะห้ามฉันได้ไหมสะบันงา”
สร้อยสะบันงาอยู่ในสภาพที่ถูกรวบเข้ามาจนติดกับร่างหนา มันใกล้จนหญิงสาวสามารถได้กลิ่นสะอาดๆ แห่งความเป็นชายของพระองค์เลยทีเดียวและแบบนี้ก็ยิ่งทำให้หัวใจของเธอสั่นจนแทบยืนไม่ไหว ริมฝีปากสีชมพูระล่ำระลักบอกอีกฝ่ายอย่างติดๆ ขัดๆ
“เจ้าชายวาคิมคะ...เรามา...ตกลงกัน...ได้ไหม”
ร่างกำยำที่อยู่ชิดกับร่างบางก็ไม่ต่างจากหญิงสาว พระองค์กำลังรับเอากลิ่นหอมกรุ่นของสบู่จางๆ ที่ร่างนวลเนียนเพิ่งจะชะโลมกายเข้าไปเต็มพระนาสิก และนั่นก็ทำให้ดวงหฤทัยของราชนิกูลหนุ่มกำลังเต้นแรงอย่างที่ทรงไม่เคยรู้สึกมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นกับนางเอกหนังคนไหน หรือนางแบบสาวคนไหนก็ตาม
“สะบันงา” พระองค์เรียกหญิงสาวเสียงพร่าก่อนก้มพระพักตร์และฝังพระนาสิกลงที่แก้มนวลๆ สูดกลิ่นหอมๆ นั้นฟอดใหญ่ และนั่นก็ให้สร้อยสะบันงาสะดุ้งอย่างตกใจทันที
“เจ้าชาย!”
แม้จะเคลิบเคลิ้มแค่ไหน แต่ความรักนวลสงวนตัวของสาวชาวไทยก็มีมากกว่า และเมื่อโดนขโมยหอมอย่างจังเช่นนั้น มันก็เหมือนการเรียกสติให้กลับคืนมา สร้อยสะบันงาจึงพยายามดันอีกฝ่ายออกทันที
“อย่าดิ้นสิ” เจ้าชายวาคิมตรัสพร้อมรัดหญิงสาวจนแน่น
“ปล่อยนะ! หม่อมฉันบอกแล้วว่าเราต้องคุยกันก่อน”
“คุยทีหลังก็ได้”
“ไม่!” สร้อยสะบันงาส่งเสียงดัง “ฝ่าบาทจะมากระทำแบบนี้กับหม่อมฉันไม่ได้” หญิงสาวพยายามทำทุกอย่าง ทั้งดิ้น ทั้งขัดขืน ทั้งหยิก ทั้งตี เพื่อดันให้ร่างกำยำนั้นออกห่างจากตน จนในที่สุดคนที่กำลังมีอารมณ์ไม่ค่อยปกติเช่นเจ้าชายวาคิมก็ลุแก่ความโกรธา
“สะบันงา!”
ช่วงที่กำลังชะงักตะโกนนั่นเอง ร่างระหงก็ใช้เรี่ยวแรงเต็มที่ดันพระวรองค์สูงออกจากกาย และรีบวิ่งหนีไปอีกฟากหนึ่งของเตียง
“ฝ่าบาททำแบบนี้ไม่ได้นะ สร้อยมีพ่อมีแม่นะเจ้าชาย และหม่อมฉันก็ไม่ใช่ผู้หญิงขายตัว” สร้อยสะบันงาร้องบอกพร้อมน้ำใสๆ ที่ปริ่มอยู่ที่ขอบดวงตาอย่างอัดอั้น “ทรงรับสั่งกับหม่อมฉันหน่อยสิว่า ถ้าหม่อมฉันเป็นน้องสาวหรือพระญาติคนใดคนหนึ่ง ฝ่าบาทจะยอมให้ใครมาทำแบบนี้กับน้องสาวตนเองไหม”
เจ้าชายวาคิมกัดริมฝีปาก ดวงเนตรสีน้ำทะเลที่มองหญิงสาวตรงหน้ามีกระแสที่เปลี่ยนไปแต่ก็ไม่วายเถียง “ไม่มีผู้หญิงคนไหนไม่อยากนอนกับฉันหรอกสะบันงา”
“มันไม่ได้ขึ้นกับความอยาก!” เสียงหวานตะโกนอย่างโมโหจัด “หม่อมฉันถามว่าถ้าเป็นน้องสาวของฝ่าบาทละก็ ทรงยินดีไหมถ้าเธอโดนฉุดตัวมาแบบนี้”
“ฉันไม่มีน้องสาว” เจ้าชายวาคิมเถียงอย่างรั้นๆ
“ฝ่าบาทรู้ดีว่าไม่มีใครยอมหรอก ผู้ชายก็แบบนี้ กระทำคนอื่นได้ แต่ทนไม่ได้ถ้ามีใครมาย่ำยีพี่น้องตนเอง” สร้อยสะบันงาส่งสายตาเหยียดหยามมาให้จนเจ้าชายหนุ่มชักโมโห
“ฉันไม่เคยบังคับใคร ทุกคนยินยอมทั้งนั้น”
“แล้วต่อไปล่ะ พอเรื่องจบลง ฝ่าบาททรงทำอย่างไรกับพวกเธอล่ะ”