บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 7 อำพราง

เรือนหลักยามนี้แสงโคมกำลังสว่างไสวเนื่องจากแขกพิเศษทางการค้ายังไม่ยอมกลับง่ายๆ

เพราะการเจรจาร่วมสัญญายังไม่เสร็จสิ้นเสียที

ใต้แสงตะเกียง ชายหนุ่มเจ้าของเรือนดูสง่างามนัก ทว่าใบหน้าหล่อเหลาของเขายิ่งนานยิ่งเย็นชา เมื่อคู่เจรจาไม่คิดอ้อมค้อมอีกต่อไป

ชายวัยกลางคนกล่าวอย่างต่อเนื่องว่า “ใบชาของข้านับเป็นที่หนึ่งไม่มีสอง ครอบคลุมพื้นที่ทั่วทั้งเมืองหนิงโจว คนจากสำนักราชวังเคยมาติดต่อขอซื้อขาดเมื่อฤดูกาลที่แล้ว ใยหม่อนยังมีค่ายิ่งกว่าทองคำที่ร้านแพรพรรณทั้งเมืองหลวงต่างยอมรับและแย่งชิงกันเฟ้นหา หากนายน้อยหลิวสนใจร่วมเป็นหนึ่งกับข้าสองการค้านี้ การแต่งงานจึงนับว่าดี”

การเชื่อมสัมพันธ์ทางการค้าด้วยวิธีแต่งงานนับเป็นเรื่องมงคล และยิ่งเป็นสกุลลู่ซึ่งเป็นตระกูลพ่อค้าอันดับหนึ่งแห่งหนิงโจวด้วยแล้ว แทบไม่ต้องเสียเวลาคิด

หลิวไท่หยางปรายตามองสองพ่อลูกตรงหน้านิ่งๆ

ชายวัยกลางคนคือลู่เถียน คหบดีใหญ่แห่งหนิงโจว ส่วนหญิงสาวสะคราญโฉมที่นั่งส่งยิ้มหวานๆ ให้เขาคือลู่ถิง

สตรีงามล่มเมืองผู้นี้ หลิวไท่หยางมักจะได้เจอนางหลายครั้งหลายครา ทั้งแบบบังเอิญและจงใจ เรียกได้ว่าแทบทุกครั้งที่มาติดต่อการค้าที่หนิงโจว

ลู่ถิงไม่เคยเก็บงำความรู้สึกหลงใหลที่มีต่อเขา

หลิวไท่หยางคิดว่าข้อเสนอนี้คงเป็นนางนั่นล่ะที่เสนอกับบิดาแล้วพากันมากดดันเขาด้วยข้อเสนออันล้ำเลิศ

ชายหนุ่มนึกระอากับการเจรจาแบบนี้ เขาจึงเอ่ย “นายท่านลู่ให้เกียรติข้าเกินไปแล้ว ผู้น้อยแซ่หลิวไหนเลยกล้ารับน้ำใจ หากรับไว้ทุกครั้งที่เดินทางผ่านแต่ละเมือง เกรงว่าจวนหลิวคงมีเรือนหลังที่ยิ่งใหญ่กว่าวังหลังกระมัง เช่นนี้คงมิใช่เป็นการหมิ่นเบื้องสูงด้วยการทำตัวยิ่งใหญ่เกินโอรสสวรรค์หรอกหรือ?”

เป็นการปฏิเสธที่เด็ดขาดหมดจดด้วยการอ้างอิงถึงการมิอาจขยายอำนาจการค้าจนเป็นที่เคืองพระทัยฮ่องเต้

ลู่เถียนพลันมีสีหน้าดำคล้ำบึ้งตึงประหนึ่งก้นหม้อ

ลู่ถิงเองยังแทบสลัดกิริยาสาวงามเป็นปีศาจแล้ว

ใบหน้าหลิวไท่หยางยังคงประดับรอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์

“อ้อ...หากนายท่านลู่ไม่ส่งใบชากับใยหม่อนให้ข้าฤดูกาลนี้ก็ไม่เป็นไร เพราะข้ายังมีในคลังเพียงพอจนถึงสิ้นปี เพียงแต่ปีนี้นโยบายใหม่ทางสำนักพระราชวังเปิดประมูลการค้า ข้าได้ประมูลผูกขาดกับทางเมืองหลวงไว้แล้วสามปี เกรงว่านายท่านลู่อาจจะไม่มีสถานที่ระบายสินค้าของปีนี้”

“จ่ะ...เจ้า” นายท่านลู่รู้สึกแน่นหน้าอกทันใด

ลู่ถิงลุกขึ้นกระทืบเท้าบันดาลโทสะอย่างขัดใจ

“นายน้อยหลิว ท่านมีตาหามีแววไม่”

สะคราญโฉมยามโกรธายิ่งงดงามเพริดแพร้วเฉิดฉาย บุรุษเห็นเข้าเป็นต้องรีบเข้ามาพะเน้าพะนอเอาอกเอาใจ ทว่าหลิวไท่หยางกลับเอ่ยอย่างเฉยชา “ข้าผู้แซ่หลิวยังไม่คิดแต่งงานมีภรรยา ยามนี้ในหัวมีแต่เรื่องการค้า ขอคุณหนูลู่โปรดระงับโทสะแล้วลองตรองให้ดี มองไปรอบๆ ว่ามีเรื่องที่ต้องการทำแต่ยังไม่ได้ทำหรือไม่ ชีวิตคนเราแสนสั้นนัก อย่าเอาความคะนึงมาจมปลักกับคนเช่นข้าเลย”

สาวน้อยเริ่มร่ำไห้ฮึดฮัดอย่างคนเอาแต่ใจ เมื่อไม่ได้สิ่งที่ต้องการก็เริ่มฟูมฟาย มิใช่เสียใจที่คนผู้หนึ่งไร้เยื่อใย แต่รู้สึกเสียหน้าที่สาวงามเช่นนางถูกปฏิเสธมากกว่า

มิรู้หรือไรว่าบุรุษค่อนเมืองต่างหมายปองนาง

ลู่ถิงเหยียดยิ้ม “หลิวไท่หยาง ท่านช่างตาบอดนัก ข้าชอบท่านถึงเพียงนี้”

หลิวไท่หยางหรี่ตา “ข้าขอเตือน อย่าดึงดัน!”

คนงามพลันสะอึก

ทั่วทั้งห้องเงียบสงัด

“เฮ้อ...เอาล่ะๆ ข้าว่าเรามาคุยกันเฉพาะสินค้าเถิด”

นายท่านลู่รีบปิดฉากการเจรจาอันน่ากระดากอายนี้ด้วยข้อตกลงใหม่ที่ได้รับผลประโยชน์แค่เรื่องแลกเปลี่ยนสินค้าทั้งสองฝ่าย หาใช่โยงใยถึงเรื่องเนื้อหนังหวังเกี่ยวพันถึงขั้นเป็นสามีภรรยา

“นายน้อยหลิวคิดเห็นเป็นเช่นใด”

“ตกลงตามนี้”

หลังจากการเจรจาเสร็จสิ้นด้วยข้อตกลงการค้าโดยไม่มีเรื่องการแต่งงานมาข้องเกี่ยว หลิวไท่หยางก็ให้จิ้นสิงไปส่งคนอย่างไว ส่วนเขาก็กลับเข้าห้องหนังสือทันใด

แสงเทียนวูบไหว สาดประกายไฟจนส่องแสงสว่างฝ่าความมืดสลัวถ้วนทั่ว เผยเงาร่างสูงโปร่งนั่งอยู่หลังโต๊ะหนังสือชัดเจน สง่างามปานนั้น

บุรุษหนุ่มนั่งอยู่ตรงนี้นานแล้ว เป้าหมายของเขาคือตรวจทานรายได้ของร้านค้าแต่ละร้านใต้อาณัติของสกุลตน ซึ่งอยู่ภายในอาณาเขตของเมืองแห่งนี้ นอกจากนั้นยังมี รายการบัญชีมีส่วนที่เป็นรายรับจากผลผลิตจากไร่สวนที่นา ค่าเช่าร้านค้า เรือนพักชั้นยอดบนถนนเป่ยเจียในชิงย่วน ความร่ำรวยมั่งคั่งแทบทับคนตายนี้มิใช่ว่าไม่เคยตรวจสอบ มิใช่ว่าไม่คล่องมือ กระนั้นกลับรู้สึกว่าต้องใช้เวลาเกินพอดี เนื่องจากหลายครั้งหลายครา ความคิดของเขามักจะเตลิดไปถึงสตรีอีกคนหนึ่งที่อยู่ทางฝั่งเรือนปีกข้าง

นางนอนหรือยัง? หลับสบายหรือไม่?

เป็นคำถามง่ายๆ สามัญอย่างยิ่ง หากแต่รบกวนจิตใจผู้คนเสียจริง

หลิวไท่หยางพยายามปัดเรื่องของซิงเยว่ออกไปเป็นครั้งที่เท่าไหร่มิอาจนับเพื่อกลับมาสนใจเพียงงานตรงหน้า

ระหว่างนั้นสาวใช้ผู้หนึ่งค่อยๆ เดินกรีดกรายเข้ามาพร้อมชาร้อนกรุ่นตามคำสั่งของเจ้านาย

“นายน้อย...”

กระแสเสียงของนางอ่อนหวานอย่างยิ่ง อ่อนโยนยิ่งกว่าสายน้ำริน หวานล้ำกว่ายามกลางวันถึงสามเท่าห้าเท่า

ราตรีมืดมัวอากาศเย็นฉ่ำเต็มไปด้วยกลิ่นอายวสันต์ชวนคร่ำครวญและพร่ำเพ้อถึงเรื่องรักๆ ใคร่ๆ อาจทำให้บุรุษผู้หนึ่งหวั่นไหวโดยง่าย ขอเพียงเพิ่มเสน่ห์ยั่วยวนเข้าไป

สาวใช้คิดในใจอย่างหมายมาดขณะเดินบิดบั้นท้าย จนแลดูโค้งเว้างามงอนเป็นพิเศษ พลางชำเลืองมองเจ้านายรูปงามอย่างเหนียมอาย ประกายตาเต็มไปด้วยความรุ่มร้อนแห่งความวาดหวัง

ทว่าหลิวไท่หยางกลับไม่มองแม้หางตา ท่าทีห่างเหินเว้นระยะมากโข เขาเพียงโบกมือเบาๆ กล่าวเสียงเนิบว่า “เอาวางไว้แล้วออกไป...”

สาวใช้จึงวางถาดน้ำชาไว้ที่โต๊ะฝั่งหนึ่งอย่างหดหู่ ก่อนออกไปอย่างห่อเหี่ยวท้อแท้ ผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า

เมื่อประตูปิดลง หลิวไท่หยางจึงเหลือบตาขึ้นมองอย่างเอือมระอา วันนี้ติดต่อการค้าต้องเจอคุณหนูงดงามทอดไมตรี ยามคิดบัญชียังต้องเจอสาวใช้ทอดมารยา

พวกนางอาจไม่เหนื่อย แต่เขาหน่ายเต็มทน

เดิมทีเขาต้องการให้ซิงเยว่อยู่ข้างกายตลอดเวลา ปรารถนากลั่นแกล้งนางอย่างชิงชังโดยไม่สนใจชั่วยาม

ทว่าคนเราสมควรพักผ่อนให้เพียงพอ

เขาจึงรอให้ซิงเยว่ได้นอนหลับตอนกลางคืนเต็มอิ่ม ยามกลางวันจะได้กลั่นแกล้งใช้งานนางจนหัวหมุน ดังนั้นเขาจึงต้องอดทนกับสาวใช้ยามราตรีแต่ละนางที่หวังปีนเตียงเพื่อขยับฐานะด้วยวิธีไร้ยางอายอย่างเบื่อหน่าย

อีกครั้งที่หลิวไท่หยางพยายามสนใจรายงานร้านค้า ทว่าอีกครายังถูกขัดจังหวะเพราะเสียงเคาะประตู ตามด้วยเสียงของจิ้นสิง “นายน้อย พ่อบ้านเหิงขอเข้าพบขอรับ”

หลิวไท่หยางเอ่ยปากอย่างไม่ใส่ใจ “ให้เข้ามา”

เสียงประตูเปิดออกพร้อมกับเงาร่างของพ่อบ้านเหิงที่เดินเข้ามาอย่างร้อนรน ท่าทางของเขาคล้ายแก่ลงสิบปี เขารีบโค้งกายกล่าวรายงานด้วยสุ้มเสียงลนลาน

“นายน้อย เกิดเรื่องอีกแล้ว คราวนี้เป็นริมชายป่าไผ่ ใกล้ลานผ่าฟืนขอรับ มีคนไปพบบ่าวชายเฝ้าเรือนเก็บฟืนถูกทำร้ายร่างกายจนบาดเจ็บสาหัสขอรับ”

วันก่อนพบศพสาวใช้ในสระบัว ครานี้เป็นบ่าวชายร่างใหญ่กำยำ

หลายวันมานี้เหิงอันมิได้นอนหลับสนิทสักคืน

มิรู้ว่าฟ้าเกิดพิโรธอันใด เกิดเรื่องไม่เว้นแต่ละวัน ทำคนเหน็ดเหนื่อยแทบกระอักโลหิตแล้ว

“โชคดีที่มีคนเห็นเสียก่อนจึงช่วยชีวิตไว้ทันขอรับ”

หลังจบคำบอกกล่าวเหิงอันรีบสรุปว่าไม่ร้ายแรงหมายเลี่ยงปัญหาบานปลาย

หลิวไท่หยางรับฟังนิ่งๆ ไล่สายตาดูรายงานร้านค้าอย่างใจเย็น มิได้ใส่ใจดุจเก่า

“ว่าต่อไป...”

เหิงอันรีบเล่าอย่างละเอียดมิกล้าอ้อมค้อม

“คนที่เข้าไปช่วยเห็นบ่าวผู้นั้นมีสภาพเอน็จอนาถ ลิ้นขาด มีไม้แหลมปักคาอยู่ที่ดวงตาทั้งสอง สีข้างยังมีไม้ชนิดเดียวกันเสียบคาอยู่ เป็นแผลฉกรรจ์ลากยาวเหวอะหวะ เลือดไหลทะลักท่วมกาย นี่คืออาวุธที่ดึงออกมาได้จากร่างของบ่าวชายขอรับ”

เหิงอันนำห่อผ้าที่มีไม้แหลมทั้งสามอัน ซึ่งถูกเหลาจนกลายเป็นแท่งหนามลักษณะพิเศษ ออกมาวางไว้บนโต๊ะเบื้องหน้าของเจ้านาย

หลิวไท่หยางเหลือบตามอง ทันใดนั้นอารมณ์ใจเย็นกับความไม่ใส่ใจพลันอันตรธาน ชายหนุ่มผุดลุกขึ้น

“มีคนเห็นคนร้ายหรือไม่?”

เหิงอันเบิกตาโพลง ตกใจกับท่าทีของผู้เป็นนาย ที่จู่ๆ ก็ร้อนรนขึ้นมา

“ไม่เห็นขอรับ คนที่เข้าไปช่วยเห็นแค่บ่าวชายผู้นั้นนอนดิ้นพล่านอย่างทรมาน จึงพาเข้ามารักษาตัวในเรือน” เขารีบรายงานต่อตามจริงอย่างลนลาน สำนึกเสียใจสุดซึ้ง “เกรงว่าต่อให้รักษาจนแผลหายดี แต่ดวงตาอาจใช้งานมิได้ ยิ่งพูดจาให้การมิได้ คงสุดปัญญาหาตัวคนร้ายแล้วขอรับ”

เหิงอันย่อมไม่มีทางรู้ว่าผู้ฟังลอบหายใจโล่งอก เพราะเห็นเพียงด้านหลังของอีกฝ่ายที่เดินออกจากห้องไป โดยไร้คำสั่งอันใดแม้ครึ่งคำ แต่นั่นล่ะ เมื่อไร้คำสั่งคือไร้งานอันน่าปวดหัว เหิงอันจึงพรูลมหายใจออกมาได้ในที่สุด

ราตรีนี้ยังยาวนานนัก ลมหนาวยังคงเย็นจัด

ทว่าซิงเยว่ที่เร่งรุดกลับห้องมากลับมีสภาพเหงื่อท่วม เลือดโชก ยังดีที่มีรัตติกาลช่วยบดบัง ทั้งความเคลื่อนไหวและสีโลหิตบนอาภรณ์จึงไม่อาจสังเกตเห็นโดยง่าย

เมื่อถึงหน้าห้องพักในเรือนปีกข้าง หญิงสาวค่อยๆ แง้มประตูเข้ามาด้วยความเงียบไร้สุ้มเสียง นับว่าโชคดีที่สาวใช้อีกคนผู้เป็นสหายร่วมห้องหลับสนิทประหนึ่งตายจาก

ซิงเยว่ย่างเท้าแผ่วเบาอย่างที่สุด พลางชำเลืองมองคนหลับเป็นระยะ เมื่อแน่ใจว่าอีกฝ่ายจะไม่ตื่นขึ้นมาง่ายๆ นางก็รีบถอดเสื้อผ้าเปื้อนเลือดออกจนเรือนร่างเปลือยเปล่า คว้าถังไม้มาใส่ทุกอย่างลงไปไม่เว้นแม้แต่เอี๊ยมสีเปลือกไข่เพราะเห็นโลหิตซึมเป็นหย่อมๆ ดุจดอกเหมยแย้มบาน จากนั้นถังไม้ที่มีหลักฐานหนาแน่นก็ถูกยัดใส่ใต้เตียงนอน ก่อนที่นางจะยกอ่างน้ำมาล้างหน้าเช็ดตัวจนสะอาดเอี่ยม น้ำสีใสที่เปลี่ยนเป็นแดงฉานถูกเททิ้งลงบ่อเกรอะซึ่งมีกลิ่นไม่พึงประสงค์รุนแรงกว่ากลิ่นคาวโลหิต

ซิงเยว่ใช้ฝีเท้าเบากริบราวกับแมวตัวหนึ่งย่างเงียบๆ เร่งรุดมุดจากฝั่งด้านหลังกลับเข้าห้องเพื่อทำลายหลักฐานชิ้นสำคัญที่อยู่ใต้เตียงด้วยการเผาไฟเป็นลำดับสุดท้าย

ทว่ายังเดินไม่ถึงเตียงนอน สายตาพลันสะดุดเข้ากับร่างสูงสง่าของบุรุษหนุ่มผู้หนึ่ง

เขายืนนิ่งหน้าเตียงนอนของนาง ดวงตาคมกริบบนใบหน้าหล่อเหลาจ้องนิ่งตรึงร่างนางเอาไว้ ท่วงท่าสุขุมลุ่มลึกแลดูร้อนรุ่มแปลกประหลาด ซิงเยว่ลำตัวชาวาบ

ทันใดเขาพลันยกนิ้วดีดบางสิ่งออกไปทางอีกเตียงที่มีสาวใช้ร่วมห้องนอนหลับอยู่ เมื่อวัตถุปลายนิ้วถูกส่งออกไปในพริบตา สาวใช้ผู้นั้นก็สะดุ้งตื่นลุกพรึบ

“อ๊ะ!” สาวน้อยอุทาน แต่หลังปรับสายตาได้แล้วนางจึงละล่ำละลักเรียกอย่างตะกุกตะกัก “น่ะ นายน้อย”

“ออกไป...”

หลิวไท่หยางเอ่ยปากไล่สาวใช้ผู้นั้นโดยที่ดวงตายังจับจ้องที่ซิงเยว่แน่นิ่งมิละจาก

สาวใช้ผู้นั้นรีบผุดลุกขึ้นแล้ววิ่งออกไปจากห้องทันทีโดยไม่รอให้ถูกสั่งรอบสอง ไม่แม้แต่จะเสียเวลานั่งหาว

เมื่อออกจากห้องมายังรีบปิดประตูให้เจ้านายหนุ่ม ด้วยคิดว่าอีกฝ่ายคงมาหาซิงเยว่ด้วยอารมณ์รุ่มร้อนบุรุษเพศ สาวใช้ต่ำต้อยไหนเลยจะปฏิเสธได้

นางยืนเกาศีรษะหาวหวอดก่อนกอดอกฝ่าลมหนาวเดินไปอีกทางอย่างรวดเร็ว

ห้องปีกข้างอีกฝั่งของเรือนยังพอมีที่นอนให้นางแทรกกายได้อยู่หรอก...

ภายในห้องค่อนข้างมืดสลัว เพราะห้องสาวใช้มิได้มีโคมเทียนสว่างไสวเทียบเท่าห้องเจ้านาย

ซิงเยว่ที่ยืนตะลึงอึ้งงันอยู่จึงมองสีหน้าของเจ้านายไม่ออก นางไม่รู้ว่าเขาอยู่ในอารมณ์แบบไหน มิรู้ว่ามาทำไม จึงทำได้เพียงยืนหยั่งเชิงตามสัญชาตญาณ กล่าววาจาอันใดไม่ออกสักคำ กระนั้นนางยังพยายามทำท่าสุขุมเยือกเย็นพลางเร่งตรึกตรอง

หญิงสาวค่อนข้างมั่นใจว่าเหตุการณ์ร้ายแรงเมื่อครู่ไม่มีใครเห็นแน่นอน เพราะนางรีบผละออกมาก่อนตั้งแต่หางตาแลเห็นเงาตะคุ่มกำลังเปิดประตูเรือนพักแต่ยังมิทันได้ออกมาทักทายอันใด เจ้ากักขฬะผู้นั้นทั้งลิ้นขาดทั้งตาบอด มันพูดไม่ได้ มองไม่เห็น จะฟ้องร้องชี้ตัวผู้ร้ายได้อย่างไร

ดังนั้นนายน้อยหลิวย่อมไม่ได้มาเพื่อเอาผิดนางแน่

แต่...หรือจะมาทำมิดีมิร้าย

พวกผู้ชายคงคิดได้แค่เรื่องกามารมณ์ถูกหรือไม่?

สาวน้อยพลันหรี่ตา ประกายตาฉายอำมหิตบ้าคลั่ง เริ่มระมัดระวังเนื้อตัวทันใด

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel