สะอาด
ผู้คนในงานต่างเงยหน้ามองอ๋องฟู่ที่เพิ่งจะปรากฎตัวในงานแซยิดครั้งนี้เป็นครั้งแรก
ในอาภรณ์สี เหลืองทองเกล้าผมครึ่งศรีษะอีกครึ่งปล่อยลงมาสยายเต็มแผ่นหลัง ใบหน้าหล่อเหลาราวกับหลุดออกมาจากภาพวาดของจิตกรเอกที่รังสรร เทพบนสรรค์ไว้บนผ้าใบ
“ฟู่อ๋องคารวะท่านราชครูฉิน และฮูหยินฉิน”
ฮูหยินจิงหราน ยิ้มดวงตาเป็นประกายชื่นชมฮ่องฟู่ที่เคยมีโอกาสพบตั้งแต่อายุสิบสามปี
“เรียกท่านลุงเหมือนเคยท่านอ๋อง ไม่ต้องเกรงใจเชิญๆ เข้าไปในงานฉินเกอเตรียมจัดโต๊ะที่ดีที่สุดสำหรับท่านอ๋องแล้ว”
คนก่อนหน้ากลืนน้ำลายลงคอยากเย็น อยากจะสะกิดบอกท่านอ๋องว่า…. หนีไป
ฟู่อ๋องพาร่างสูงสง่า ยังที่นั่งกิตติมศักดิ์ที่ถูกเชิญผู้คนล้วนซุบซิบถึงรูปโฉมที่หล่อเหลาและท่าทีองอาจทว่าแววตากลับนิ่งเฉยเย็นชาราวกับเกล็ดหิมะ
ใต้เท้าฉินกลับไปนั่งยังโต๊ะที่ตั้งตรงกลาง
เสียงบรรเลงกู่เจิ้ง ดังแว่วมาจากด้านใน จิงชินในอาภรณ์สีขาวถูกหย่อนลงจากด้านบนพร้อมกับ บรรเลงเพลงกู่เจิ้งในมือ
สายตาหลายคู่ต่างจับจ้องใบหน้าที่งดงามราวกับเทพีสวรรค์แหงนคอตั้งบ่ามองความงามทั้งหน้าผมและอาภรณ์ที่พลิ้วไหว แต่ละคนราวกับหลุดเข้าไปยังโลกหนึ่งที่มีเพียงจิงชินและเสียงกู่เจิ้ง เวลาเหมือนผ่านไปชั่วกัปชั่วกัลป์รอที่จะเห็นหน้าจิงชินให้ชัดกว่านี้
“ติง ติ่ง ติง”ทว่ายังไม่ทันที่ร่างงดงามจะลงถึงพื้นให้ได้ชื่นชมกัน
ร่างอ้วนมหึมาก็วิ่งออกมาจากม่านสีแดงทำเอาหลายคนอ้าปากค้างกับอาภรณ์สีชมพูที่เหมือนนำมาห่อไว้กับร่างอ้วนตุ๊ต๊ะนั่น อีกทั้งยังดึงสายรัดเอวจนพุงปลิ้นออกมาเป็นชั้นๆ ถึงห้าชั้นรวมทั้งหน้าอก
ใต้เท้าฉินลุกขึ้นปรบมือเมื่อจิงเชียวปรากฏกายออกมา แต่บางคนถึงกลับถอนหายใจด้วยความรู้สึกอิดหนาระอาใจ หญิงงามที่เฝ้ามองกับถูกนางมารร่างอ้วนบดบังจนมองไม่เห็น
“ลูกพ่อ ฮ่าๆๆๆๆๆๆ เก่งเสียจริงฮ่าาาา”
จิงเชียวยิ้มร่า บังจิงชินจนมิดบางคนชะเง้อชะแง้มองหาจิงชินที่อยู่ด้านหลังได้ยินเพียงเสียงกู่เจิ้งและท่าร่ายรำที่แสนจะน่าเกลียดราวกับก้อนไขมันเคลื่อนตัวผ่านระลอกคลื่น
ฟู่ฉวีช่ายก้มหน้ายกจอกสุราขึ้นกระดกรวดเดียวหมดจอก
เสี่ยวฝานก้มลงกระซิบดังๆ
“ท่านอ๋องบุตรีคนโตของใต้เท้าฉินตัวใหญ่ราวกับผานกู่ (ยักษ์) ”
“หุบปากเจ้าเสียเจ้าเคยเห็นผานกู่ด้วยหรือ”เสี่ยวฝานทำตัวลีบเล็ก
เสียงกู่เจิ้งพลิ้วไหวจนคนฟังเคลิบเคล้มแต่สะดุดตากับร่างตุ๊ต๊ะที่ร่ายรำตรงหน้าบางคนหลับตาเสีย เพื่อจะได้ไม่ต้องเห็นจิงเชียว จิงเชียวตั้งใจร่ายรำตามแบบที่นางในหอนางโลมสอนสั่ง ถึงเวลาที่เพลงกำลังจะจบจะต้องหมุนตัว พลิกร่างมหึมาวิ่งเข้าไปในฉากสีแดงด้านหลัง จิงเชียวหมุนตัวตามจังหวะทอดเสียงของกู่เจิ้ง เสียงอาภรณ์ปริขาดดังลั่น ผ้าสีชมพูที่ห่อหุ้มร่างกายอ้วนพีปริออกตามรอยตะเข็บที่ด้านข้าง ผิวเนื้อสีขาวที่ถูกรัดไว้ด้วยอาภรณ์กลับปลิ้นออกมาจากรอยตะเข็บหลายคนมองก้อนเนื้อที่ปริออกมาเบือนหน้าหนีภาพน่ารังเกียจนั่น จิงเชียวสูญเสียความมั่นใจในทันที เอาแต่พะวงกับอาภรณ์ที่ปริขาด พลันร่างอ้วนก็สะดุดชายกระโปรงตัวเอง ผู้คนตาอ้าปากค้างฟู่ฉวีช่ายทะยานขึ้นไปด้านบน คว้าร่างเล็กที่กำลังจะถูกร่างอ้วนมหึมาล้มทับไว้ในอ้อมแขน
“ตึง”
เพียงเส้นยาแดงผ่าแปดจิงชิงถูกดึงออกจนพ้นรัศมีของร่างอ้วน จิงเชียวนอนหงายพุงยื่นไม่อาจช่วยเหลือตัวเองได้
“พี่อ๋องฟู่ช่วยข้าด้วย เปล่งเสียงแหบออกมาจากปาก"คางสามชั้นกระเพื่อมไปมา
“เจ้า”อ๋องฟู่ผลักร่างใหญ่ที่ไม่ไหวติงออก
แต่ออกแรงจนหมดรวบรวมกำลังภายในทั้งหมดก็ยังไม่อาจผลักร่างของจิงเชียวออกได้
“เจ้าล้มทับน้องสาวที่บอบบางของเจ้าได้อย่างไร นางอาจถึงตายได้”
จิงเชียวยิ้มเจื่อนๆ ดิ้นกระแด่วกระแด่วลูกขึ้นไม่ไหว
ท่านฉินกับฮูหยินฉินรีบมาพยุงจิงเชียวแต่ก็ไร้ประโยชน์ในเมื่อสองแรงแก่ชราไม่อาจยกร่างหนักเกือบสองร้อยกิโลกรัมได้ไหว อี้เหลียวรีบพาบุรุษในจวนราชครูสองสามคนมาช่วยกันยกร่างอ้วนของจิงเชียว พากลับไฟยังห้อง
“คุณหนูเจ้าขาอย่าคิดมากเจ้าค่ะ”
อี้เหลียวยกของกินมาวางเรียงรายยามที่จิตใจทดท้อคุณหนูก็ยิ่งกินไม่สิยิ่งนางอารมณ์ดีนางก็ยิ่งกิน
“คิดมากเรื่องอะไร ข้าไม่เข้าใจจั๊บๆๆๆๆ”
เคี้ยวไปด้วยพูดไปด้วยไม่ได้สนใจสิ่งอื่นนอกจากอาหารคาวหวานตรงหน้า
“คุณหนูใหญ่เจ้าขาอย่าปิดบังเลยเจ้าค่ะ นายหญิงให้ข้าน้อยนำของอร่อยมาคอยปลอบใจ เพราะนายหญิงรู้ว่าคุณหนูเสียใจที่ท่านอ๋องฟู่เอาแต่สนใจคุณหนูรอง”
“ไม่นะ ข้าไม่รู้สึกอะไรไม่ได้เสียใจด้วย ดีใจด้วยซ้ำที่พี่อ๋องฟู่เตือนข้ากลัวว่าข้าจะทำให้ จิงชินตาย”