ตอนที่ 8 คั่งแค้น
กระทั่งความคิดอันลึกล้ำนั้นของซิงเยว่ต้องตกไป เมื่อหลิวไท่หยางสะบัดฝ่ามือหนึ่งครา
เตียงนอนของซิงเยว่พลันเคลื่อนครืดออกด้านข้าง เผยสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ข้างใต้ ถังไม้ที่มีเสื้อผ้าเปื้อนเลือดสดๆ จึงเปิดเผยความจริงอย่างมิอาจปิดบัง
หญิงสาวเบิกตากว้าง หนังหัวชาหนึบ ลำตัวชาวาบ
ความคิดที่ว่าเจ้านายเข้ามาเพราะต้องการทาสกามาพลันอันตรธาน ซิงเยว่ยืนนิ่งแข็งค้างมิสร่างซา แน่ใจแล้วว่าเขามาเพื่อจับคนร้าย
นายน้อยผู้นี้ ไฉนปราดเปรื่องนัก!
ท้ายที่สุดหญิงสาวมิทันคิดหาทางแก้ไขหรือแก้ต่าง หลิวไท่หยางพลันสะบัดมืออีกครา เกิดกำลังภายในสายหนึ่งเป็นพลังปราณไร้รูปลักษณ์ แต่ทว่าสามารถหอบเอาเทียนเล่มเดียวในห้องลอยลิ่ว ทั้งประกายเพลิงลุกโชนมากกว่าเดิม
ชั่วขณะตกตะลึงพรึงเพริดและหวาดหวั่นพรั่นพรึงต่อความผิดที่ถูกจับได้ เสื้อผ้าในถังไม้พลันเกิดไฟลุกพรึบ ทั่วทั้งห้องสว่างวาบ
ซิงเยว่ยิ่งงุนงงสับสนเมื่อเห็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่สุดถูกทำลายทิ้งต่อหน้าต่อตา
และเมื่อประกายไฟก่อเกิดความสว่างไสวปานนั้น หลิวไท่หยางที่มองเพียงซิงเยว่เนิ่นนานจึงได้เห็นริมฝีปากอิ่มมีริ้วรอยจากการถูกย่ำยีจนปริแตกชัดเจน เสี้ยวเวลานั้น ชายหนุ่มพลันกระจ่างถึงสาเหตุแห่งความอำมหิตของนาง
“เจ้า...”
บุรุษเอ่ยเรียกได้แค่นั้นด้วยความรู้สึกคล้ายถูกไม้ตีกระแทกที่ใบหน้า ตามด้วยกระทืบซ้ำๆ ที่หัวใจ
ซิงเยว่กะพริบดวงตากลมใสมองอย่างฉงนสงสัย
จังหวะนั้นหลิวไท่หยางพลันเดินเข้ามาอย่างไม่คิด เขายื่นมือรั้งเอวบางประชิด โอบตัวนางไว้ในอ้อมแขน ฝังใบหน้านางเข้าแผงอกหนา
ความรู้สึกอบอุ่นสายหนึ่งเกิดขึ้นกับซิงเยว่ นางไม่ทันปฏิเสธนั่นคือเรื่องจริง ทว่าสิ่งที่จริงยิ่งกว่าคือนางไม่รู้ตัวว่าเหตุใดจึงไม่อาจปฏิเสธอ้อมแขนนี้ได้
“มันกล้ารังแกเจ้า...”
สุ้มเสียงทุ้มต่ำดังอู้อี้ที่ริมหูขาว หญิงสาวยิ่งรับรู้ถึงกระแสแห่งความห่วงใยอย่างหาที่สุดมิได้เอ่อท้นล้นออกมา
ใบหน้าหล่อเหลาซบเส้นผมนุ่มลื่นเช่นนั้น ในขณะที่ซิงเยว่ฝังใบหน้าซุกแผงอกบุรุษไม่ไหวติง นางยืนนิ่งก็จริง ทว่าในใจกลับเต้นระส่ำรุนแรงอย่างน่ากังขา
ใจที่เต้นแรงนี้แฝงความคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด มิใช่เต้นแรงเพราะตื่นตัวอย่างต้องการระแวดระวัง ยิ่งมิใช่เพราะรังเกียจที่ควรเกิดจากการฉวยโอกาสเอาเปรียบอิสตรี
ซิงเยว่รับรู้ได้ว่าอ้อมกอดนี้มีความหมาย
เขาห่วงหาและหวงแหนนางกระนั้นหรือ?
ทันใดนั้นหลิวไท่หยางพลันผละนางออกแล้วสะบัดแขนเสื้อเสียงดังพรึบ หมุนกายออกจากห้องไปอย่างฉุนเฉียว พริบตาเดียวร่างสูงก็หายไปในม่านราตรี ซิงเยว่ได้แต่ยืนมองอย่างงุนงงที่สุดในใต้หล้า
เรือนพักบ่าวชายริมป่าไผ่
คนเจ็บถูกรักษาบาดแผล พันผ้าสีขาวไว้รอบดวงตาและลำตัวเอาไว้อย่างดี ทว่าอารมณ์กลับไม่ดีอย่างร้ายกาจ ยามนี้เขากำลังอาละวาดทำลายโต๊ะตั่งภายในห้องพักอย่างบ้าคลั่ง คล้ายสัตว์ป่าชั่วร้ายที่ถูกนายพรานทำให้บาดเจ็บแสนสาหัสจนแค้นเคืองเจียนกระอักเลือด กระทั่งผูกอาฆาตพยาบาทหมายล้างแค้นผู้กระทำไปถึงชาติหน้า
สหายร่วมห้องซึ่งเป็นบ่าวชายสองคนช่วยกันจับตัวชายร่างใหญ่อย่างทุลักทุเล เพราะเจ้าตัวมีเรือนกายกำยำและกำลังบ้าคลั่ง ท่าทางโหดร้ายของเขาแม้ไม่มีเสียงเปล่งออกจากปาก ทว่ากลับดูออกได้ไม่ยากว่าหากเจอศัตรูคู่แค้น คงกระโจนเข้าไปกัดกระชากอีกฝ่ายจนจมเขี้ยวแน่นอน
“อาอี้ ข้าว่าเจ้าไปแจ้งท่านพ่อบ้านดีกว่าหรือไม่” บ่าวชายคนหนึ่งตะโกนบอกบ่าวชายอีกคนที่กำลังช่วยกันจับตัวคนเจ็บที่บัดนี้มิรู้ว่าเอาเรี่ยวแรงมาจากที่ใด
“เจ้าคิดว่าข้ากล้ารึ? หากคืนนี้เรือนของพวกเราวุ่นวายอีกรอบ ท่านพ่อบ้านได้หาเรื่องหักเบี้ยประจำเดือนของข้าปะไร”
“แล้วจะทำอย่างไรดีเล่า อาซวนคั่งแค้นคนที่ทำร้ายจนคลุ้มคลั่งปานนี้ แม้แต่บาดแผลคงไร้ความรู้สึกไปแล้ว ขืนปล่อยเอาไว้อาซวนได้ตายแน่”
อีกคนส่ายหน้า “ข้าคิดว่าคงเป็นเพราะกรรมตามทันนั่นล่ะ” ผู้พูดรู้ดีถึงพฤติกรรมชอบรังแกและเอาเปรียบสตรี เกิดเหตุเช่นนี้กับอาซวนย่อมสมควรแล้ว เหตุใดไม่ตายนะ?
ชายร่างใหญ่นามอาซวนยังคงบ้าคลั่ง เขาสะบัดแขนเหวี่ยงบ่าวชายทั้งสองออกอย่างแรงจนกระเด็นกระแทกผนังห้องเสียงดังอึก “โอ๊ย!/อั่ก!” จุกเสียดไปตามๆ กัน
พริบตานั้นคนทั้งสองพลันเห็นเงาคนสายหนึ่งพุ่งพรวดเข้ามา ประกายดาบคมกริบสะท้อนแสงเทียนวิบวับ จับได้เพียงกระแสสังหารที่มาพร้อมไฟโทสะโชติช่วงชัชวาล อึดใจต่อมาร่างใหญ่ของบุรุษผู้คลุ้มคลั่งพลันล้มลงฟาดพื้น เกิดเสียงกระแทกเก้าอี้หักดังลั่น เลือดแดงฉานไหลทะลักจากแผงอกด้านซ้าย หนึ่งดาบสะบั้นหัวใจ สิ้นชีวิตแน่นิ่งไป
ยังมิทันที่บ่าวชายทั้งสองจะเอ่ยอันใด กระแสเสียงเย็นเยียบดุจน้ำแข็งใต้ทะเลลึกค่อยดังเนิบนาบ
“เอาศพไปทิ้งที่สุสานร้าง”
จบคำเขาผู้นั้นเพียงหมุนตัวเคลื่อนกายเดินจากไปอย่างเชื่องช้า ทิ้งสายตาเบิกผวาแทบถลนให้มองตาม
เส้นเสียงแหบพร่าที่เพิ่งค้นหาเจอค่อยๆ ดังสั่นๆ
“น่ะ นายน้อยหลิว”
เขามีความแค้นอันใดต่ออาซวนปานนี้หรือ?
หลิวไท่หยางไม่คิดกลับห้องหนังสือ หลังจากชำระแค้นแทนซิงเยว่เขายังย้อนกลับมาที่ห้องพักของนาง
เมื่อเปิดประตูออกจึงเห็นนางนั่งนิ่งๆ กอดห่อผ้าอยู่บนเตียง สายตามองเถ้าถ่านในถังไม้อย่างเซื่องซึมเหม่อลอย
ชายหนุ่มเดินเข้ามาด้วยท่าทางสงบเยือกเย็นมากกว่ายามเดินออกไป ไฟโทสะได้รับการปลดปล่อยแล้ว อารมณ์ของเขาดีขึ้นมาก
“ซิงเอ๋อร์”
เจ้าของนามสะดุ้งวูบ เหลือบตามองคนเรียกอย่างระแวดระวัง
หลิวไท่หยางเห็นอาการนั้น หัวใจพลันอ่อนยวบยาบ
“เจ้าถือห่อผ้าทำไม?”
ซิงเยว่กระชับห่อผ้าแน่น เปิดปากอย่างสัตย์ซื่อว่า “บ่าวเก็บของรอ เพราะยอมจำนนด้วยหลักฐานเจ้าค่ะ”
สิ้นเสียงอ่อนหวาน บุรุษเพียงจ้องนิ่งตรึงร่างบาง มองลึกในแววตานาง
หากถามว่าหลิวไท่หยางมองเห็นอะไร แน่นอนว่าเขาเห็นทุกสิ่งที่เป็นซิงเยว่
นางฉลาดและเจ้าเล่ห์ คำว่ายอมจำนนด้วยหลักฐานนั่นคือเรื่องจริง แต่การเก็บห่อผ้าแล้วนั่งรออย่างเหม่อลอยนั่นเป็นเพราะว่านางไร้หนทางหนีต่างหาก
การหนีไปจากคฤหาสน์มิใช่เรื่องง่าย ยิ่งไม่มีเงิน ปราศจากกำลังภายใน และไร้ฝีมือต่อสู้ การอยู่หรือไปคืนนี้ ย่อมส่งผลแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ด้วยฝีมือของซิงเยว่ยามนี้ นางย่อมหาวิธีที่ดีกว่าการหนีออกไปอย่างไร้จุดหมายปลายทาง
หลิวไท่หยางอดมิได้ที่จะลอบถอนหายใจอย่างชื่นชม ดูเถิดทั้งๆ ที่เขาปรารถนาให้นางได้รับความยากลำบากแท้ๆ แต่กลับไม่อาจปฏิเสธการกลายเป็นหมากให้นางได้
ซิงเยว่กะพริบตาโต จับจ้องผู้เป็นนายอย่างแน่วแน่ เผยท่าทีพร้อมเจรจาบางอย่าง
ชายหนุ่มเลิกคิ้วเล็กน้อย แสร้งเงียบเพื่อฟังนางนิ่งๆ
“บ่าวทำร้ายคน แต่บ่าวสามารถชี้แจงเหตุผลได้ คนผู้นั้นพยายามล่วงเกินหมายย่ำยี เพื่อเกียรติอันน้อยนิด บ่าวจึงต้องปกป้องตัวเองอย่างเต็มกำลัง ดังนั้นหากนายน้อยจะลงโทษโบยซิงเอ๋อร์จนตาย คงมิแคล้วต้องเสียความเคารพนับถือจากบ่าวไพร่จนสิ้น บรรดาสาวใช้ในเรือนย่อมเห็นชัดถึงความอยุติธรรม เช่นนี้บ่าวยินดีมอบตัวให้คนของทางการจัดการตามกระบวนการกฎหมายบ้านเมืองเจ้าค่ะ”
หลิวไท่หยางอยากจะหัวเราะนัก เขาพยักหน้ากล่าว “คฤหาสน์หนิงเป็นที่รู้จักทั้งเมือง เป็นที่สนใจของชาวบ้าน หากข้าทำเช่นนั้นจริง ไม่แคล้วถูกผู้คนครหาว่าคฤหาสน์หนิงไร้คุณธรรมที่เลือกรักษาคนถ่อยไว้”
ซิงเยว่ยกยิ้ม “เช่นนั้น หากนายน้อยปล่อยบ่าวไป ไม่คิดจับส่งมือปราบให้ดำเนินคดี บ่าวยินดีจะไม่แพร่งพรายก็ย่อมได้ ขอเพียงนายน้อยมอบอาหารแห้งให้มากและจ่ายเงินให้บ่าวสักหน่อย ความลับย่อมเป็นความลับสืบไป”
ครานี้หลิวไท่หยางหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ
ดูเถิดนางฉลาดเจ้าเล่ห์ถึงเพียงนี้ เห็นเขาช่วยทำลายหลักฐานคงคิดว่าทำไปเพราะคำนึงถึงชื่อเสียงของคฤหาสน์
เขาปิดเปลือกตาอย่างต้องการทำใจให้สงบเยือกเย็น ก่อนลืมตาขึ้นมาอย่างเชื่องช้า มองนางที่ยังคงเป็นนาง
สตรีผู้ซึ่งนั่งกอดห่อผ้าอย่างน่าสงสาร บรรยากาศรอบกายอบอวลไปด้วยความรู้สึกโดดเดี่ยว ต้องอยู่เพียงลำพังอย่างเดียวดาย ตั้งแต่ค่ายโจรถูกบุกทำลาย อันตรายมีมากมายเท่าใดก็สุดรู้ที่รอนางอยู่ในทุกย่างก้าว
เสือตัวหนึ่ง แม้สัญชาตญาณยังคงดิบเถื่อนชั่วร้าย หากทว่าร่างกายกลับกลายเป็นแค่แมวน้อยเยี่ยงนี้...
วรยุทธอันใดก็ไม่มี ความจำยิ่งเลือนหาย
ภายนอกศัตรูที่จดจำนางได้มีมากมายเท่าใดก็สุดนับ
หลิวไท่หยางหรี่ตา
เขาไม่มีทางปล่อยนางไป...