บท
ตั้งค่า

NO.6 ทางเลือกในการตัดใจ

NO.6

ทางเลือกในการตัดใจ

ปวดหัวเหมือนหัวจะระเบิด นี่เป็นความรู้สึกแรกหลังจากที่ผมลืมตาตื่นขึ้นมา หนักตัวไปหมดเหมือนจะไม่สบาย เมื่อคืนไม่น่าดื่มเยอะขนาดนั้นเลย

“เฮ้อ”

นอกจากจะมีอาการปวดหัวแล้วภาพเมื่อคืนก็ค่อย ๆ ทยอยไหลเข้ามาในหัว ทุกอย่างฉายชัดมากในความทรงจำ โดยเฉพาะความทรงจำที่ทำให้เจ็บปวด

“พี่ดาวเหนือ...”

ไม่รู้ทำไมนี่คือชื่อเดียวที่คิดออกตอนนี้ มันเป็นชื่อที่ทำให้มีความสุขมาได้ตลอด แต่ตอนนี้กลับทำให้เศร้าจนน่าประหลาดใจ ผมชอบตอนที่พี่ ยิ้มแต่มันน่าเสียดายที่สุดท้ายพี่ก็ไม่ได้ยิ้มให้ผมอยู่ดี ที่เคยหวังว่ารอยยิ้มนั้นผมจะได้มาครอบครองสักวันหนึ่ง ตอนนี้มันคงเป็นแค่ความคาด หวังที่เพ้อเจ้อสุด ๆ

แพ้แล้วสินะ

แพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มเลย

ผมลุกขึ้นจากเตียงช้า ๆ พยายามปรับสภาพร่างกายให้ชิน มีอาการเซนิดหน่อยแต่ก็พอพยุงตัวเดินไปได้ ผมเดินตรงไปที่ตู้เย็นในส่วนของครัว รู้สึกว่าคอแห้งผากคงเพราะขาดน้ำพอได้น้ำเย็น ๆ ลงไปช่วยหน่อยก็ดีขึ้น ทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาหน้าทีวีไม่มีความคิดจะดูทีวีแต่อย่างใดแค่ต้องการที่พักเพราะรู้สึกเวียนหัวจนหน้าจะมืด แบบนี้หรือเปล่านะที่เขาเรียกว่าอาการแฮงค์

เมื่อคืนไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นเหมือนภาพถูกตัดไปตั้งแต่ดื่มได้ไม่นาน ผมพยายามเค้นความทรงจำช่วงนั้นว่ามีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่าแต่สุดท้ายไม่ว่าคิดยังไงก็คิดไม่ออก จำไม่ได้แม้กระทั่งว่าใครเป็นคนพามาส่งที่ห้องแถมเปลี่ยนเสื้อผ้าให้อีก แต่ดูแล้วก็คงจะเป็นมายเนมแหละก็ผมมีเพื่อนแค่คนเดียว ได้แต่หวังว่าเมื่อคืนผมจะไม่ทำเรื่องแย่ ๆ ลงไปก็พอ

การดื่มของมึนเมาไม่เคยมีใครบอกว่าดี แต่แปลกที่ก็ยังคงดื่มกันจนกลายเป็นสิ่งที่นิยม ผมได้แต่คิดว่าถ้าเมื่อคืนไม่ได้เจอเหตุการณ์แบบนั้นผมคงไม่มีความคิดที่จะดื่มน้ำขม ๆ นั่นอีก เหมือนตอนนั้นผมคิดอย่างเดียวคืออยากจะลืม ลืมทุกอย่างที่เห็น แต่ผลที่ได้คือลืมได้จริงแต่เพียงชั่วคราวพอลืมตาตื่นขึ้นมาภาพพวกนั้นก็ยังคงตอกย้ำอยู่ว่ามันคือความจริง ความจริงที่ว่า

เหลือผมแค่คนเดียว...

ห้องก็ยังกว้างเกินความจำเป็นเหมือนเดิมและก็มีผมแค่คนเดียวเหมือนเดิม ไม่มีเสียงอะไรเลยนอกจากความเงียบที่เป็นสิ่งที่ผมคุ้นเคยและ ต้องเจอะเจอทุกวัน จนเกิดเป็นความเคยชินในที่สุด มันจะเรียกว่าเหงาได้ไหมนะในเมื่อผมชินไปแล้ว

ผมอาจจะดูเข้มแข็งมากเพราะผมไม่พูดและไม่คิดจะแสดงความรู้สึกอะไรออกไป แต่ใครจะรู้ว่าข้างในมันแหลกเหลวไม่มีชิ้นดีขนาดไหน ผมแค่คิดว่าถ้าผมมีสิทธิ์ที่จะเลือกเองได้บ้างอะไร ๆ มันอาจจะดีขึ้นกว่านี้ แต่สุดท้ายก็เหมือนเดิมไม่มีอะไรที่ช่วยผมได้เลย หรือสุดท้ายผมไม่มีสิทธิ์ได้เลือกตั้งแต่แรกอยู่แล้วกันนะ

“หึ”

ได้แต่หัวเราะให้กับตัวเองเบา ๆ มองดูเพดานสีขาวด้านบนที่ว่างเปล่าจนคล้ายกับชีวิตผมในตอนนี้ จากที่คิดว่าเจอทางที่จะพาไปหาจุดหมายของตัวเองแล้วแท้ ๆ แต่แล้วไฟดวงสุดท้ายก็ดับลง มืดสนิทมองไม่เห็นอะไรอีกเลย ว่างเปล่าไปหมด

Rrrrrrrrrr

โทรศัพท์ข้างตัวดังขึ้น เป็นสัญญาณแจ้งเตือนว่ามีคนโทรเข้ามา ผมก้มลงมองก่อนจะเห็นชื่อคนที่คุ้นเคย มือที่ถือโทรศัพท์อยู่เลยกดรับโดยอัตโนมัติ

‘My name’

(มึงตื่นยัง ปลอดภัยไหม)

“ฮะ” นี่คือคำถามอะไร

(เมื่อคืนไม่มีอะไรเกิดขึ้นใช่ไหม)

“อะไร” มันต้องมีอะไรเกิดขึ้นเหรอ

(กูห่วงมึง มึงไม่เป็นอะไรใช่ไหมตอบให้กูชื่นใจหน่อยดิ)

“สะ...สบายดี”

(โอเค)

“ทำไมถึงถามแบบนี้”

(ก็เมื่อคืน...มึงกูต้องรีบไปแล้วว่ะ กูจะโทรมาบอกว่าวันนี้กูคงไม่ได้ไปเรียนนะ มีธุระด่วน)

นอกจากจะไม่ตอบคำถามให้เคลียร์แล้วยังจะกระซิบทำไม

“อะ...”

(กูต้องไปแล้วถ้ามึงไปมอก็อย่าซน เข้าใจไหม)

“เดี๋ยว”

(ไปแล้วนะเจอกันพรุ่งนี้ ตั้งใจเรียนเผื่อกูด้วยนะไอ้แคระ)

“ดะ...”

ตี้ด

ตอนนี้ถ้าเป็นไปได้คงมีเครื่องหมายเควสชั่นมาร์คตัวใหญ่ ๆ แปะอยู่ตรงหน้าผม เมื่อกี้นี้จับใจความสำคัญอะไรในบทสนทนาไม่ได้สักอย่าง รู้อย่างเดียวคือวันนี้มายเนมไปเรียนไม่ได้แค่นั้น นอกจากนี้คือไม่รู้เรื่องอะไรเลย

บอกได้คำเดียวเลยว่าปรับอารมณ์ไม่ถูก เมื่อกี้ยังซึม ๆ อยู่แต่พอได้คุยกับมายเนมความซึมที่มีอยู่ถูกแทนที่ด้วยความงงแทน การคุยคนเดียวของมายเนมคงอัพขึ้นอีกระดับแล้วสินะ ผมตามไม่ทันแล้วจริง ๆ แต่ก็เพราะมายเนมอีกนั่นแหละที่ทำให้ผมเลิกคิดฟุ้งซ่านได้

มองดูนาฬิกาเพิ่งจะเก้าโมงกว่า ๆ โชคดีที่วันนี้มีเรียนช่วงบ่ายเลยยังพอมีเวลาให้ได้นอนพักให้อาการมึนหัวดีขึ้นกว่านี้อีกสักหน่อยเพื่อจะได้มีแรงไปเรียนไหว คิดได้แบบนั้นก็พาร่างตัวเองเดินกลับเข้าห้องตรงไปที่เตียง ผมสะบัดหัวตัวเองเบา ๆ สองสามทีพยายามไล่ความคิดทุกอย่าง ไม่อยากคิดอะไรแล้ว จะไม่คิดอะไรอีกแล้ว ในเมื่ออยู่คนเดียวมาได้ตั้งนาน อยู่คนเดียวต่อไปอีกจะเป็นอะไรไป

ผมค่อย ๆ หลับตาลงช้า ๆ เข้าสู่ห้วงนิทราพร้อมกับคำถามสุดท้ายที่ดังขึ้นมาในใจ

ผมต้องตัดใจแล้วใช่ไหม?

----

เวลา 13.20 น.

วันนี้ผมเลตไม่รู้ว่าเพราะนาฬิกาไม่ยอมปลุกหรือผมไม่ยอมลุกกันแน่ แต่โชคดีที่อาจารย์ก็มาเลตเหมือนกันผมเลยไม่โดนเช็กสาย วันนี้วิชาเรียนเหมือนทุก ๆ วันเป็นวิชาศิลปะปรับพื้นฐานของนักเรียนชั้นปีที่หนึ่ง ผมจ้องมองจอโปรเจคเตอร์ด้านหน้าอย่างเหม่อลอย คิดย้อนกลับไปว่าทำไมผมถึงเลือกมาเรียนที่นี่ เหตุผลแรกก็คงเป็นอย่างที่รู้ ๆ กันคือพี่ดาวเหนือ ส่วนอีกเหตุผลที่ผมไม่เคยบอกใครก็คือผมชอบวาดรูป ผมไม่รู้เลยว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ตัวเองเริ่มวาดภาพ อาจจะเป็นในช่วงที่อยู่คนเดียวการวาดภาพก็เหมือนเครื่องช่วยคลายความเหงาและความน่าเบื่อลงได้ ตั้งแต่ที่ได้เริ่มวาดรูปก็วาดต่อมาเรื่อย ๆ คิดว่านี่คงเป็นสิ่งเดียวที่ผมถนัดและได้ทำ ไม่มีใครมาบังคับให้หยุด เวลาที่วาดรูปผมรู้สึกมีความสุขเหมือนได้เป็นตัวของตัวเอง อาจจะเพราะแบบนี้เลยทำให้ผมเลือกเรียนสาขานี้โดยไม่ลังเล ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะได้มาเรียนทางสายนี้ด้วยซ้ำ และถึงแม่จะมองหน้าผมแปลก ๆ ตอนที่ผมบอกว่าจะเรียนทัศนศิลป์แต่ก็ไม่ได้ขัดอะไร ซึ่งอาจจะเป็นเพราะข้อตกลงหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ก็ต้องขอบคุณจริง ๆ

อย่างน้อยผมก็ได้ทำในสิ่งที่ผมต้องการ

การเรียนวันนี้ผ่านไปอย่างช้า ๆ และปล่อยตรงกับตอนที่เข็มยาวชี้ไปที่เลขสิบสองและเข็มสั้นชี้ไปที่เลขห้า ถือเป็นการเรียนแบบมาราธอนอีกหนึ่งวิชา ทั้ง ๆ ที่ไม่มีเนื้อหาอะไรมากแต่ก็สอนให้ดูเยอะได้อย่างน่าประหลาด

ผมเดินออกมาจากห้องพร้อมกับความรู้สึกหิว เพิ่งคิดได้ว่าวันนี้ตัวเองยังไม่ได้กินอะไรเลย แต่จะกินอะไร นี่ก็เป็นปัญหาที่ผมต้องพบเจอทุกวัน ผมแทบจะไม่รู้จักร้านข้าวแถวนี้เลยเพราะไม่กล้ากินกลัวเจอกระเทียม ไม่รู้ว่าอะไรที่มันไม่มีกระเทียม เลยเลือกที่จะโทรสั่งทุกวัน กินอะไรเหมือนเดิมทุกวันจนน่าเบื่อ แต่จะทำไงได้ ไม่งั้นผมคงไม่มีอะไรกินและเป็นความโชคดีที่วันนี้กิจกรรมห้องเชียร์งดด้วยผมจะได้รีบไปหาอะไรกินก่อนจะหิวจนไส้กิ่ว

“แกพี่ดาวเหนือมาทำอะไรอะ”

“นั่นสิบุคคลหายากมาทำอะไรตรงนี้เนี่ย”

“โคตรหล่อเลยฉันจะเป็นลม”

เสียงพูดคุยของเพื่อนผู้หญิงในห้องที่เดินออกมาพร้อม ๆ กันเรียกความสนใจ ผมให้มองตามสายตาของคนพวกนี้ไปก่อนจะไปสะดุดที่ร่าง สูงที่ยังคงความสดใสไว้เหมือนทุก ๆ วัน

พี่ดาวเหนือ!?

“เขามาหาฉันแน่ ๆ เลยแกดูดิเขามองมาทางนี้แล้ว”

“แกอย่ามโน เขาต้องมาหาฉันสิ โอ๊ยจะละลายแล้วคุณพี่ขา”

ผมสบตาเข้ากับพี่ดาวเหนือเพียงชั่วครู่ก่อนที่ผมจะเป็นฝ่ายเบือนหน้าหลบและหมุนตัวเพื่อเดินเลี่ยงไปอีกทาง ถึงผมจะไม่รู้ว่าพี่เขามาหาใครแต่มันคงไม่ใช่ผมอยู่แล้ว แต่ถึงจะคิดว่าเขาไม่ได้มาหาผม ผมก็อยากหลบหน้าเขาไปสักพักอารมณ์ของผมมันยังไม่คงที่ ผมยังไม่พร้อมแม้แต่จะมองหน้าพี่เขาตอนนี้เลย

“น้องปีแสง!!”

ขาที่ก้าวไปได้สองก้าวชะงักลงกับที่ เสียงรอบข้างที่ดังจนถึงเมื่อกี้ตอนนี้เงียบลงจนผมได้ยินเสียงหายใจของตัวเอง ผมรู้จักเสียงนี้ดีไม่ต้องหันไปมองผมก็รู้ว่านี่เป็นเสียงใคร

เสียงเท้าของอีกคนใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ผมไม่ได้หันกลับไปมองและเลือกที่จะทำเป็นไม่ได้ยินก้าวขาเดินต่อโดยที่ไม่สนใจเสียงเรียกของใครอีก

“น้องงง”

“ปีแสงครับ”

“รอพี่ด้วย...”

ทำไม?

ทำไมพี่ถึงมาหาผมไม่มีเหตุผลอะไรเลยสักอย่าง ผมขอโทษที่เดินหนีออกมาแบบนี้ แต่จะให้ทำยังไงได้พอเห็นหน้าพี่ก็เหมือนกับภาพเมื่อคืนมันซ้อนทับอยู่บนตัวพี่ คอยตอกย้ำไม่ให้ผมก้าวเข้าไปในชีวิตของพี่อีก

ผมเดินออกมาได้สักพักจนไกลพอสมควร หันมองดูรอบ ๆ อย่างไม่คุ้นชิน ไม่รู้เลยว่าเดินใจลอยมาจนถึงตรงส่วนไหนของมหาลัย แถวนี้ไม่มีผู้คนเลยคงเพราะเย็นแล้วนักศึกษาเลยกลับกันไปหมด ผมทิ้งตัวลงนั่งตรงเก้าอี้แถว ๆ นั้น ปล่อยให้เวลาผ่านไปสักพักค่อยกลับละกัน

โครก...

เดินหนีออกมาจนลืมอาการหิวข้าวไปซะสนิทเลย แต่ถึงท้องจะร้องแต่ผมก็ไม่มีกระจิดกระใจอยากกินอะไรตอนนี้หรอก อยากนั่งเฉย ๆ ไม่อยากทำอะไรเลยสักอย่าง

“อะ หิวก็แดกซะ”

นมช็อกโกแลตกล่องหนึ่งถูกยื่นมาด้านหน้าจากผู้ชายตัวสูงที่ใส่เสื้อช้อปสีเลือดหมู

“มองอะไรวะ กูนอนอยู่ข้างหลังพุ่มไม้เนี่ยได้ยินนะที่ท้องมึงร้อง แดก ๆไปเหอะกูไม่วางยามึงหรอก”

ผมหันไปมองด้านหลังพุ่มไม้ มีกระเป๋าและข้าวของวางอยู่ตามที่อีกฝ่ายบอก ตอนแรกไม่ทันได้มองเลยไม่เห็นสินะ พอหันกลับมาก็เจอสายตาดุ ๆ ของอีกฝ่ายถูกส่งมาเพื่อกดดันให้ผมยื่นมือขึ้นไปรับนมที่ยื่นมาให้

“มึงเป็นเด็กเอกไรวะ ไม่เห็นคุ้นหน้า”

“...”

“พูดไม่ได้? เป็นใบ้?”

“...ทัศนศิลป์”

“ก็พูดได้นี่หว่า แล้วเอกทัศนศิลป์เดินหลงมาแถววิศวะได้ไงวะคนละโยชน์”

“...ไม่รู้”

“อ่าวมึงกวนตีนเหรอ”

“เปล่า”

“เออ ๆ กูจะไม่ถือละกัน แล้วมึงเป็นอะไรไหมเนี่ย นั่งหน้าเศร้าเป็นหมาไม่มีข้าวแดกอยู่ได้”

“เปล่า”

“เหอะ กูมองจากดาวเสาร์กูยังรู้เลยว่ามึงเป็น โกหกไม่เนียนนะมึง”

“...”

“ไม่คิดจะบอกกูสินะ”

“...”

“ไม่บอกก็ไม่ต้องบอก กูไม่ได้อยากเสือกแต่มึงช่วยทำหน้าดี ๆ หน่อยได้ไหม ทำหน้าแบบนี้แม่งยิ่งขี้เหร่กว่าเดิมขัดลูกหูลูกตาฉิบหาย”

ผมได้แต่รับฟังคนตรงหน้านิ่ง ๆ ก้มลงมองนมช็อกโกแลตในมือด้วยความสงสัย ทำไมคนที่เพิ่งรู้จักกันถึงได้พูดเหมือนสนิทกันได้ขนาดนี้

“มึงจะทำหน้าแบบนี้อีกนานไหม เขยิบไปดิกูนั่งด้วย”

เขาเป็นใครก็ไม่รู้รู้แต่ว่าหน้าดุมากผมได้แต่เขยิบให้อีกฝ่ายนั่งลงข้าง ๆ อย่างงง ๆ กลัวว่าถ้าไม่ทำตามอีกคนอาจจะโดนว้ากเอาได้

“มึงอยู่ปีหนึ่งเหมือนกูหรือเปล่า”

ผมไม่ได้ตอบแต่พยักหน้าตอบไปแทน

“เคกูจะได้ไม่ต้องเกรงใจ”

ก็ไม่ได้เกรงใจมาตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่เหรอ

“กูไม่รู้หรอกนะว่ามึงเจออะไรมา แต่หน้าแบบนี้...ไม่พ้นอกหักหรอกมั้ง”

หรือว่าเป็นหมอดู?

“และดูแล้วสภาพนี้คงได้แค่แอบรักเขาข้างเดียวแหละ”

ต้องเป็นหมอดูแน่ ๆ

“หึ ดูจากหน้ากูคงเดาถูก”

“...”

“...มึงจำไว้นะการที่เราชอบใครแม่งไม่ผิดหรอก แต่มันผิดตรงที่เราชอบคิดไปไกลเกินกว่าชอบ”

“...”

“กูก็ชอบคนคนหนึ่งอยู่แต่ก็เหมือนจะได้แดกแห้ว แต่กูก็ไม่แคร์หรอก กูก็จะทำทุกอย่างเต็มที่เท่าที่กูจะทำได้”

“...” ผมได้แต่นั่งนิ่ง ๆ รับฟังคนข้าง ๆ พูดแล้วคิดตาม ไม่รู้ทำไมถึงมาพูดแบบนี้แต่เรื่องที่พูดก็น่าสนใจดี

“ทุกคนมันมีสิทธิ์ของตัวเองอย่าจำกัดตัวเองด้วยคำว่าไม่มีสิทธิ์”

“...” ผมก็มีสิทธิ์เหรอ มีจริง ๆ หรือเปล่า

“มึงลองคิดดูนะถ้าวันหนึ่งทุกอย่างมันจบโดยที่มึงไม่ได้พยายามทำเหี้ยอะไรเลย มันจะเสียใจฉิบหายกว่าการที่เราทำเต็มที่แล้ว”

“...” แล้วผมพยายามมากพอหรือยังนะ

“กูก็บอกมึงได้แค่นี้นอกจากนี้มึงก็คิดเองว่ามึงจะทำยังไงต่อ เพราะถ้าเป็นกู กูจะพุ่งเข้าใส่ทุก ๆ อย่าง กูจะทำทุกทางแบบที่กูอยากทำ ไม่สนห่าไรทั้งนั้น”

“…ทำไมถึงมาพูดแบบนี้”

“กูก็ไม่รู้ว่ะ แค่เห็นมึงแล้วเหมือนเห็นตัวเอง กูเข้าใจว่าแม่งโคตรเหี้ยตอนที่ชอบเขาแต่ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง”

ไม่รู้ทำไมทั้ง ๆ ที่ผมแทบไม่ต้องพูดอธิบายอะไรเลย คนคนนี้กลับเข้าใจความคิดของผมทุกอย่าง

“ขอบคุณ” ขอบคุณที่ทำให้รู้สึกสับสนน้อยลง

“คิดซะว่าทำบุญทำทาน”

“...”

“ไม่ต้องมามองหน้ากูเลยและนมอะแดกด้วยจะถือไว้จนมันหมดอายุเลยหรือไง”

“ยังไม่หิว”

“ท้องร้องขนาดปลุกกูตื่นได้นี่คงไม่หิวหรอกเนาะ เรื่องของมึงเหอะ”

“อืม”

“มึงแม่ง…ใครปล่อยให้มึงมาเดินคนเดียวเนี่ยแถวนี้แม่งยิ่งเถื่อน ๆ อยู่”

“ไม่มี เดินมาเอง”

“โว๊ะ คุยกับมึงละปวดหัวว่าแต่มึงชื่ออะไร กูชื่อภูผานะ”

“ปี-“

“ปีแสง!!”

ยังไม่ทันจะได้บอกชื่อให้อีกฝ่ายรู้ก็มีเสียงของอีกคนเข้ามาแทรกแทน ผมหันกลับไปมองตามเสียงเรียก เสียงคุ้นขนาดนี้คงเป็นคนอื่นไปไม่ได้นอกจากคนที่ผมเดินหนีมาเมื่อกี้ ตามผมมาถูกได้ยังไง

“น้องเดินหนีพี่ทำไมครับ” พอพี่ดาวเหนือเดินมาถึงตัวก็รีบรัวคำถามใส่ทันที

“...”

“น้องเป็นอะไรบอกพี่ได้ไหม”

“เปล่าครับ” แน่นอนผมโกหก เพราะจนถึงตอนนี้ผมยังไม่กล้าจะมองหน้าพี่เขาเลย

“ปีแสง”

“ทำไม...ตามผมมาทำไม” ทำไมไม่ปล่อยผมไปล่ะ ทำไมยังจะตามผมมาอีก

“ก็พี่อยากคุยกับน้อง”

“คุยอะไรครับ”

“ปีแสงไม่เอาไม่เป็นแบบนี้ได้ไหม” ผมไม่รู้เลยว่าผมต้องทำยังไง เหมือนความคิดข้างในมันตีกันมั่วไปหมด

“น้ำฟ้า” ตีกันมั่วจนเผลอพูดชื่อหนึ่งออกไปชื่อที่ผมจำได้ดีว่าคือใคร

“น้ำฟ้า?…อ๋อคนเมื่อคืนมันไม่มีอะไรจริง ๆ นะพี่กับน้ำฟ้าเพิ่งรู้จักกันเมื่อคืน”

“แต่พี่จูบ...”

“พี่ไม่ได้จูบกับเขา มันไม่มีอะไรเกินเลยกว่านั้นเชื่อพี่นะ”

“...”

“ปีแสงมองหน้าพี่ มันไม่มีอะไรจริง ๆ”

ผมเงยหน้าขึ้นไปสบตาพี่ดาวเหนือสายตามุ่งมั่นแสดงออกถึงความจริงใจ สายตาพี่ดาวเหนือไม่มีวี่แววของคนพูดโกหกเลย

“เชื่อได้...ใช่ไหมครับ”

“ครับเชื่อได้”

“...”

“เชื่อพี่นะ”

“ครับ ผมจะเชื่อ”

อาจจะดูโง่ที่ยอมเชื่อพี่เขาโดยที่ไม่ทักท้วงอะไรอีก แต่ผมก็ยอมโง่แค่พี่ดาวเหนือมาอธิบายให้ฟังมันก็เกินกว่าคนนอกอย่างผมจะมีสิทธิ์แล้ว ถึงไม่เข้าใจว่าทำไมพี่ต้องมาอธิบายให้ผมฟังก็เถอะ แต่พอพี่ทำแบบนี้จากที่จะตัดใจ ตอนนี้เหมือนเดินวนกลับไปอยู่ที่เดิมอีกแล้ว

“พี่มันหิวอะ พามันไปหาอะไรกินด้วยนะ”

เหมือนสถานการณ์ดีขึ้นแล้วคนที่แอบมองอยู่เงียบ ๆ เลยตัดสินใจพูดขึ้นหลังจากที่ทำตัวเหมือนเป็นอากาศมานาน

“น้องเป็นเพื่อนปีแสงใช่ไหมครับ พี่ชื่อดาวเหนือนะ”

“ครับผมภูผา ไอ้เตี้ยนี่มันดื้อผมให้กินนมมันก็ไม่กินพามันไปกินอะไรด้วยนะ เดี๋ยวผมไปก่อน”

“โอเคครับ”

“กูไปแล้วนะ ดูแล้วเมื่อกี้กูน่าจะเข้าใจผิด”

ภูผาพูดบอกลาปีแสงก่อนจะพูดประโยคสุดท้ายเบา ๆ ให้ได้ยินกันแค่สองคน โบกมือลาให้ปีแสงและพี่ดาวเหนือแล้วหมุนตัวเดินออกมา โดยไม่ได้สนใจสายตาที่มองมาที่เขาอย่างสงสัยของไอ้เด็กเตี้ยนั่นอีก

มึงไม่ได้รักเขาข้างเดียวนี่หว่าปีแสง มึงจะเศร้าทำไมวะ แต่ก็นะซื่อขนาดนั้นจะดูออกได้ไงว่าคนพี่มันคิดอะไรอยู่

เฮ้อ…

ได้แต่ถอนหายใจออกมาเบา ๆ จากที่สังเกตท่าทางของปีแสงเมื่อกี้แล้วทำให้รู้ว่าคนอย่างปีแสงถ้าไม่บอกมันก็คงไม่มีทางรู้ หวังว่าพี่ดาวเหนือจะไม่มึนตามมันไปนะ

ขอให้สมหวังนะมึง

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel