บท
ตั้งค่า

NO.7 ระยะห่างที่น้อยลง

NO.7

ระยะห่างที่น้อยลง

“...อย่าเดินหนีพี่อีกนะครับ”

“แล้ววันหลังกินข้าวด้วยนะครับ ไม่กินข้าวทั้งวันเดี๋ยวจะแย่เอา”

ผมมาอยู่ในสถานการณ์นี้ได้ยังไง ตั้งแต่ที่เริ่มเดินออกมาพี่ดาวเหนือก็บ่นไม่ยอมหยุด ยิ่งพอรู้ว่าผมไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เช้ายิ่งบ่นใหญ่เลย

พี่ดาวเหนือขี้บ่นจัง

“ที่พี่พูดไปเข้าใจไหมครับ”

ตอนนี้เปลี่ยนจากบ่นมาเป็นถามแล้ว

“เข้าใจครับ”

“ดีมากครับ รู้ไหมว่าพี่เป็นห่วง”

พี่ดาวเหนือหยุดเดินแล้วหันมาลูบหัวผมเบา ๆ รอยยิ้มและสายตาที่ถูกมองมาอ่อนโยนส่งผลต่อหัวใจ ใจเต้นแรงไปหมดแล้ว

ไม่ไหวแฮะ พี่มีผลกับผมมากเกินไป

“ปีแสงอยากกินอะไรครับ”

“อะไรก็ได้ครับ”

“อืม...งั้นไปร้านประจำพี่ละกันเนาะ”

“ครับ”

พี่ดาวเหนือหมุนตัวกลับไปแล้วเริ่มเดินต่อ ผมมองดูแผ่นหลังกว้าง ๆ ของคนตรงหน้าเงียบ ๆ มองปฏิกิริยาของผู้คนรอบข้างที่มองตามการ ก้าวเดินของพี่ดาวเหนืออย่างให้ความสนใจ คนคนนี้คือจุดรวมความสนใจ ทั้ง ๆ ที่เดินอยู่ด้วยกันแท้ ๆ ทำไมรู้สึกไกลจัง ทั้ง ๆ ที่แค่เอื้อมมือออกไปก็จับพี่ได้แล้วแต่ทำไมรู้สึกเหมือนเอื้อมไม่ถึง

แต่หวังได้ไหมนะ ขอแค่หวังก็ยังดี

“หยุดเดินทำไมครับ มีอะไรหรือเปล่า”

“ปะ...เปล่าครับ” ไม่รู้ตัวเลยว่าหยุดเดินไปตั้งแต่ตอนไหน

“งั้นไปเร็วครับ ปล่อยให้หิวนานไม่ดีนะ”

พี่ดาวเหนือเอื้อมมือมาคว้าข้อมือผมและเริ่มออกเดินอีกครั้ง ความอบอุ่นถูกส่งผ่านมาทางข้อมือก่อนจะค่อย ๆ กระจายความอบอุ่นไปทั่วทั้งร่างกาย

มันเป็นความอบอุ่นที่...ดีที่สุด

เดินออกจากมหาลัยมาได้สักพักหนึ่งก็เจอกับร้านข้าวตามสั่งที่อยู่ตรงตึกแถวสองคูหาเล็ก ๆ แต่ปริมาณคนที่อยู่ในร้านเยอะกว่าร้านใหญ่ ๆ เสียอีก น่าแปลกตรงที่ร้านนี้อยู่ใกล้ ๆ คอนโดผมเลยแต่ผมกลับไม่เคยสังเกตเห็น

“ปีแสงเคยมาร้านนี้ไหม อยู่ใกล้ ๆ คอนโดน้องเลย”

หลังจากเลือกที่นั่งได้แล้วพี่ดาวเหนือก็หันมาถาม ซึ่งแน่นอนผมทำได้แค่ส่ายหน้าให้อีกฝ่าย

เสียงหัวเราะออกมาจากคนถามเบา ๆ เมื่อเห็นสายตาของอีกคนที่มองดูรอบร้านอย่างสนใจ

“กินอะไรดีครับ”

“อะไรก็ได้ครับ”

“อะไรก็ได้พี่ว่าในเมนูไม่น่ามีนะ” พี่ดาวเหนือยกเมนูขึ้นพร้อมกับส่งรอยยิ้มกวน ๆ มาให้

“คือ...เอ่อ” ผมไม่รู้จะกินอะไรนี่นา

“ฮ่า ๆ ๆ พี่ล้อเล่น กินเผ็ดได้ไหมครับ”

“ได้ครับ”

“งั้นเอาเป็นข้าวกะเพราปลาหมึกไหม ร้านนี้เด็ดสุดแล้ว”

“ก็ได้ครับ”

ผมมองคนตรงหน้าที่ก้มจดเมนูพร้อมกับสาธยายถึงความอร่อยของกะเพราปลาหมึกให้ผมฟัง ผมเชื่อแล้วครับว่ามันอร่อยจริง ๆ มองท่าทางของคนตรงหน้าก็อดที่จะหลุดยิ้มออกไปไม่ได้ ทุกท่าทางของพี่เป็นธรรมชาติมาก และผมบอกได้เลยว่ามันเป็นธรรมชาติที่ทำให้ผมละสายตาออกไปมองทางอื่นไม่ได้เลย

รอไม่นานข้าวกะเพราปลาหมึกสองจานก็มาเสิร์ฟ หน้าตาน่ากินเหมือนที่พี่ดาวเหนือบอกจริง ๆ แต่...

ผัดกะเพราก็ต้องมีกระเทียม มัวแต่มองพี่ดาวเหนือพูดจนลืมเรื่องนี้ไปเลย ผมค่อย ๆ หยิบช้อนมาเขี่ยดู แต่ไม่ว่าจะเขี่ยเท่าไรก็ไม่เจอ หรือว่าร้านนี้ไม่ใส่กระเทียม

“พี่สั่งไม่ใส่กระเทียมมาให้ ไม่มีกระเทียมแน่นอน”

ผมละความสนใจจากจานข้าวขึ้นมามองคนตรงข้ามด้วยความสงสัย

ทำไมถึงรู้?

“รู้ได้ยังไงครับ”

“ครับ? เรื่องที่แพ้กระเทียมเหรอ”

“...” ผมพยักหน้าตอบคนตรงหน้าไปแต่ก็ยังไม่วายส่งสายตาสงสัยไปให้

“ก็ไม่รู้ว่าใครแพ้กระเทียมจนพี่ต้องทำข้าวไข่เจียวไปให้วันนั้นนะสิ”

“พี่รู้?”

“ครับพี่รู้”

“แล้ว...จำได้?”

“ครับจำได้”

“...ทำไมครับ”

“ก็มันสำคัญนี่ครับ”

“ทะ...ทำไม”

“เรื่องของปีแสงก็สำคัญหมดแหละครับ”

เคร้ง

มือที่ถือช้อนอยู่ ๆ ก็หมดแรงปล่อยช้อนกระทบกับจานเสียงดัง ผมพยายามหายใจเข้าออกให้ช้าลงเพื่อไม่ทำให้ตัวเองประหม่าแล้วรีบก้มหน้าหยิบช้อนมากินข้าวทำเป็นว่าเมื่อกี้ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น

พี่ดาวเหนือพี่พูดแบบนี้หมายความว่ายังไงผมไม่เข้าใจเลย เรื่องของผมเนี่ยนะสำคัญ

บทสนทนาสิ้นสุดลงเพียงเท่านั้นผมไม่ได้ถามอะไรต่อได้แต่ก้มหน้าก้มตากินข้าว ทำเป็นไม่สนใจถึงบทสนทนาก่อนหน้านี้ ทั้ง ๆ ที่ในหัวมีแต่คำว่าทำไมวิ่งวนไปวนมาเต็มไปหมด

ทำไม?

----

“ปีแสงชอบกินอะไรเป็นพิเศษไหมครับ”

นั่งมองน้องมาสักพักก็รู้แหละว่ารุกแรงไปโอเคจะเบา ๆ หน่อยจะไม่แกล้งน้องแล้ว เดี๋ยวน้องรับไม่ไหว

“...ไม่มีครับ”

“ไม่มีเลยเหรอ สักอย่างที่ชอบเป็นพิเศษ”

“ไม่ครับ...ไม่มีที่พิเศษ”

“งั้นเปลี่ยนคำถาม ตอนนี้น้องอยากกินอะไรเป็นพิเศษไหมครับ” ปีแสงนิ่งไปสักพักราวกับกำลังใช้ความคิดก่อนจะเอ่ยตอบกลับมา

“...ไข่เจียว” แต่คำตอบที่ได้มาก็เล่นเอาผมแปลกใจ

“ไข่เจียว?”

“ครับ เคยกิน…อร่อยดี”

“ไข่เจียวที่ไหนเนี่ย พี่ต้องขโมยสูตรมาบ้างแล้ว”

“ขโมย?”

“ใช่ครับ พี่จะไปขโมยสูตรมาทำให้น้องกินเองไง” ไข่เจียวที่ไหนมันบังอาจอร่อยเกินหน้าเกินตา ผมยอมไม่ได้หรอกนะ

“ไม่ต้องครับ”

“อ่าว...” หรือน้องไม่อยากกินฝีมือผม

“ก็ไข่เจียว พี่เป็นคนทำ”

“...” เดี๋ยวปีแสง

“อร่อยที่สุดครับ” พูดว่าอร่อยแล้วยิ้มแบบนี้ใจพี่เหลวหมดแล้วน้องเอ๋ย

“น้อง” สรุปใครรุกใคร ทำไมสุดท้ายเป็นผมที่จนมุม

“ครับ?” โอ๊ยน้องยังตอบกลับมาซื่อ ๆ โดยไม่รู้เลยว่าคำตอบของตัวเองส่งผลยังไงกับตัวผมบ้าง ผมได้แต่ยิ้มกลับไปแล้วบอกให้น้องทานข้าวต่อ ชวนน้องคุยในเรื่องทั่วไป น้องยังคงพูดน้อยเหมือนเดิมแต่ทุกคำตอบที่น้องตอบมามีแต่ความซื่อ น่ารักชะมัด ยิ่งเวลาที่น้องกินข้าวแล้วแก้มน้องบวม ๆ ขึ้นมายิ่งน่ามันเขี้ยว

“ดาวเหนือคะ”

นั่งมองน้องเพลิน ๆ อยู่ดี ๆ ก็ได้ยินเหมือนมีคนเรียก ผมหันกลับไปมองตามเสียง ก่อนจะเจอกับผู้หญิงคนหนึ่งเดินยิ้มเข้ามาหา

ใคร?

“ดาวเหนือมองหน้าน้ำฟ้าแบบนี้อย่าบอกนะว่าลืมกันแล้ว”

น้ำฟ้า? ผมพยายามนึกทบทวนว่าน้ำฟ้าคือใคร ก่อนจะระลึกได้ว่าเป็นโจทก์เก่าที่ทำให้ปีแสงเดินหนีผมวันนี้นี่นา

ไม่รู้เผลอคิดย้อนไปนานขนาดไหนรู้อีกทีน้ำฟ้าก็ทิ้งตัวนั่งลงที่เก้าอี้ข้าง ๆ ผมแล้ว ผมรีบหันไปมองปีแสงน้องก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อเลือกทำเป็นไม่สนใจ แต่ผมรู้สึกได้ว่าบรรยากาศรอบตัวน้องเปลี่ยนไป

“เมื่อวานเสียดายจังจังเลยค่ะที่เราไม่ได้ไปต่อกัน วันนี้สนใจไปกับน้ำฟ้าไหมคะ”

พื้นที่โต๊ะกว้างมากแต่ทำไมนั่งเบียดขนาดนี้ ได้แต่หันไปมองปีแสงที่ตอนนี้นิ่งไปแล้ว ผมไม่รู้เลยว่าน้องรู้สึกยังไง แต่ที่แน่ ๆ ผมไม่อยากให้น้องรู้สึกแย่

“คือ...”

“ผม...อิ่มแล้วขอตัวกลับนะครับ”

ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรน้องก็ชิงพูดก่อนซะงั้น ปีแสงหยิบเงินออกมาวางไว้แล้วทำท่าจะลุกไป ตอนนี้คือสมองสั่งอย่างเดียวคือห้ามปล่อยน้องไป อย่าปล่อยเด็ดขาด

“รอพี่ก่อน” ผมเอื้อมมือไปคว้ามือน้องได้ทัน น้องหันมามองด้วยแววตาสงสัยแต่ก็ยอมอยู่นิ่ง ๆ ไม่ได้ถามอะไรอีก

“น้ำฟ้าครับ เมื่อคืนผมปฏิเสธยังไงวันนี้ผมก็ยังขอยืนยันคำเดิม ขอโทษด้วยนะครับ”

“ทะ...ทำไมล่ะคะ”

“ผมมีคนที่ชอบแล้ว”

“ดาวเหนือ...”

“ขอตัวนะครับ”

พอพูดจบผมก็วางเงินค่าข้าวไว้บนโต๊ะก่อนจะลากปีแสงออกมา

“ปีแสงฟังพี่นะมันไม่มีอะไร”

น้องเงียบมากตั้งแต่ที่เดินออกมา ผมหยุดเดินลงแถวข้างทางที่คนไม่พลุกพล่านแล้วรีบหันไปอธิบาย ยอมรับเลยว่าห่วงความรู้สึกน้องที่สุดไม่อยากให้น้องคิดไปไกล ไม่อยากให้น้องคิดมาก

“ครับ?”

“พี่กับน้ำฟ้าเราไม่ได้มีอะไรกัน”

ในที่สุดน้องก็ยอมเงยหน้าขึ้นมาสบตาผม น้องมองตาผมนิ่ง ๆ สักพักหนึ่ง ก่อนจะตอบคำถามที่ทำให้ผมใจชื้นขึ้นมาได้

“ครับ ผมเชื่อพี่” น้องยิ้มออกมาบางเบาแต่ถึงจะบางเบาก็ทำให้บรรยากาศระหว่างเราดีขึ้นกว่าเดิม

“เชื่อพี่ได้เลยพี่ไม่มีทางหลอกน้อง”

“ครับ” ไม่รู้ว่าอะไรทำให้น้องเลือกที่จะเชื่อผม แต่อย่างที่ผมบอกไปผมไม่มีวันหลอกน้องแน่นอน

แปะ แปะ

เสียงหยดน้ำกระทบกับใบหน้าสองสามหยดก่อนจะค่อย ๆ เพิ่มจำนวนขึ้นจนนับไม่ได้ อยู่ ๆ ฝนก็ตกลงมาผมรีบถอดเสื้อคลุมมาคลุมหัวน้องแล้วจับมือน้องพาวิ่งไปจนถึงคอนโด ดีนะที่คอนโดอยู่ไม่ไกล แต่คงเพราะฝนตกลงมาเหมือนกับพายุเข้าสภาพผมเลยไม่ต่างจากลูกหมาตกน้ำ

ผมหันไปมองน้องที่มุดออกมาจากเสื้อคลุมตัวใหญ่ของผม ลองมองสำรวจดูตามตัวตามหัวน้องแทบจะไม่เปียกเลย โชคดีที่วันนี้ใส่เสื้อคลุมมาด้วย เสียงหัวเราะดังขึ้นเบา ๆ ทำให้ผมที่สำรวจตัวน้องอยู่ต้องรีบเลื่อนสายตามามองหน้าน้อง น้องหัวเราะเหรอ ไม่รู้หรอกว่าหัวเราะอะไร

แต่ชอบจัง

โคตรน่ารัก

“หัวเราะอะไรครับ”

“พี่เปียก” อ๋อขำพี่เหรอ โอเคยอมถ้าน้องจะขำน่ารักขนาดนี้เปียกกว่านี้พี่ก็ยอม

“ปีแสงขึ้นห้องไปก่อนก็ได้ครับ เดี๋ยวพี่ก็กลับแล้ว”

“กลับยังไง” นั่นดิ กลับยังไงลืมเลยว่าฝนตกแต่เปียกขนาดนี้ก็ไม่มีอะไรจะเสียแล้วแหละ

“คือ...”

“ขึ้นห้องครับ”

“ขึ้นห้อง?”

“ครับ อาบน้ำ รอฝนหยุด”

“ไม่เป็นไรครับ”

“ขึ้นห้องครับ”

เหมือนกับสลับตำแหน่งเพราะปกติจะเป็นผมที่จับข้อมือน้องแล้วลากไปลากมา แต่ตอนนี้กลับเป็นน้องที่คว้าข้อมือผมแล้วลากให้ผมเดินตามแทน ผมมองตามแผ่นหลังเล็ก ๆ ของคนตรงหน้าที่ยังคงเดินลากผมอย่างมุ่งมั่น ไม่รู้เลยว่าทำไมถึงชอบน้องทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนก็ชอบผู้หญิงเหมือนผู้ชายปกติ แต่พอเป็นน้องกลับเป็นข้อยกเว้นโดยไม่มีข้อแม้ ไม่มีอะไรมาอธิบายได้ รู้อย่างเดียวคือต้องเป็นน้องเท่านั้น

รู้แค่นั้นจริง ๆ

----

“ผ้าขนหนูกับเสื้อผ้าครับ”

หลังจากเข้าห้องมาผมก็เข้าไปหาเสื้อผ้าที่ใหญ่ที่สุดออกมาให้พี่ดาวเหนือ โชคดีที่มีเสื้อผ้าที่แม่ซื้อมาให้ผิดไซซ์อยู่

“เสื้อผ้าใครครับ” ไม่รู้ทำไมถึงสัมผัสได้ถึงบรรยากาศแปลก ๆ จากคำถามนี้นะ

“ซื้อผิดไซซ์ครับ”

“อ๋อโอเคครับพี่ไปอาบน้ำก่อน” อยู่ ๆ บรรยากาศแปลก ๆ ที่มีเมื่อกี้ก็หายไปอย่างรวดเร็ว สงสัยจะคิดไปเองคงไม่มีอะไร

ผมทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาตรงห้องนั่งเล่น เพราะเสื้อคลุมของพี่ดาวเหนือผมเลยแทบจะไม่เปียกอะไรเลยแตกต่างจากพี่ดาวเหนือที่เปียกทั้งตัวไม่มีส่วนไหนเลยที่แห้ง แต่ทั้ง ๆ ที่เปียกขนาดนั้นยังมีความคิดจะฝ่าฝนออกไปอีก ผมไม่ยอมหรอกพี่เป็นห่วงผม ผมก็เป็นห่วงพี่เหมือนกัน

ผมหลับตาลงช้า ๆ คิดทบทวนเหตุการณ์ในวันนี้ เรื่องของผู้หญิงคนนั้นผมยอมรับว่าตอนแรกก็คิดว่าหมดเวลาของผมแล้วเลยจะลุกออกไป แต่พี่ดาวเหนือกลับบอกให้ผมรอแล้วปฏิเสธคนนั้นออกไปแบบจริงจัง สายตาน้ำเสียงทุกอย่างที่พี่ดาวเหนือส่งมาช่วยยืนยันว่ามันไม่มีอะไร ผมเลยเลือกที่จะเชื่อตามที่ตัวเองอยากจะเชื่อ

ผมจะโกรธพี่ลงได้ยังไง เพราะถ้าพี่บอกว่าไม่มีอะไรผมก็จะเชื่อตามที่พี่บอก ไม่รู้ว่าดูโง่ไหมแต่ผมก็เลือกที่จะเชื่อตามที่พี่พูดทุกอย่างจริง ๆ

ผมเชื่อพี่ แต่มันก็ยังติดอยู่ตรงประโยคหนึ่ง

‘ผมมีคนที่ชอบแล้ว’

เฮ้อ...ช่างมันเถอะ

คิดอะไรไปเพลิน ๆ ก็เพิ่งคิดได้ว่ายังมีงานที่ต้องทำอยู่ ผมหยิบสมุด สเก็ตช์ภาพขึ้นมากางบนโต๊ะกลางโซฟา และลงไปนั่งกับพื้นก่อนจะค่อย ๆ วาดภาพต่อจากที่วาดค้างไว้ในห้องเรียน

“ทำอะไรอยู่ครับ”

เสียงพูดดังขึ้นใกล้ ๆ กับหู ผมที่กำลังวาดรูปอยู่สะดุ้งก่อนจะรีบหันหน้าไปมอง แต่ผมคิดว่าผมคิดผิดที่หันไปมอง เพราะตอนนี้หน้าของพี่ดาวเหนืออยู่ใกล้กับผมมากอีกแค่ไม่กี่เซนจมูกก็จะชนกันอยู่แล้ว รู้สึกได้ว่าหัวใจกระตุกอย่างแรง ลมหายใจติดขัด ผมทำอะไรไม่ถูกได้แต่นิ่งค้างตัวแข็งอยู่แบบนั้น จนต้องเป็นพี่ดาวเหนือที่เป็นฝ่ายผละออกไป ไม่รู้ว่าเพราะตาฝาดหรืออะไรเหมือนเห็นรอยยิ้มมุมปากแบบคนเจ้าเล่ห์รอยยิ้มที่ไม่เหมือนรอยยิ้มของพี่ดาวเหนือ สงสัยตาจะฝาด

“โห ปีแสงวาดเก่งจัง”

“อะ...อ๋อครับ” ผมที่เพิ่งได้สติตอบกลับพี่ดาวเหนือที่มองงานของผมตาเป็นประกาย “พี่ชอบเหรอ”

“ครับพี่ชอบ แต่ทำไมถึงเป็นนกล่ะ”

“ผมชอบ มันอิสระ” ก็แค่อยากมีอิสระเหมือนกับนก

“อย่างนี้นี่เอง พี่ก็ชอบนะชีวิตที่อิสระ” เหมือนไม่ต้องพูดอธิบายอะไรคนตรงหน้าผมกลับดูเข้าใจทุกอย่าง

“แล้วปีแสงไม่อาบน้ำเหรอครับ”

“ยังครับ ทำงานก่อน”

“ไม่เปียกตรงไหนใช่ไหม”

“ไม่ครับ”

“โอเคครับ” พี่ดาวเหนือตอบรับพร้อมกับมองออกไปที่หน้าต่างห้องฝนยังตกหนักอยู่ ไม่มีทีท่าจะหยุดเลยผมปล่อยให้พี่กลับไปแบบนี้ไม่ได้

“รอฝนหยุดนะครับ”

“ฮ่า ๆ โอเคครับ เป็นห่วงพี่เหรอ”

“ครับ เป็นห่วง”

“...”

ไม่รู้ว่าพูดอะไรผิดไปหรือเปล่าพี่ดาวเหนือเลยหันหน้าหนีแบบนั้น แต่คงไม่น่ามีอะไรเพราะได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ ออกมาจากอีกฝ่าย

“เออ...พี่จะถามว่าเมื่อเช้าแฮงค์ไหมครับเมื่อคืนน้องดื่มหนักมากเลย พี่กลัวเราจะไม่สบายเลยเปลี่ยนเสื้อผ้าให้”

“พี่มาส่ง?”

“ครับ พี่พาน้องมาส่งเองน้องจำไม่ได้เหรอครับ”

“จำไม่ได้...เกิดอะไรขึ้นครับ”

“ไม่มีอะไรนี่ครับ น้องเมาพี่เลยเป็นคนพากลับมาส่ง”

“แล้วมายเนม?”

“มายเนมเหมือนจะมีธุระกับสายลม แต่ไม่รู้ว่ามีอะไรเหมือนกัน พี่เลยอาสามาส่งแทน”

ทั้ง ๆ ที่เข้าใจมาตลอดว่ามายเนมเป็นคนมาส่งแต่เรื่องจริงดันกลายเป็นพี่ดาวเหนือมาส่งแทน เมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า

“ผม...ไม่ได้ทำตัวแย่ ๆ ใช่ไหมครับ”

“ไม่ได้ทำครับ น้องก็แค่หลับไป”

คิดกลัวไปต่าง ๆ นานาแต่คำตอบที่ตอบกลับมากับไม่มีอะไรเลย โล่งใจหน่อยกลัวแทบแย่ว่าตัวเองจะเผลอทำอะไรลงไปหรือเปล่า แต่ดูแล้วคงไม่มีอะไร

“ขอบคุณครับ”

“ไม่เป็นไรครับ พี่เต็มใจ”

----

เวลาผ่านไปราว ๆ หนึ่งชั่วโมง ผมมองนาฬิกาบนฝาผนังที่บอกเวลาว่าตอนนี้สองทุ่มครึ่งแล้ว ฝนก็หยุดแล้วด้วย หลังจากที่จบบทสนทนานั้นผมก็หันมานั่งทำงานต่อโดยมีพี่ดาวเหนือคอยให้คำแนะนำต่าง ๆ ยอมรับเลยว่าพี่ดาวเหนือเก่งทางด้านนี้มากฟังจากทักษะต่าง ๆ ที่อธิบายมาหรือการวาดรูปเล่น ๆ ฆ่าเวลาของพี่เขาที่ดูดีเกินกว่าการวาดรูปเล่น

แต่รู้ตัวอีกทีพี่ดาวเหนือก็เงียบหายไปสักพักแล้ว พอหันไปดูก็เห็นอีกฝ่ายฟุบหน้าหลับไปกับโต๊ะ ลองมองดูดี ๆ พี่ตอนหลับน่ารักไม่แพ้ตอนตื่นเลยแฮะ

“พี่ดาวเหนือ”

“...”

“หลับเหรอครับ”

“...”

สงสัยจะหลับจริงและดูท่าจะหลับลึกซะด้วย ผมค่อย ๆ ฟุบหน้าลงข้าง ๆ ตะแคงหน้ามองอีกฝ่ายใกล้ ๆ ถ้าพี่ไม่หลับผมคงไม่มีโอกาสได้มองหน้าพี่แบบนี้แน่ ๆ พี่ดาวเหนือเป็นผู้ชายที่ดูอบอุ่นและมีเสน่ห์มาก อาจจะเพราะเสน่ห์พี่เขามีมาตั้งแต่เรื่องหน้าตาที่ดูโดดเด่นมีเอกลักษณ์ไม่มีใครเหมือน ผิวขาวดูสุขภาพดี ตัวสูงเกินมาตรฐานน่าจะร้อยแปดสิบกว่า ๆ ผมตัวเท่าจมูกของพี่เขาเอง รูปหน้าคมรับกับผมรองทรงตัดสั้นโชว์ต้นคอที่มาพร้อมกับสีน้ำตาลอ่อนยิ่งดูสดใสเข้าไปใหญ่และดวงตาเรียวสีดำนั้นพอได้มองแล้วดูมีเสน่ห์น่าค้นหา เมื่อทุก ๆ อย่างมารวมกับรอยยิ้มที่สว่างที่สุดแล้วมันยิ่งดีขึ้นไปใหญ่ ดีจนหาจุดที่ไม่ดีไม่เจอเลย

มัวแต่มองพิจารณาหน้าตาของอีกฝ่าย มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่เอื้อมนิ้วไปแตะลงบนแก้มของอีกคนแล้ว แก้มนุ่มมาก พอแตะลงไปแล้วก็ไม่อยากเอามือออกเลย ผมค่อย ๆ ไล้นิ้วไปที่ดวงตาที่หลับสนิทเลื่อนช้า ๆ ไปที่สันจมูกที่โด่งอย่างเป็นธรรมชาติและไปบรรจบลงที่ริมฝีปากสีชมพูบางเฉียบของอีกฝ่าย

“มีพี่อยู่”

“...”

“ดีจัง” อยากให้อยู่แบบนี้ไปนาน ๆ จัง

“...”

“พี่ครับตื่น” แต่เวลาแบบนี้มักผ่านไปไวเสมอ เพราะพี่ดาวเหนือเคยพูดไว้ว่าตอนสามทุ่มต้องไปทำงานต่อนี่ใกล้เวลาแล้วคงต้องปล่อยพี่ไป

“...”

“พี่ดาวเหนือครับ”

“คะ...ครับ”

“ตื่นครับ จะสามทุ่ม”

“เอ่ออะ...โอเคครับงั้นพี่ไปก่อนนะ”

“ครับ”

ผมมองตามร่างของอีกคนที่เก็บข้าวของลงในกระเป๋าแล้วเดินตรงไปที่ประตูอย่างรีบร้อน ทำท่าเหมือนจะเดินออกไปแต่ก็ยังไม่วายหันมาบอกลา

“ฝันดีนะครับ”

“ครับฝันดี”

พี่ดาวเหนือโบกมือลาครั้งสุดท้ายก่อนจะรีบพรวดพราดออกไป

ตั้งแต่ตื่นมาดูพี่ดาวเหนือแปลก ๆ ไป ดูรีบร้อนไม่กล้าสบตาหรือว่านี่คืออาการของคนเพิ่งตื่นนอน อีกอย่างมันจะใกล้สามทุ่มแล้วคงไม่แปลกที่พี่จะรีบ น่าจะกลัวไปทำงานสาย

ขอให้พี่ไปทำงานทันนะครับ

----

โอ๊ยน้องจะรู้ไหมว่าผมไม่ได้หลับตื่นตั้งแต่น้องเรียกตอนแรกแล้วแค่ยังไม่อยากลืมตา ยิ่งพอสัมผัสได้ถึงปลายนิ้วอุ่น ๆ ของอีกฝ่ายและคำพูดที่เล่นเอาหัวใจสูบฉีดเลือดแทบไม่ทันยิ่งไม่กล้าลืมตาเข้าไปใหญ่

น้องงงงง....

เขินจนจะกลิ้งกลับแล้วนะ ได้แต่เหม่อมองบันไดด้านหน้าอย่างล่องลอยก่อนจะขยี้หัวตัวเองแรง ๆ อีกที ลิฟต์ก็มีทำไมไม่ลงนี่เขินจนอ๋องไปหมดเลย น้องต้องรับผิดชอบแล้วนะ ใจจริงอยากจะจับน้องมาฟัดสักที แต่ก็ต้องห้ามใจไว้กลัวว่าถ้ารีบเร่งเข้าใกล้น้องเร็วเกินไปน้องอาจจะกลัวแล้วหนีหายไป ผมเชื่อว่าทุก ๆ อย่างมันต้องค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไปผมเชื่อแบบนั้น แต่น้องชอบทำตัวให้ผมหลุดออกจากการควบคุมตลอดเลย คนอะไรน่ามันเขี้ยวชะมัด

สุดท้ายผมก็อยากจะบอกน้องเหมือนกัน

มีน้องอยู่...โคตรชอบ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel