ตอนที่ 9 รั้งไว้ข้างกาย
การรั้งซิงเยว่ไว้ข้างกาย ส่วนหนึ่งหมายกลั่นแกล้ง เพราะชิงชัง ทว่าส่วนลึกนั้นหลิวไท่หยางรู้ดีว่าเพราะเหตุใด
ซิงเยว่คืออดีตนางโจรที่กำลังถูกทางการหมายหัว การถูกทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสกระทั่งความจำเลือนหาย วรยุทธ์ถูกทำลาย อาจเป็นฝีมือของลูกน้องคนสนิทก็ได้
หลิวไท่หยางไม่รู้จักลูกน้องของซิงเยว่เลยสักคน การที่จะให้ระแวดระวังใคร ไว้ใจใคร ล้วนไร้หนทางพิสูจน์
ที่สำคัญพี่สาวเพียงคนเดียวของนางถูกตัดหัวมอบให้จักรพรรดิเยี่ยนไปแล้ว ยามนี้ซิงเยว่ตัวคนเดียวไม่เหลือใคร มิอาจไว้ใจใคร หลิวไท่หยางจึงไม่คิดที่จะปล่อยนางไป
แต่ด้วยนิสัยโหดเหี้ยมเลือดเย็นและลักษณะโดดเด่น การพรางกายปิดบังฐานะแท้จริงด้วยการเป็นสาวใช้ย่อมเป็นทางออกที่ดี เช่นนี้ซิงเยว่ถึงจะใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัย ไร้ใครสงสัยตัวตนที่แท้จริง
สาวใช้ต่ำต้อยผู้หนึ่งย่อมไม่มีใครสนใจสืบค้น
ชายหนุ่มแค้นตัวเองนักที่หัวใจควรภักดิ์กลับไม่รักดี ทั้งๆ ที่นางสะบั้นสัมพันธ์ ไม่ไยดี ทิ้งเขาไปอย่างโหดร้าย ช่วงเวลาที่ถูกทิ้งขว้าง เขาทรมานปานใด นางรู้หรือไม่?
แต่วันนี้เขากลับห่วงใยนาง
กลัวว่าเมื่อใดก็ตามที่ปล่อยนางไปให้ไกลตา ชาตินี้ทั้งชาติเขาคงหมดโอกาสพบเจอนางอีก
แค่คิดว่าอาจมีความตายมาพรากมิใช่เลิกราเฉกปกติ หัวใจในอกแกร่งของบุรุษพลันรุ่มร้อนแทบมอดไหม้
ซิงเยว่เป็นนักรบโดยกำเนิด นิสัยชอบเข่นฆ่าของนาง หากเจอคนด้อยฝีมือก็แล้วไปเถิด แต่ถ้าเจอคนมีวรยุทธ์เล่า?
หลิวไท่หยางไม่กล้าคิดต่อ ขอเพียงเขารั้งนางให้อยู่ข้างกายสิบสองชั่วยาม ย่อมแก้ไขได้ทุกสิ่ง
“ต่อไปนี้เจ้าจงอยู่กับข้า ห้ามห่างแม้ครึ่งก้าว”
คำสั่งเฉียบขาดของเจ้านาย ทำเอาซิงเยว่เข้าใจไปว่าเขาเกรงเรื่องไม่ดีในคฤหาสน์จะถูกแพร่งพรายให้เสื่อมเสีย หรือไม่ก็อาจจะคิดควบคุมไม่ให้นางไปทำร้ายใครอีกนั่นเอง
แน่นอนว่าเป็นเช่นนี้ย่อมดีกว่าออกไปลำบากเพียงลำพังอยู่ข้างนอก การได้บารมีเจ้านายคุ้มหัวมีอันใดไม่คุ้มค่า
ดังนั้น นับแต่คืนเกิดเรื่อง ซิงเยว่จึงถูกนายน้อยหลิวพากลับเรือนหลัก พำนักอยู่บนตั่งในห้องด้านในกับเจ้านาย ซึ่งซิงเยว่พร้อมยินยอมและยินดีเป็นที่สุด
และนับแต่คืนนั้นอีกเช่นกัน ที่หลิวไท่หยางสามารถอ่านรายงานร้านค้าได้อย่างมีสมาธิ ตรวจสอบบัญชีร้านค้าได้อย่างแม่นยำไม่วอกแวกแม้ขณะจิต เมื่อมีใครมาอยู่ด้วย
อาการใจไม่สงบนิ่งมิจดจ่ออยู่กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าพลันอันตรธาน เมื่อมองไปที่ตั่งยาวทางฝั่งหนึ่ง แล้วได้เห็นใครบางคนกำลังนอนนิ่งๆ หลับตาพริ้มอยู่ตรงนั้น
เวลาล่วงผ่าน ราตรีคืบคลาน วันแล้ววันเล่า
ห้องพักส่วนตัวด้านใน ซิงเยว่เห็นบ่าวหญิงนอกเรือนพากันชะโงกหน้าชะเง้อคอมองเข้ามาหลายต่อหลายครั้ง สายตาที่จับจ้องล้วนเต็มไปด้วยร่องรอยแห่งริษยาเจียนคลั่ง
กระนั้นหญิงสาวเพียงมองคนพวกนั้นนิ่งๆ ไร้ซึ่งความกลัว บางครายังปั่นหัวสาวใช้เหล่านั้นด้วยการแสร้งยั่วยวนนายน้อยหลิว ทำทีเอียงอาย ชมดชม้ายปรายตาหยาดเยิ้มอย่างคนกำลังตกอยู่ในห้วงอารมณ์รักใคร่เสน่หา ทำเอาสตรีเหล่านั้นแทบนอนพล่านแดดิ้น
ส่วนหลิวไท่หยาง เขารู้ดีว่าซิงเยว่แสร้งทำไร้ยางอาย เพื่อกลั่นแกล้งสาวใช้พวกนั้น เขาจึงให้ความร่วมมืออย่างแนบเนียน ทำทีเดินเล่นไปทั่วคฤหาสน์ ทิ้งร่องรอยสง่างามให้บรรดาสาวใช้มองตามอย่างคลั่งไคล้ ยังไม่ลืมพาซิงเยว่ขนาบข้างไปด้วยทุกย่างก้าว แสดงความโปรดปรานโจ่งแจ้ง เพื่อให้นางยั่วโมโหบรรดาสตรีอื่นๆ อย่างซุกซนสนุกสนาน นานวัน เหล่าสตรีที่คิดปีนเตียงหลิวไท่หยางก็เลิกราไปเอง และคนที่มีความสุขที่สุดเห็นจะเป็นหลิวไท่หยางนั่นแล...
ยามนี้ซิงเยว่ได้เลื่อนขั้นเป็นสาวใช้คนสนิทข้างกายของหลิวไท่หยางจึงไม่มีใครกล้าราวีคิดรังควานนาง
หรือต่อให้กล้าก็เกรงว่าชีวิตจะหาไม่ มีเพียงต้องเกรงอกเกรงใจสายตาของผู้เป็นนาย บ่าวชายที่คิดเกี้ยวพายิ่งไม่กล้าแม้แต่แลตาตาม
“มองเพียงข้า...”
คำสั่งทุ้มต่ำของบุรุษดังขึ้นเบาๆ อย่างคนเอาแต่ใจ เมื่อซิงเยว่มองคนอื่นนิ่งๆ ก่อนจะเผลอไผลมองเรื่อยเปื่อยออกไปยังดอกเหมยนอกหน้าต่าง
หาได้มีเงาร่างเจ้าของห้องในแววตาของนางไม่!
ชายหนุ่มมุ่นคิ้ว นึกขัดเคืองใจเกินจะกล่าว กระนั้นกลับมองซิงเยว่ไม่วางตา ก่อนจะรีบเบนหนีอย่างหงุดหงิด
ซิงเยว่มิได้รับรู้อารมณ์อันใดของบุรุษรูปงามผู้เป็นเจ้านายและเจ้าของห้อง นางกำลังคิดว่าจะเก็บดอกไม้มาปักแจกันหยกเขียวในห้องของนายน้อยเพื่อให้บรรยากาศสดใส
ทว่าความคิดนั้นเป็นอันสะดุดลงเพราะถูกเขาบอกให้หันกลับมา ด้วยคำว่ามองเพียงเขา
เมื่อหญิงสาวหันมามอง จึงได้เห็นร่างสูงโปร่งสง่าเอนกายอย่างเกียจคร้านบนตั่ง กึ่งนั่งกึ่งนอนแล้วหลับตา ท่วงท่าทรงเสน่ห์เกินหยั่ง สมเป็นคุณชายเจ้าสำราญโดยแท้
ซิงเยว่มองภาพนั้นนิ่งๆ อย่างตรึกตรอง หากเป็นสตรีอื่นได้มองคงหน้าแดงเรื่อใจเต้นระส่ำ ทำตัวไม่ถูกทั้งวัน ทว่าซิงเยว่กลับไม่เป็นเช่นนั้น ใบหน้านวลเนียนมิได้แดงก่ำ หัวใจยิ่งไม่เต้นระส่ำ แต่การกระทำย่อมต้องเป็นไป
หลังนิ่งคิดโดยละเอียดรอบคอมนางก็เดินไปนั่งลงตรงพื้นห้องข้างตั่ง ก่อนจะยกมือเรียวขึ้นนวดท่อนขาให้เขาอย่างเอาอกเอาใจ
สาวใช้ที่กวาดลานเช็ดถูนอกหน้าต่างแอบมองเข้ามาก็ได้แต่กรีดร้องในใจแบบไร้สุ้มเสียงด้วยริษยาไม่สร่างซา
ระหว่างใช้นิ้วนุ่มนิ่มบีบนวดท่อนขาแข็งแกร่ง ซิงเยว่ยังมองหลิวไท่หยางด้วยสองตาพร่างพราวอมยิ้มน่ารักน่าชัง ภวังค์ของนางกำลังคิดถึงหัวหน้าสาวใช้แอบกระซิบชี้แนะว่าให้ทำกิริยาเช่นนี้บ่อยๆ แล้วชีวิตอันต่ำต้อยด้อยค่าจะค่อยๆ ดีขึ้นและสุขสบายยิ่งขึ้นตามลำดับ ห้ามทำตัวห้าวหาญหรือกระทำการก้าวร้าวเกินสตรีเฉกเช่นที่ผ่านมาโดยเด็ดขาด จงลืมให้สิ้นว่าเป็นเพียงชาวนามือเท้าหยาบกร้าน
ยามนั้นขณะรักษาตัวจากแผลโบยตี หัวหน้าสาวใช้คนเดิมยังมอบน้ำมันบำรุงผิวพรรณให้นางทาถูทั่วตัวทุกวัน
‘วันหน้าเจ้าต้องได้ดีแน่ นายน้อยจะโปรดปรานเจ้า’
ยามบีบนวดให้เจ้านาย เสียงของหัวหน้าสาวใช้สะท้อนก้องประดับรอยยิ้มน่ารักและดวงตาสดใสของซิงเยว่ตลอดเวลา นางกำลังหมายมาดในตัวเจ้านายหนุ่มตรงหน้าไม่ต่างจากสาวใช้คนอื่นๆ แน่นอนว่าไม่หวังถึงขั้นเป็นฮูหยิน หากแต่นางหวังเพียงเป็นสาวใช้คนสนิทชนิดที่ว่าเขาไม่มีทางขาดนางได้สักวันจำต้องจ้างและจ่ายเบี้ยหวัดให้นางตลอดไป
ยิ่งคิดใบหน้าจิ้มลิ้มยิ่งประดับรอยยิ้มหวานกว้างขึ้น นางมักน้อยแค่เท่านั้นล่ะ มิได้หวังมากไปกว่านี้เลยสักนิด
หากแต่ใครอีกคนไหนเลยจะคิดเฉกเดียวกัน
ใครคนนั้นมิได้ความจำเสื่อมเหมือนนาง ทั้งยังจดจำได้ดีในทุกรสสัมผัสสนิทสนมที่เคยมีต่อกันไม่เสื่อมคลาย
ชายผู้หนึ่งซึ่งมีรักปักใจแต่กลับแพ้พ่ายให้ความชิงชัง
หลิวไท่หยางยังคงคิดกับซิงเยว่เกินเลยในทุกวัน กระนั้นเขาจำต้องข่มใจเอาไว้ เพราะเรื่องราวในอดีตยังคงตามติดหลอกหลอน การให้อภัยมิอาจเกิดขึ้นได้ในเร็ววัน มีเพียงต้องแก้แค้นให้อีกฝ่ายลำบากยากเข็ญถึงจะสาสมใจ
ทว่า...ทั้งกิริยาน่าเอ็นดูซึ่งหาได้ยากยิ่งและสัมผัสละมุนจากปลายนิ้วนุ่มรวมถึงกลิ่นอายหอมหวานอันโหยหา ส่งผลให้หลิวไท่หยางต้องลืมตาปรายมองนางปราดหนึ่ง
แต่เป็นเพียงปราดเดียวที่ทำให้ใจสั่นเนิ่นนาน
อาจเป็นเพราะหัวใจในอกกำลังสั่นไหวเกินควบคุม หลิวไท่หยางจึงไม่อยากร่วมมือกับนางในการเสแสร้งแกล้งมารยาเพื่อปั่นหัวใครหมายตัดรำคาญอีก
และก่อนที่จะเสียหัวใจทั้งดวงให้นางย่ำยีอีกครั้ง ชายหนุ่มรีบนั่งตัวตรง ขึงตาใส่
“ออกไปให้ห่าง!”
ซิงเยว่ยู่หน้า ลดมือนิ่มจากท่อนขาแกร่งทันทีอย่างไม่มีอิดออด
“เจ้าค่ะ”
นางตั้งใจแล้วว่าจะจงรักภักดีและดูแลอย่างล้ำเลิศจึงสรรหาสารพัดวิธีปรนนิบัติเขามิให้ขาดตกบกพร่อง
เมื่อครู่ฟังจากน้ำเสียงของนายน้อยออกจะแหบต่ำสั่นพร่า ...สงสัยคอแห้ง
ซิงเยว่จึงลุกไปชงชามาส่งให้ ไม่ลืมพูดจาไพเราะเสนาะโสต เผยสีหน้าอ่อนหวานปั้นแต่งอย่างที่สุด
“นายน้อย ดื่มชาดับกระหายเจ้าค่ะ”
แม้ยังคงมึนตึง แต่หลิวไท่หยางกลับรับชามาดื่มอย่างลืมตัว ลืมกระทั่งว่าสตรีตรงหน้าเป็นบุคคลที่ชงชาได้ย่ำแย่ปานใด
พรวด!
น้ำชาถูกพ่นออกมา ชายหนุ่มให้รู้สึกคล้ายดื่มยาพิษ เสมือนเมื่อก่อนไม่มีผิด
“นี่น้ำชาหรือน้ำล้างเท้า?”
“...!?”