3.น้ำหวานอันบริสุทธิ์
น้ำหวานอันบริสุทธิ์
เมื่อไร้อาวุธนางจึงทำเรื่องขาดสติด้วยการกัดที่มือของเขา ยามนั้นความเดือดดาลมีมากล้นจึงคิดอย่างขลาดเขลาว่าอย่างน้อยพิษที่อยู่ในร่างกายคงแทรกซึ่งเข้าสู่ร่างกายแม่ทัพหนุ่ม แทนที่เขาจะห้ามนางหรือป้องกันอันตรายจากอวิ๋นมู่หลัน ฝ่ามือใหญ่ ๆ กลับถูกนางคว้าไปโดยง่าย แล้วฝังคมเขี้ยวและกัดจนเลือดไหลอาบ
อวิ๋นมู่หลันตกใจการกระทำของตนมิน้อย นางทำเรื่องป่าเถื่อนอันบ้าคลั่ง สิ่งนี้อาจทำให้นางหัวหลุดจากบ่า
ยามนั้นกลิ่นคาวอบอวลในโพรงปาก และนางรู้ว่าเขาเจ็บ แต่เหตุใดนอกจากเสียงคำรามต่ำ ๆ เขากลับไม่ทำสิ่งใดอีกเลย
กุนซือหนุ่มเห็นภาพดังกล่าว เข้าใจว่าแม่ทัพกวนกำลังเดือดดาลจัด แต่เมื่อเขาขอสตรีนางนี้ให้ไปรับใช้ที่กระโจมส่วนตัว กวนเฉินหลางจึงได้ยั้งมือไม่ผลีผลามทำเรื่องรุนแรง
“แม่นาง... ปล่อยมือท่านแม่ทัพก่อน!”
และเป็นอวิ๋นมู่หลันที่ถูกดึงร่างออกจากกวนเฉินหลาง ยามนั้นเลือดเต็มปากนาง ท่าทางจึงเหมือนหมาบ้าชวนให้น่าขนลุก
“นางวิปลาสอย่างที่ข้าคิดไว้ไม่ผิด หากเจ้าไม่คิดล่ามโซ่หรือมัดมือมัดเท้านางไว้ให้ดี ต่อจากนี้หากข้าได้พบหน้า อย่าได้หาว่าไม่เตือน ถึงไม่นิยมทำร้ายผู้อ่อนแอแต่พวกมีนิสัยลอบกัดหรือเลี้ยงไม่เชื่อง ข้าจะไม่ละเว้นชีวิต!”
“แม่ทัพกวน นางคงหวาดกลัวและมีอาการประสาทหลอน เหตุ-การณ์ครั้งนี้ข้ารับผิดชอบแทนนางก็แล้วกัน”
กวนเฉินหลางหัวเราะเสียงห้าวเข้ม โจวจื่อเว่ยคงเสียสติไปแล้วเป็นแน่ มิเช่นนั้นจะรับหน้าแทนสตรีอัปลักษณ์ และบ้าใบ้เช่นนี้หรือ
“หากเจ้ายังเป็นเช่นนี้ต่อไป สักวันข้าคงทูลฮ่องเต้ ขอเปลี่ยนกุนซือใหม่ หาคนที่ไม่หลงมัวเมาสตรีมาช่วยงานแทนเจ้าในกองทัพอินทรีทองคำ”
โจวจื่อเว่ยไม่คาดคิดว่าคำพูดเช่นนี้จะหลุดจากปากอีกฝ่าย แต่เขาไม่ได้ตอบโต้ เพียงแต่พาอวิ๋นมู่หลันจากไปเงียบ ๆ
ภายในกระโจมส่วนตัวของกุนซือหนุ่มมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของเทียนหอมและหญ้าป่า พลอยให้อวิ๋นมู่หลันลดความตึงเครียดหลายส่วน เป็นตอนนั้นที่คนรูปร่างผอมสูงส่งเสื้อผ้าชุดใหม่ให้นาง พร้อมสั่งบ่าวหญิงพาตัวอวิ๋นมู่หลันไปอาบน้ำเสีย
ด้านหลังกระโจมมีอ่างไม้เตรียมน้ำอุ่นไว้แล้ว พอนางไปถึงบ่าวรับใช้เป็นหญิงรูปร่างหนาและใบหน้าบูดบึ้งก็มองมาที่อวิ๋นมู่หลัน
“ลงไป หรือต้องให้ข้าขัดเนื้อขัดตัวให้”
หญิงสาวไม่คิดต่อปากต่อคำกับผู้ใด นางสมควรเงียบและทำตัวเป็นบ้าใบ้เช่นนั้นคงดีที่สุด
เมื่อลับสายตาผู้คน อวิ๋นมู่หลันก็สำรวจร่างกายของตนช้าๆ นับว่าสวรรค์ยังเมตตาให้นางยังมีชีวิตอยู่ และเมื่อคิดถึงสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตในเพียงไม่กี่ชั่วยามก่อนหน้า มันช่างบัดซบสิ้นดี นางจำได้ว่าขณะที่ขี่ม้ามากับกวนเฉิงหลาง นางเผลอซุกซบอกแกร่ง ๆ ของอีกฝ่าย ด้วยเสื้อผ้านางขาดวิ่น จึงหนาวสะบั้นไปทั้งร่าง และเขาถอดผ้าคลุมผืนใหญ่ของตนห่อร่างนางไว้
“อย่าได้คิดล่อลวงข้า ฐานะของเจ้าย่อมไม่สมควร”
ได้ยินเสียงดุเข้มชัดเจนเช่นนั้น อวิ๋นมู่หลันพลันตัวแข็งทื่อ เขาหยามศักดิ์ศรีนางถึงเพียงนี้แล้วเหตุใดถึงยื่นมือช่วยเหลือ หรือเพียงต้อง การกลั่นแกล้ง เขาคงเห็นชีวิตผู้อื่นเป็นของเล่นเท่านั้น!
ขณะที่นางชำระร่างกาย มือของนางก็ลูบไล้เนื้อตัว จู่ ๆ พลันเกิดความวาบหวามเมื่อในหัวได้เห็นสีหน้าบิดเบี้ยวของกวนเฉินหลางยามที่ข่มกลั้นความเจ็บปวด
เสียงคำรามต่ำ ๆ ราวกับสัตว์ป่า ดวงตาดุเข้มที่จ้องมองนางอย่างไม่แยแส และรอยยิ้มเยือกเย็นนั้น เขาทำให้นางทั้งครั่นคร้ามใจทั้งเกิดความรู้สึกซาบซ่านอย่างประหลาด
เมื่อนางกัดมือเขาจนเลือดอาบ กวนเฉินหลางก็เพียงแยกเขี้ยวและคำรามเสียงต่ำ ๆ เหตุใดภาพดังกล่าวถึงกระตุ้นให้นางมีความรู้สึกสยิวใจ
มือเรียวเลื่อนลงไปเบื้องล่างและเผลอไผลสัมผัสกลีบงามของตน นางละอายใจยิ่งนัก ทว่าขณะเดียวกันที่คิดถึงใบหน้าของกวนเฉินหลางนางกลับปรารถนาให้เขากระทำสิ่งที่ป่าเถื่อนกับตน
นิ้วสวยสัมผัสติ่งเนื้อนิ่ม นางคลึงเย้าเล่นไปมา ส่วนอีกมือนวดเฟ้นถันสวยของตน อวิ๋นมู่หลันต้องการ ยามนี้นางต้องการแม่ทัพปีศาจผู้นั้น
มือข้างที่คลึงเคล้นติ่งเนื้องามสร้างความซ่านใจรุนแรง นางจึงออกแรงหนักขึ้นรุนแรงอย่างหญิงใจร่าน ความรู้สึกดังกล่าวน่ากลัวเหลือเกิน หรือเป็นเพราะนางได้กลืนเลือดชั่วของเขาลงท้อง
และเมื่อเวลาผ่านไปหลายอึดใจสิ่งที่เกาะพราวบนนิ้วเรียวสวยกลับเป็นน้ำใส ๆ ที่มีกลิ่นหอมและรสชาติละมุนลิ้น
กระทั่งอาบน้ำเรียบร้อยนางจึงสวมเสื้อผ้าที่โจวจื่อเว่ยมอบไว้ให้ก่อนหน้านี้ ในขณะนั้นนางรู้สึกกระวนกระวาย ด้วยไม่แน่ใจว่าความต้องการของกุนซือผู้นี้คือสิ่งใด ถึงเขาจะช่วยเหลือนางไว้จากเงื้อมมือปีศาจร้ายกวนเฉินหลาง แล้วนางจำเป็นต้องพลีกายให้เขาหรือไม่
เมื่อเข้าไปอยู่ในกระโจมที่จัดแบ่งเป็นห้องหนังสือเล็ก ๆ เสียงขรึมแต่เจือด้วยความเมตตาก็ดังขึ้น
“เข้ามาใกล้ ๆ ข้า” เขาเอ่ยและทำภาษามือ ทว่านางไม่ได้เป็นใบ้ตั้งแต่กำเนิด เพียงแต่สาเหตุมาจากได้รับพิษ ฉะนั้นย่อมหาได้เข้าใจสิ่งที่เขาสื่อสาร
นางยืนนิ่ง ๆ อยู่เช่นนั้น ก้าวขาไม่ออก สุดท้ายบุรุษทุกคนย่อมต้องการเรื่องอย่างว่า และถ้าหากโจวจื่อเว่ยปรารถนาร่างกายนี้ นางคงยอมตายดีกว่าตกเป็นของคนที่นางไม่รัก!
“ได้ยินสิ่งที่ข้าเอ่ยหรือไม่”
นางไม่อยากทำให้เขาเสียอารมณ์จึงก้าวไปหาและยืนอยู่อย่างสงบ
“อ่านภาษามือไม่ได้ แต่ฟังที่ข้าเอ่ยเข้าใจ แสดงว่าข้ามองไม่ผิด เจ้าเพียงแต่พูดไม่ได้เท่านั้น”
เมื่อได้ยินโจวจื่อเว่ยกล่าวหัวใจของหญิงสาวก็เหมือนหล่นไปอยู่ตรงปลายเท้า
“เจ้ามีนามว่าเยี่ยงไร”
เขาถามและยื่นกระดาษและพู่กันให้อวิ๋นมู่หลัน แต่หญิงสาวทำได้เพียงยืนนิ่ง ๆ พร้อมเก็บความตื่นตระหนกอย่างที่สุด
“ข้ารู้จักกับเจ้าเมืองซ่ง ใต้เท้าอวิ๋นมีบุตรสาวเพียงคนเดียวคือเสี่ยวม่าน แต่ตัวเจ้าข้าไม่เคยพบและไม่เคยได้ยินใต้เท้าอวิ๋นเอ่ยถึงมาก่อน”
โจวจื่อเว่ยสมกับเป็นกุนซือผู้รอบรู้ ทว่าอวิ๋นหานก็ไม่ได้เอ่ยถึงลูกสาวที่เกิดจากอนุคนนี้ สาเหตุคือมารดาอวิ๋นมู่หลันเป็นเพียงหญิงในคณะละครแสดงข้างถนน ทั้งคู่ได้เสียกันในคืนที่ใต้เท้าหานไปเชื่อมสัมพันธ์กับต่างเมือง และเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีลูกสาวคนที่หกมาก่อน กระทั่งผ่านไปหลายปี อวิ๋นมู่หลันถือจดหมายฉบับหนึ่งของมารดาเพื่อไปขอพบกับอวิ๋นหาน
ดังนั้นหญิงสาวผู้นี้หากกล่าวไปฐานะยังเทียบไม่ได้เลยกับลูกของอนุหรือลูกบ่าวในจวนท่านเจ้าเมือง
แต่อวิ๋นหานเป็นคนมีจิตใจเมตตา เขารับนางไว้พร้อมดูแลอย่างดี และฮูหยินใหญ่เป็นคนที่เอ็นดูผู้อื่นเสมอ ดังนั้นอวิ๋นมู่หลันจึงไม่ได้มีชะตาชีวิตที่น่าเวทนาในจวนท่านเจ้าเมือง ผิดแต่นางกลับถูกพี่รองคอยกลั่นแกล้งเสมอ นั่นคงเป็นสิ่งเดียวที่ถือว่าเป็นเคราะห์กรรมนาง
“ไร้ชื่อไร้นาม เยี่ยงนั้นหรือ”
โจวจื่อเว่ยเอ่ยแล้วพิศสตรีที่ยืนก้มหน้านิ่ง ๆ ราวกับแสร้งทำตัวเป็นอากาศธาตุ
“ข้าจะเขียนจดหมายถึงเจ้าเมืองซ่ง และส่งตัวเจ้ากลับดีหรือ ไม่!”
อวิ๋นมู่หลันได้ยินแล้วจึงส่ายหน้าเร็วแรง หากนางกลับจวนยามนี้ เกรงว่าอาจมีภัยต่อบิดาและคนอื่น ซ้ำร้ายนางรู้เห็นหลายสิ่งพี่รองกับชายชั่วหลวนคุนวางแผนทำเรื่องร้ายแรงไว้ ไฉนพวกเขาจะปล่อยให้นางมีชีวิตรอด