2.ส่งตัวไปเป็นคณิกา
ส่งตัวไปเป็นคณิกา
กลางป่าทึบ นางถูกจับวางไว้บนแผ่นหินกว้างทั้งเย็นและชื้น เสื้อผ้าค่อย ๆ ถูกถอดออกทีละชิ้น เนื้อขาวอมชมพูนวลเนียนล่อสายตาโจรหื่นกระหาย จวบจนเหลือเพียงชั้นในที่ปิดทับกลีบงามอวบอูม ในขณะที่มันจะกระชากกางเกงผ้าผืนบางออกสายตาหื่นจัดกลับมองใบหน้านางและเห็นบางสิ่งที่ผิดปกติบนซีกหน้าซ้ายเข้าพอดี
“เฮ้ย นะ... นั่น น่าขยะแขยง... จะ... เจ้าต้องพิษร้ายหรือ”
โจรป่าว่า และมองซีกหน้าดังกล่าว คราแรกไม่ทันสังเกตให้ดี แต่ยามนี้ เส้นเลือดสีดำขยายใหญ่ราวกับดอกเห็ดหลายดอก และมันคือ โลหิตทมิฬ!
“แต่เอาเถอะ หากไม่มองหน้าเจ้า ข้าคงยังชื่นชมเต้างามๆ นี้ และกลีบในร่มผ้าได้ มันคงรับแรงโยกจากแท่งหยกข้าเป็นอย่างดี” เมื่อเขาเอ่ยจบก็เตรียมกระชากกางเกงนางทิ้ง ทว่าเป็นตอนนั้นที่ศีรษะโจรป่าถูกฟันขาดกระเด็น!
เลือดบางส่วนสาดกระเซ็นอาบรดร่างของอวิ๋นมู่หลัน กลิ่นคาวเข้มข้มลอยคละคลุ้งอยู่เบื้องหน้า นางคลื่นเหียนอยากสำรอกแต่ทำสิ่งใดไม่ได้ ยามนี้ยังมีผ้าปิดตาอยู่และร่างกายอ่อนแรง แต่สิ่งที่คาดเดาได้คือมีชายผู้หนึ่งจับร่างนางเหวี่ยงขึ้นไปนั่งบนม้าโดยมีเขานั่งซ้อนอยู่ด้านหลัง
อีกฝ่ายไม่ได้กล่าวคำใด นางได้ยินเพียงเสียงคำรามดุดันพร้อมกลิ่นกายบุรุษที่เต็มไปด้วยไอสังหารรุนแรง
ม้าออกวิ่งอย่างรวดเร็ว ซึ่งน้อยครั้งที่นางได้นั่งม้าเช่นนี้และไม่ได้รู้สึกปลอดภัยสักนิด กระทั่งผ่านไปนานสักครึ่งชั่วยาม นางจึงถูกจับโยนลงจากหลังม้าอย่างป่าเถื่อน ก่อนจะมีใครแบกนางเข้าไปในกระโจมหลังหนึ่ง มันมีกลิ่นอับ ๆ ผสมกลิ่นกายบุรุษเข้มข้นเต็มไปหมด
เมื่อมีใครคนหนึ่งดึงผ้าปิดตานางออก ตอนนั้นอวิ๋นมู่หลันก็พบกับตาคมกริบของบุรุษที่โดดเด่นผู้หนึ่ง ใจนางหล่นไปอยู่ปลายเท้า ดวงตาพยัคฆ์ดำสนิท ให้ความรู้สึกราวกับเหวลึกในขุมนรก!
เขามีรูปร่างสูงใหญ่กว่าคนทั่วไป ทั้งผิวคล้ำแดด แม้จะดูสง่างามแต่กลับไม่น่าเข้าใกล้อย่างที่สุด ด้วยไม่ได้มีเพียงไอสังหารรุนแรงที่ไหลท่วมร่างกาย หากมันเจือความเกลียดชังที่นางมีให้เขา เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายคือ กวนเฉินหลาง!!
กระทั่งริมฝีปากบางซีดขยับไหวและเปล่งน้ำเสียงดุเข้มจัดซึ่งส่งผลให้อวิ๋นมู่หลันสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง
“ตัวนางมีแต่สิ่งโสมมของโจรป่าพวกนั้น ข้าทนสูดดมไม่ได้จริง ๆ ล้างตัวให้สะอาด แล้วจับนางใส่ป้ายแขวนคอเสีย” เสียงทรงอำนาจสร้างความสนใจให้แก่ทหารหนุ่มหลายคน สตรีนางนี้แม่ทัพกวนช่วยมา และดูเหมือนจะเป็นผู้เดียวที่เหลือรอดชีวิตจากขบวนเจ้าสาวสกุลอวิ๋น เหตุใดกวนเฉินหลางจึงไม่คิดจะดูแลหรือเก็บตัวนางไว้
“เอ่อ จะดีหรือขอรับ อย่างไรนางก็คงเป็นคนของเจ้าเมืองซ่ง คือบำเหน็จที่รัชทายาทอยากให้เป็นดองกับสกุลกวน” หลิวตงทหารหนุ่มน้อยฝีมือดีเอ่ยถาม
แม่ทัพหนุ่มอยากขันนัก เขาไม่ต้องการสตรีจากสกุลใดทั้งสิ้น รัชทายาทเป็นคนเจ้าแผนการ ฝ่ายนั้นช่วงชิงสตรีที่เขารักไปเมื่อสองปีก่อน และพยายามเหลือเกินที่จะบีบบังคับผู้อื่นให้ส่งลูกสาวแต่งเข้าสกุลกวน และมันก็เป็นอีกครั้งที่ล้มเหลว จบลงด้วยด้วยทะเลเลือดซึ่งไหลนองอาบผืนดิน
กวนเฉินหลางมองไปยังนายทหารและคำรามออกมาหนึ่งหนก่อนเอ่ยว่า
“ข้าสั่งสิ่งใด เจ้ากล้าขัดรึ”
หลิวตงเก็บปากเงียบแล้วหันไปบอกคนงานหญิงให้พยุงร่างสตรีเคราะห์ร้ายไปล้างเนื้อล้างตัว แต่เป็นตอนนั้นที่อวิ๋นมู่หลันรวบรวมพลังของตนเพื่อเปล่งเสียงอย่างลำบาก
“อะ… อื้อ... ขะ… ข้า... มะ… ไม่” นางจะเอ่ยว่า ‘ให้ตายก็ไม่รับแขก’ แต่ยามนี้เสียงของนางมิอาจเรียบเรียงเป็นประโยค ทั้งหมดเกิดจากพิษที่กินเข้าไปซึ่งเป็นฝีมือของพี่รองอวิ๋นหยวนม่าน
“นางเป็นใบ้หรอกหรือ”
ผู้ที่เดินเข้ามาในกระโจมอีกคนคือ โจวจื่อเว่ย กุนซือหนุ่มผู้เป็นกำลังสำคัญของ ‘กองทัพอินทรีทองคำ’
“จงพามาให้ข้าดูใกล้ ๆ”
บ่าวหญิงสองคนลากตัวอวิ๋นมูหลันส่งให้โจวจื่อเว่ยและเขาพิศอย่างละเอียด สตรีผู้นี้ดวงตาฉายความฉลาดเฉลียว ผิดแต่เป็นใบ้ และใบหน้าซีกซ้ายคล้ายต้องพิษบางอย่าง ดูเหมือนเพิ่งจะเกิดขึ้นด้วยซ้ำ กระนั้นก็ดูอัปลักษณ์ไม่ชวนให้บุรุษพิศวาส อาจถึงขึ้นอัปมงคลหากใครคิดอุ่นเตียงกับนาง
“สตรีนางนี้เดินทางมากับขบวนเจ้าสาว และยังพ้นเงื้อมมือโจรป่ามาได้ แม่ทัพกวนเหตุใดไม่พิจารณาบ้าง การส่งนางไปรับใช้ทหารที่กระโจมด้านหลัง เกรงว่าเจ้าเมืองซ่งทราบเข้าคงเขียนหนังสือต่อว่าท่านยืดยาวให้ต้องวุ่นวายใจในภายหลัง”
กวนเฉินหลางส่ายหน้าอย่างระอา ตอนแรกเขาเห็นเรือนร่างบอบบางสวมอาภรณ์น้อยชิ้นซึ่งโดดเด่นสะดุดตา ด้วยผิวขาวอมชมพู และมีโจรป่าอุ้มนางแล้วพยายามพาหนี แต่เมื่อคนพวกนี้มาในขบวนเจ้าสาวเพื่อแต่งเข้าสกุลกวน ใครก็อย่าบังอาจฉกชิงไปได้ง่าย ๆ ในครานั้นเขาคิดว่านางคงเป็นสาวใช้คนสำคัญของสกุลอวิ๋นจึงยื่นมือเข้าช่วย แต่เมื่อพิศใบหน้าก็นึกสมเพชทั้งยังไม่ส่งเสียงร้องใด ๆ ให้ได้ยิน เขาจึงไม่เห็นว่านางจะมีประโยชน์ต่อเขาอีก กองทัพนี้หากผู้ใดอยากมีอาหารกินและเสื้อผ้านุ่งห่มย่อมต้องออกแรง ซึ่งสตรีที่ดูอ้อนแอ้นร่างกายทำงานครัวไม่ได้ นางคงเหลืองานเดียวที่เหมาะสมคือนำป้ายแขวนคอแล้วส่งเข้ากระโจมด้านหลังค่ายทหารเพื่อรับแขก
“ข้าดูแล้วทั้งอัปลักษณ์และบ้าใบ้ กระนั้นแต่นางยังบริสุทธิ์ไร้ราคี ดังนั้นงานสบาย ๆ ที่กระโจมด้านหลังคงเหมาะสมกับนางที่สุด”
โจวจื่อเว่ยถอนหายใจหนัก ๆ ก่อนส่งเสียงเข้มกว่าปกติ
“กวนเฉินหลาง! ท่านอำมหิตเกินไปแล้ว”
“ทุกคนในค่ายนี้หากไม่ทำงานจงไสหัวออกไปจากที่นี่เสีย” แม่ทัพหนุ่มส่งเสียงเข้มใส่กุนซือโจว
โจวจื่อเว่ยที่ปกติไม่เคยเดือดดาลต่อหน้าแม่ทัพหนุ่มกลับแสดงอารมณ์รุนแรง อาจเป็นเพราะเขาเห็นแม่นางคนนี้น่าสงสาร ทั้งนางยังมากับขบวนเจ้าสาวสกุลอวิ๋น ซึ่งครั้งหนึ่งเขาเคยได้รับการดูแลที่ดีจากเจ้าเมืองซ่ง ซึ่งก็คืออวิ๋นหาน ในตอนที่ได้รับบาดเจ็บจากการเดินทางไกลเพื่อไปสอบจอหงวนที่เมืองหลวง
“ข้าจะรับนางไว้ช่วยงานในกระโจมส่วนตัว หวังว่าท่านแม่ทัพคงไม่ขัดข้อง”
กวนเฉินหลางหันมาจ้องโจวจื่อเว่ยเขม็ง คำพูดดังกล่าวของกุนซือ หนุ่มหนักแน่นเจือด้วยการต่อต้านเขาอย่างแจ้งชัด
“ฮึ ๆ ๆ ข้าเพิ่งรู้ว่ากุนซือโจวชอบอุ่นเตียงกับสตรีวิปลาส เอาเถอะ อย่างน้อยเวลาพวกเจ้ามีอะไรกันมันคงไม่ส่งเสียงดังรบกวนการหลับนอนของข้า”
โจวจื่อเว่ยส่ายหน้าช้า ๆ ซึ่งที่อีกฝ่ายกล่าวนับว่าเป็นการผ่อนปรนในเรื่องนี้ของกวนเฉินหลางแล้ว
ทว่ายามนี้ จู่ ๆ อวิ๋นมู่หลันกลับแสดงความโกรธแค้น เมื่อครู่หากแม่ทัพหนุ่มผู้นี้ปล่อยให้นางตายกลางป่าคงดีกว่าจับตัวมาในค่ายทหาร ยามนั้นคำพูดของพี่รองพลันย้อนเข้ามาในหัว
“น้องหลัน จงขึ้นเกี้ยวไปกับพี่ หลังจากนั้นก็แล้วแต่วาสนาของเจ้าว่าจะตายอยู่กลางป่าให้อีกาจิกกินซากศพ หรือเข้าไปตกนรกและตายทั้งเป็นในฐานะอนุ ไม่ใช่สิ เป็นสาวใช้ข้างห้องของแม่ทัพกวนจึงจะเหมาะสมกว่า!”
ทว่าตอนนี้ยังไม่ทันได้เข้าไปในจวนสกุลกวนด้วยซ้ำ นางต้องเจอเรื่องเลวร้ายถึงเพียงนี้ กวนเฉินหลาง... เขาคือชายที่ไม่ควรอยู่ใกล้อย่างที่สุด ได้สูดอากาศร่วมกับเขาในกระโจมนี้นางก็แทบกระอักเลือดตาย!
ยามนั้นอวิ๋นมู่หลันรับรู้ได้ว่าเหตุการณ์บัดซบที่เกิดขึ้นทั้งหมดล้วนเป็นเพราะกวนเฉินหลางต้องการสตรีจากสกุลอวิ๋น เขาคือปีศาจร้ายที่พรากความสุขไปจากชีวิตนาง
เมื่อคิดได้ดังนั้น อวิ๋นมู่หลันจึงพุ่งเข้าไปหาร่างสูงใหญ่ ถึงต้องตายนางก็จะฆ่าเขาให้จงได้!