NO.5 ความรู้สึกของดวงดาว
NO.5
ความรู้สึกของดวงดาว
‘มีจริงหรือ รักแรกพบเพียงสบตาแค่หนึ่งครั้ง
แค่แรกเห็นเดินผ่านมาไม่พูดจา
ไม่ทักไม่ทาย ไม่รู้ว่าใคร เหตุใดจึงรักกัน
ไม่มีทาง เรื่องเพ้อฝันความผูกพันอย่างง่ายดาย
รักแรกพบมีอยู่จริงในนิยาย
หนังสือนิทาน เพลงรักแสนหวาน กับความฝัน’
(เพลงรักแรกพบ - Tattoo colour)
เสียงใส ๆ ของผู้หญิงที่ขึ้นชื่อว่าเป็นดาวมหาลัยร้องเพลงออกมาโดยมีผมที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเดือนมหาลัยนั่งเล่นกีตาร์คลอเสียงเพลงอยู่ข้าง ๆ งานวันนี้มีคอนเซ็ปต์คือแรกพบเมื่อเราได้เจอกันที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้เราจะตกหลุมรักกันอย่างไม่รู้ตัวและเลือกที่จะเรียนที่นี่ เพื่อให้เข้ากับคอนเซ็ปต์เลยได้ข้อตกลงเป็นเพลงรักแรกพบอย่างที่เห็นถึงผมไม่ค่อยอินกับเพลงนี้เท่าไรก็เถอะ ก็ผมไม่เคยเจอนี่รักแรกพบอย่างที่ว่า ไม่เคยเจอจนคิดว่ามันคงไม่มี
ซึ่งนี่เป็นอีกหนึ่งหน้าที่ของเดือนและดาวมหาลัยในวัน open house วิ่งจากเวทีนี้ไปอีกเวทีและอีกเวทีวนไปวนมาเพื่อโปรโมทมหาวิทยาลัย ถ้าผมรู้ว่าการเป็นเดือนมหาลัยจะเหนื่อยขนาดนี้ผมคงเซย์กู้ดบายไปตั้งแต่แรกแล้ว
“เดี๋ยวอีกยี่สิบนาทีดาวเหนือกับแก้มไปรอสแตนด์บายที่เวทีสามได้เลยนะคะ”
พอลงจากเวทีมาได้ก็มีอีเว้นท์ต่อทันทีแทบไม่มีเวลาให้พักหายใจหายคอกันเลย
“ดาวเหนือไปเลยไหม” แก้มหันมาถามผมด้วยเสียงเหนื่อยไม่แพ้กัน เอาจริงใครไม่เหนื่อยก็คงแปลกใช้งานดาวกับเดือนเป็นแรงงานทาสเชียว
“แก้มไปก่อนเลย เดี๋ยวขอเข้าห้องน้ำก่อนจะรีบตามไป” แก้มพยักหน้าเป็นอันเข้าใจ ก่อนจะเดินแยกกันไปคนละทาง
พอทำธุระเสร็จผมก็รีบเดินออกมาเพื่อตรงไปเวทีสามตามที่บอก มีโอกาสได้เดินผ่านซุ้มของสาขาตัวเองก็รู้สึกภูมิใจ คิดถึงสภาพตัวเองกับเพื่อนที่อดหลับอดนอนเพื่อเตรียมงานก็อดยิ้มไม่ได้ เหนื่อยแต่ก็คุ้มอยากให้มีน้องเข้ามาเรียนเยอะ ๆ จัง
แต่ก่อนที่จะเดินผ่านไปอยู่ ๆ ตาผมก็เหลือบไปเห็นน้องผู้ชายตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งนั่งอยู่ มันจะไม่น่าสนใจเลยและผมคงจะเดินผ่านไปตามปกติ ถ้าไม่เผอิญไปเห็นแววตาว่างเปล่านั่นเข้า ว่างเปล่าแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน บรรยากาศรอบข้างน้องดูราวกับค่อย ๆ มืดลง สิ่งเดียวที่ผมคิดคือปล่อยน้องไว้แบบนี้ไม่ได้ ไม่รู้ทำไมแต่ปล่อยไว้ไม่ได้จริง ๆ ผมก้มลงมองนาฬิกาที่ข้อมือยังพอมีเวลา โอเคเอาไงเอากัน
“น้องครับ”
“...” ไร้เสียงตอบรับ คนตรงหน้าไม่ยอมแม้กระทั่งเงยหน้ามาสบตากับผม อาจจะไม่ได้ยิน
“น้องครับ”
ผมเรียกย้ำไปอีกที รอบนี้คนตรงหน้าค่อย ๆ เงยหน้ามาสบตาผม ผมชะงักไปนิดหน่อยเมื่อได้สบตาเข้ากับดวงตากลมโตคู่นั้นแต่ก็เพียงแป๊บเดียวไม่ทันที่น้องจะสังเกตเห็น ก่อนจะส่งยิ้มที่เป็นเอกลักษณ์ของผมให้น้องเพื่อไม่ให้น้องกลัว น้องหยุดมองหน้าผมพักหนึ่งก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถามว่าผมต้องการอะไร
“น้องว่างไหมครับ มีเวลาให้พี่สักแป๊บไหม”
ผมไม่ทิ้งเวลาให้เสียเปล่ารีบเอ่ยเจตจำนงของตัวเองออกไป ลุ้นและเริ่มคิดว่าถ้าโดยปฏิเสธจะทำยังไง แต่เพียงไม่นานหน้าของคนตรงหน้าก็พยักขึ้นลงเป็นเชิงตอบรับแต่ก็ยังไม่วายส่งสายตาสงสัยมาให้ ผมยิ้มให้ด้วยความพึงพอใจ
น่ารักกว่าที่คิดแฮะ
“ไปกันครับ”
ในเมื่อไม่มีการตอบรับกลับมา ผมเลยเอื้อมมือไปคว้าข้อมือของคนตัวเล็กด้านหน้าไว้ แล้วออกแรงดึงลากน้องให้เดินตามมา
‘ทัศนศิลป์’
โชคดีที่ตรงตำแหน่งที่น้องอยู่กับซุ้มสาขาของผมอยู่ไม่ไกลกันมาก ลากน้องมาแป๊บเดียวก็ถึงแล้ว ถ้าถามว่าผมลากน้องมาที่นี่ทำไมก็คงไม่แน่ใจในคำตอบของตัวเองเหมือนกัน อาจเพราะอยากพามาแนะนำสาขาหรืออาจจะแค่อยากทำอะไรสักอย่างเพื่อให้คนตรงหน้าสดใสขึ้นกว่านี้ สักนิดหนึ่งก็ยังดี
“ยินดีต้อนรับน้องเขาสู่บ้านทัศนศิลป์นะครับ”
“...” ไม่มีการตอบรับใด ๆ มีแต่สายตาที่มองตรงมาที่ผมด้วยความสงสัยปนมึนงง
“คณะของเราเรียนไม่ยากเลย ขอแค่น้องรักในศิลปะ...น้องชอบวาดรูปไหมครับ”
น้องยังคงให้ความร่วมมือโดยการพยักหน้าตอบรับ ทำให้ผมที่เกือบถอดใจเริ่มมีแรงฮึดที่จะแนะนำน้องต่อไป
“ดีเลยครับคณะนี้มันขึ้นอยู่ที่ใจเลยจะเก่งไม่เก่งมันไม่สำคัญขอแค่ใจรักก็พอ”
ผมพยายามอธิบายรายละเอียดต่าง ๆ ของสาขาผมให้น้องฟังอย่างเข้าใจง่ายที่สุด ซึ่งคนเป็นน้องก็รับฟังอย่างตั้งใจ ต่อให้ไม่มีคำพูดตอบรับแต่ถ้าน้องยังรับฟังอยู่ก็ถือว่าโอเค
“เออ...พี่ลืม” อธิบายจนจบก็เพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าลืมแนะนำตัวเอง บ้าไปแล้วไอ้ดาวเหนือ
“พี่ชื่อดาวเหนือนะ”
น้องมองตาผมก่อนจะพยักหน้ารับรู้ ก่อนที่จะเข้าสู้เดดแอร์ ผ่านไปนานเกือบนาทีก็ไม่มีการตอบกลับใด ๆ จนผมต้องเอ่ยถาม
“แล้วน้องชื่ออะไรครับ”
“...”
เงียบ ไม่มีเสียงตอบกลับอะไรเลยหรือน้องไม่ได้อยากคุยกับผมตั้งแต่แรก ไม่รู้ว่าเผลอแสดงสีหน้ายังไงออกไป รู้แค่ตอนนี้ผมทำตัวไม่ถูกเลย น้องยังคงจ้องหน้าผมไม่ยอมละสายตาไปไหน เหมือนกับพยายามมองทุกท่าทางที่ผมแสดงออกอย่างสนใจ ผมจะทำยังไงดี
“...แสง”
เมื่อกี้น้องพูดใช่ไหม
“ครับ?”
“ชื่อปีแสง”
ผมไม่รู้ว่าเพราะอะไรแค่คำตอบสั้น ๆ แต่มีอิทธิพลต่อผมมาก ยิ้มที่กว้างที่สุดของวันนี้ถูกส่งให้คนตรงหน้า ยิ้มจนเมื่อยแก้มแต่ก็ห้ามให้ตัวเองหยุดยิ้มไม่ได้เลย
“น้องปีแสงยินดีที่ได้รู้จักนะครับ”
ขนาดพูดอยู่ผมยังหยุดยิ้มไม่ได้ สงสัยจะเป็นเอามากอาการแบบนี้มันคืออะไรผมไม่รู้ ไม่เข้าใจเลย แต่ทุกอย่างมันก็กระจ่างทันทีเมื่อผมได้รับการตอบรับที่เกินคาดจากคนตรงหน้า
“ยินดีที่ได้รู้จัก...ครับ”
ตึกตัก ตึกตัก
รอยยิ้มเล็ก ๆ ของคนตรงหน้าหยุดทุกการเคลื่อนไหวทุกอย่างรอบตัวดูช้าลง มีแต่หัวใจที่เต้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ
เป็นอะไรไปวะหัวใจ
มันไม่ใช่ยิ้มที่กว้างที่สุดหรือสว่างที่สุด มันเป็นแค่รอยยิ้มเล็ก ๆ ที่หลุดออกมาเพียงชั่วครู่และหายไปจนเกือบมองไม่ทัน แต่แค่เพียงช่วงเวลานั้นมันก็ทำให้ผมละสายตาไปไหนไม่ได้อีกเลย และไม่รู้ว่าอะไรดลใจอยู่ ๆ ในหัวผมก็ได้ยินเสียงของเพลงที่เล่นไปเมื่อกี้ขึ้นมา
‘แต่วันหนึ่งฉันผ่านมาพบเธอตรงนั้น
ดวงใจ เป็นเดือดเป็นร้อนช่างทรมาน
ราวกับโดนมนตร์แม่มดสะกดพลัน
นาทีนั้น ฉันรักเธอทันใด’
ต่อไปนี้คงปฏิเสธไม่ได้อีกแล้วว่ารักแรกพบไม่มีจริง เพราะตอนนี้ผมว่าผมเจอแล้วแหละ รักแรกพบของผม
----
หลังจากผ่านวันนั้นมาผมพยายามหาอะไรทำให้ตัวเองไม่ว่าง พยายามไม่คิดถึงรอยยิ้มนั้น พยายามบอกตัวเองว่าคงไม่ได้เจอน้องอีกแล้วเพราะผมไม่รู้เลยว่าสุดท้ายน้องเลือกเรียนอะไรที่ไหน พยายามทุกอย่าง สุดท้ายก็ไม่เป็นผล ทุกอย่างเท่ากับศูนย์
ผมลืมไม่ได้เลย
ครืด ครืด
นอนคิดอะไรเพ้อเจ้อได้ไม่นานโทรศัพท์ก็สั่นขึ้นเนื่องจากมีคนโทรเข้ามา
‘ก้อย’
“ฮัลโหล”
(ดาวเหนือแกอยู่หอใช่ไหม)
“ใช่ ๆ มีอะไรหรือเปล่า”
(คือวันนี้ฉันมาคุมงานวันแรกพบอะ แล้วมีน้องแพ้กระเทียมแต่ฉันไม่รู้เลยไม่ได้สั่งข้าวอย่างอื่นมาเผื่อ แล้วพอมารู้ตอนนี้จะไปสั่งที่ไหนก็ไม่ได้แล้วร้านข้าวแถวนี้ปิดหมดเลย ถามคนอื่นยังไม่มีใครกลับหอมาเลย เหลือแต่แกคนเดียวแกช่วยทำอะไรมาให้น้องกินได้ไหม)
“ตอนนี้ไม่มีวัตถุดิบอะไรเลยเอาเป็นข้าวไข่เจียวได้ไหม”
(ได้ ๆ ขอแค่ไม่มีกระเทียมเป็นพอ)
“โอเคจะรีบทำแล้วเอาไปให้”
(ขอบคุณมากนะแก)
“ไม่เป็นไร เราเต็มใจ”
หลังรับงานมาเสร็จสับ ผมรีบทำข้าวไข่เจียวอย่างที่บอก เรื่องทำอาหารคงเป็นอีกอย่างที่ผมถนัดอาจจะเพราะต้องทำกินเองเกือบทุกวันเลยทำให้สกิลการทำอาหารของผมพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ จนได้รับคำชมว่าอร่อยจากสายลมเพื่อนที่สนิทที่สุดซึ่งเป็นคนที่กินอาหารยากมากก็ถือว่าเป็นบุญของผมแล้ว
พอทำอาหารเสร็จแล้วผมก็ขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์คู่ใจใส่หมวกกันน็อกแล้วรีบแว้นออกมาอย่างรวดเร็ว กลัวน้องจะได้กินไม่ทัน เวลาพักก็มีอยู่น้อยนิด ต้องทำเวลาสักหน่อย
“ขอบคุณอีกครั้งนะแก”
“ไม่เป็นไร เอาไปให้น้องเถอะเดี๋ยวน้องกินไม่ทัน”
ผมวางหมวกกันน็อกลงข้าง ๆ ก่อนจะยื่นกล่องข้าวไปให้ก้อย
“แกจะกลับเลยใช่ไหม”
“ใช่ ว่าจะเลยไปทำธุระพอดี”
“โอเคงั้นเดี๋ยวเราเก็บกล่องข้าวไว้ให้”
“โอเค ไปก่อนนะ”
ผมโบกมือลาก้อยสองสามทีก่อนจะรีบเดินออกมา เดินออกมาจนถึงรถเพิ่งจะคิดขึ้นได้ว่าลืมหมวกกันน็อก วางแล้วก็ทิ้งไว้เลย อยากจะตบหัวตัวเองสักทีนิสัยนี้แก้ไม่หายจริง ๆ
ผมเดินกลับมาที่เดิมหยิบหมวกกันน็อกที่วางอยู่ขึ้นมาก่อนจะหันหลังเพื่อจะเดินกลับไปที่รถ แต่อยู่ ๆ สายตาก็ไปสะดุดที่ร่างของก้อย ไม่รู้อะไรดลใจอยู่ ๆ ผมก็อยากรู้ขึ้นมาว่าน้องคนไหนที่จะได้กินข้าวของผม แอบดูหน่อยคงไม่เป็นไร
ผมเดินเลี่ยงออกมาแอบดูในมุมที่เห็นอีกฝ่ายได้ชัดเจน
“...ปีแสง”
ปีแสงจริง ๆ ตัวเป็น ๆ อยู่ตรงหน้าผม น้องคนที่แพ้กระเทียมคือปีแสงเหรอ ปีแสงเรียนสาขาเดียวกับผมเหรอ คำถามมากมายวิ่งวนอยู่ในหัวของผม ก่อนที่ทุกคำถามจะถูกตอบกลับจากการที่ปีแสงเอื้อมมือไปรับกล่องข้าวและเปิดออกดู รอยยิ้มที่ยิ้มให้กล่องข้าวของผม ทุกอย่างอยู่ในสายตาของผมทั้งหมด เราได้เจอกันอีกแล้วนะ
ผมอยากจะขอบคุณอะไรก็แล้วแต่ที่เป็นสาเหตุทำให้น้องมาอยู่ตรงนี้และทำให้เราได้กลับมาเจอกันอีก
ขอบคุณจริง ๆ
----
ไป ไม่ไป ไป ไม่ไป ไป ไม่ไป...
“สรุปวันนี้คุณจะไปดูห้องเชียร์ไหม”
“แป๊บหนึ่งขอคิดก่อน”
“นี่ผมให้คุณคิดเกือบชั่วโมงแล้วนะ”
“ก็มันยังตัดสินใจไม่ได้”
ประเด็นการถกเถียงนี้มันเกิดจากตัวผมเองล้วน ๆ ปัญหามันอยู่ที่ว่าวันนี้เข้าห้องเชียร์วันแรกผมอยากเจอน้องแต่ผมก็กลัวว่าถ้าเจอน้องจะเก็บอาการไว้ไม่อยู่ กลัวจะโป๊ะแตกกลางห้องเชียร์
ใจหนึ่งก็อยากไปอีกใจก็ย้อนแย้ง
“ถ้าคุณไม่อยากไปก็ไม่ต้องไป”
“อยากไปสิ”
“งั้นก็ไป”
“แต่ก็ไม่อยากไปด้วยอะ”
“...” โดนผมพูดวกไปวนมาแบบนี้ สายลมเลยเปลี่ยนจากการพูดมาเป็นส่งสายตามากดดันแทนประมาณว่า ‘ถ้ายังลีลาอีกจะไม่ได้ตายดี’
“ไปก็ได้แต่ขอไม่เข้าไปนะ”
“แล้วจะไปทำไม”
“เหอะน่า” ผมตัดจบแค่นั้นก่อนจะดันร่างเพื่อนให้เดินไปข้างหน้าเพื่อตรงไปยังห้องเชียร์
ห้องเชียร์ยังคงคึกคักเหมือนทุกครั้งผมเลือกนั่งในมุมอับสายตาที่ไม่มีใครมองเห็น กวาดสายตาหาคนที่อยากเจอและก็นั่นไงเจอจริง ๆ ด้วย แต่ทำไมหน้าน้องดูเศร้า ๆ ล่ะเป็นอะไรหรือเปล่า
กิจกรรมดำเนินไปเรื่อย ๆ จนถึงช่วงว้าก เฮดว้ากทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายได้อย่างดี ผมคอยสังเกตหน้าน้องที่ซีดลงอย่างเห็นได้ชัด ไม่สบายหรือเปล่า ไม่ทันที่จะได้คิดอะไรมากไปกว่านั้นอยู่ ๆ ร่างเล็กของน้องก็ล้มลงกับพื้น ผมรีบเด้งตัวลุกขึ้นทันทีไม่ทันที่สมองจะสั่งการขาของผมก็วิ่งไปหาน้องแล้ว เสียงโวยวายของคนที่น่าจะเป็นเพื่อนปีแสงบอกให้ผมช่วย ผมพยักหน้ารับรีบเข้าไปอุ้มน้องแล้วรีบวิ่งไปที่ห้องพยาบาลทันที สัมผัสได้เลยว่าน้องตัวร้อนมาก ผมโคตรเป็นห่วงน้องเลย ถ้าผมรู้ตั้งแต่แรกว่าน้องไม่สบายเรื่องมันคงไม่เป็นแบบนี้
โชคดีที่อาจารย์หมอบอกว่าปีแสงไม่ได้เป็นอะไรมากแค่เป็นลมเพราะพิษไข้ ผมนั่งเฝ้าน้องไม่อยากลุกไปไหนจนผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง น้องฟื้นขึ้นมาด้วยอากาศสะลึมสะลือบอกว่าตัวเองฝันไปจนผมต้องเอื้อมมือไปบีบแก้มให้อีกฝ่ายรู้ตัวว่านี่คือเรื่องจริง พอรู้ว่าเป็นเรื่องจริงน้องก็ทำท่าทางตกใจพูดติด ขัดจนผมหลุดขำ น่ารักชะมัด
ตอนแรกกลัวจะแย่ว่าน้องจะลืมผมไปแล้ว แต่เกินคาดน้องจำผมได้ซึ่งไม่ใช่ผมคนเดียวหรอกที่สงสัยว่าทำไมน้องถึงจำผมได้ น้องเองก็คงสงสัยเหมือนกันว่าผมจำน้องได้ไง จำไม่ได้ก็แปลกแล้วก็น้องเป็นคนเดียวที่ผมลากมาที่ซุ้มสาขา เป็นคนเดียวที่ผมมองผ่านไปไม่ได้ และน้องก็เป็นคนเดียวกับคนที่ทำให้ผมเพ้อเจ้อเป็นบ้าเป็นบอมาหลายวัน
เวลาผ่านไปเร็วดีแฮะต้องแยกกันแล้ว ผมที่กำลังยื่นกระเป๋าคืนให้คนตรงหน้าชักมือกลับ มองท้องฟ้าอย่างเพิ่งนึกขึ้นได้มืดแล้วนี่นามีข้ออ้างไปส่งน้องแล้ว น้องไม่ได้ปฏิเสธอะไรเพราะฉะนั้นผมจะถือว่าน้องตอบรับผมแล้วกัน
“ขึ้น...ยังไง”
แทบหลุดขำตอนที่น้องมองมอเตอร์ไซค์แล้วพูดขึ้น ดีนะยังพอเก็บอาการอยู่ ผมค่อย ๆ บอกวิธีขึ้นรถให้น้องทำตามพร้อมกับจับมือน้องมาเกาะเอวผมไว้ มือน้องนิ่มมากจนผมเลือกที่จะไม่ปล่อยจับเนียน ๆ ไปแบบนี้น้องไม่รู้หรอกมั้ง ผมขับรถออกมาช้า ๆ ไม่รู้ว่าเพราะกลัวน้องตกรถหรืออาจจะแค่อยากยืดเวลาให้ยาวขึ้น แต่คอนโดน้องคงอยู่ใกล้มหาลัยมากเกินไป ขับมาแป๊บเดียวก็ถึงซะแล้ว อย่างที่เขาบอกกันสินะเวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปไวเสมอ
“…ฝันดีครับ”
แค่คำสั้น ๆ ว่าฝันดี คำที่ใคร ๆ ก็พูดได้ แต่ไม่รู้ทำไมพอเป็นน้องที่พูดคำนี้ออกมามันกลับโคตรพิเศษอะ อย่างน้อยผมก็มั่นใจแล้วว่าวันนี้ผมคงนอนฝันดี
----
ครืด ครืด
P-S เพิ่มเพื่อนคุณจากไอดี
ใคร?
P-S : สวัสดีครับ
P-S : ส่งรูปแล้ว
P-S : นี่เป็นคำใบ้ของพี่ใช่ไหมครับ
ผมเลิกคิ้วดูแจ้งเตือนอย่างสงสัยพอกดเข้าไปดูเลยรู้ว่าน้องรหัสเป็นคนแอดมา ลืมไปเลยว่าให้คำใบ้เป็นไอดีไลน์ไป
N⬆ : ใช่ นั่นคำใบ้ของพี่เอง
N⬆ : น้องเป็นคนจับได้ใช่ไหม
N⬆ : น้องชื่ออะไร?
P-S : ชื่อปีแสงครับ
N⬆ : ว้าววววว
เฮ้ย อะไรมันจะบังเอิญขนาดนั้น ปีแสงเนี่ยนะที่เป็นน้องผม ตกใจจนมือลั่นว้าวไปหนึ่งที สงบสติอารมณ์ก่อนนะ ตอนแรกก็คิดว่าจะแกล้งเล่นตัวใส่น้องรหัสอยู่แหละแต่ไป ๆ มา ๆ กลายเป็นต้องตามตื๊อให้น้องหาผมแทน ตอนที่น้องบอกจะไม่ตามหาผมนี่เฟลเลย โชคดีที่พอตื๊อไปตื๊อมาน้องเปลี่ยนใจ เกือบแล้ว
P-S : อยากเจอ
N⬆ : แล้วพี่จะรอเจอน้อง
N⬆ : อยากเจอเหมือนกัน…
----
“ลมมม อยากเปย์น้องต้องทำไง”
“คุณก็ซื้อขนมแล้วเอาไปให้น้อง”
“ถ้าเอาไปให้น้องก็รู้สิว่าเป็นพี่รหัส”
“งั้นผมเอาไปให้”
“แต่...อยากเจอน้อง”
“ก็เอาไปให้และบอกน้องว่าพี่รหัสฝากมา”
“เฮ้ยคิดได้ไงเจ๋ง”
“คุณนั่นแหละทำไมคิดไม่ได้”
จุก คุยกับสายลมทีไรเหมือนโดนหลอกด่าทุกที แต่ไม่เป็นไรผมชินและไม่ถือ
ได้ไอเดียดี ๆ มาแล้วผมไม่รอช้ารีบตรงเข้าเซเว่นและหยิบขนมเกือบทุกอย่างที่มีลงตะกร้า รู้ตัวอีกทีก็แถบใส่ถุงใหญ่ไม่หมด ผมไม่ได้รวยมาจากไหนหรอกออกจะหนักไปทางจนด้วยซ้ำแต่ก็อยากให้น้องกินเยอะ ๆ ถ้าผมรวยกว่านี้จะซื้อหูฉลามให้กินเลยติดอยู่คำเดียวว่าจน
ผมแอบอยู่ตรงหลังเสามองน้องที่เดินออกมาจากห้องหลังจากที่ผมส่งข้อความไปขอให้น้องออกมาหา สูดหายใจเข้าลึก ๆ รวบรวมความกล้า และก้าวเดินออกไปหา
“แฮร่!!”
ไม่คิดว่าน้องจะตกใจจนนิ่งไปขนาดนั้น นี่ผมน่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอ ผมต้องขอโทษน้องตั้งนานกว่าน้องจะยอมคุยกับผม โอ๊ยเกือบไปแล้วไหมล่ะ น้องมองถุงขนมอย่างงง ๆ พอผมบอกว่าพี่รหัสฝากมาก็พยักหน้าเข้าใจ รอยยิ้มบาง ๆ ผุดขึ้นมาเล็กน้อยและบางเบาแต่นั่นแหละที่ทำให้วิญญาณผมแทบหลุดลอย ผมรีบเอื้อมมือไปลูบหัวน้องหนึ่งทีก่อนจะรีบเดินออกมา อยู่นานกว่านี้มีหวังแย่แน่
ก้มลงมองมือตัวเองข้างที่เอื้อมไปลูบหัวน้องเมื่อกี้ ก่อนจะยกขึ้นทาบกับหน้าตัวเอง ความอบอุ่นยังคงมีอยู่
อบอุ่นจัง...
----
หลายวันมานี้ผมไม่ได้เจอน้องเลย เปิดเทอมแค่อาทิตย์เดียวงานก็เต็มไปหมด ไหนจะต้องทำงานพิเศษทุกคืนอีก เฮ้อ...ชีวิตคนจนมันเหนื่อยชะมัด
แต่เพราะไม่ได้เจอผมเลยมีเวลานั่งคิดทบทวนหลาย ๆ อย่างที่ผ่านมา ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเวลาเจอน้องผมมักจะรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง ผมไม่เคยเป็นแบบนี้กับใครมาก่อนไม่รู้จะจัดการความรู้สึกแบบนี้ได้ยังไง
“แล้วเขาชอบคุณไหม”
นี่เป็นคำพูดของสายลม ผมเล่าให้สายลมฟังทุกอย่าง ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และทุกความรู้สึกที่เป็นอยู่ สายลมรับฟังผมก่อนจะถามคำถามนี้ที่ผมก็รู้คำตอบดี
นั่นสิ...น้องไม่ได้ชอบผม
หรือผมควรถอยออกมาไม่อยากให้มันถลำลึกไปมากกว่านี้ เพราะคนที่เจ็บมีแค่ผม แค่กลับไปใช้ชีวิตธรรมดาเหมือนเดิม
ความสัมพันธ์ของผมกับปีแสงควรจบลงที่คำว่าพี่รหัสและน้องรหัส ผมคิดแบบนั้นเลยทักไปถามไถ่ความเป็นไปของน้องทุกวัน ในฐานะพี่รหัส มันคงอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะไม่ยุ่งกับน้องเลยอย่างน้อยแค่รู้ว่าน้องสบายดีไหมก็ยังดี
หรือเพราะสุดท้ายผมก็ตัดปีแสงออกไปไม่ได้กันนะ...
“ดาวเหนือคะคืนนี้ไปต่อกับน้ำฟ้านะคะ”
ผมมองผู้หญิงตรงหน้าเธอสวยตามฉบับของผู้หญิงที่ถ้าผู้ชายเห็นคงเหลียวหลัง และนี่คงเป็นความเห็นแก่ตัวของผมที่อยากพิสูจน์ความรู้สึกตัวเองเลยต้องใช้ผู้หญิงคนนี้เป็นเครื่องมือ ผมค่อย ๆ โน้นหน้าลงไปตามแรงดึงของอีกฝ่ายแต่ในขณะที่ปากกำลังจะสัมผัสกันผมกับยกมือขึ้นดันไหล่อีกฝ่ายไว้ ผมทำไม่ได้หน้าของน้องวนเวียนอยู่ในหัวผมไม่ยอมหายไปไหน มันทำให้ผมรู้เลยว่าความรู้สึกจริง ๆ ผมเป็นยังไง แต่ก่อนจะผละออกสายตาผมเหลือบไปเห็นปีแสงที่มองอยู่ สายตาผิดหวังถูกส่งมา ก่อนที่ร่างเล็กของปีแสงจะหมุนตัวแล้วรีบเดินออกไปจากตรงนี้
“ขอโทษนะครับ”
ผมไม่ได้สนใจผู้หญิงตรงหน้าอีก รีบเดินตามปีแสงออกมา ในสมองผมฉายวนแต่ภาพของปีแสงที่ส่งสายตาผิดหวังมาให้
ทำไมถึงมองผมแบบนั้น
เดินตามออกมาได้สักพักผมก็เห็นภาพของปีแสงที่ยกเหล้าขึ้นดื่มแก้วแล้วแก้วเล่าไม่ยอมหยุด สายตาของน้องว่างเปล่าเหมือนวันแรกที่ผมเจอน้อง ผมได้แต่เฝ้ามองอยู่ไกล ๆ ไม่มีความกล้าพอจะเดินเข้าไปหา
“คุณเป็นอะไร”
สายลมที่เห็นอากาศผิดปกติของผมเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย แต่ก็หยุดทุกคำถามลงเมื่อมองตามสายตาของผมจนไปบรรจบที่ปีแสง
“คุณไปเคลียร์กับน้องให้รู้เรื่องไหม”
“เรื่องอะไร”
“ทุกเรื่องที่คุณอยากรู้ จะได้รู้ไปเลยว่าคิดตรงกันไหม”
“...”
“ทำไมทีแบบนี้คุณปอดแหก”
คำด่าของสายลมก็คงเหมือนแรงผลักให้ผมกล้าเดินไปหาน้อง ผมเดินเข้าไปบอกเพื่อนของน้องว่าจะพาปีแสงกลับเอง ในตอนแรกเพื่อนน้องก็ไม่ยอมจนได้สายลมมาช่วย ก็ไม่รู้หรอกไปรู้จักกันตอนไหนแต่ก็ต้องขอบคุณจริง ๆ
ผมแบกน้องที่เมาไม่ได้สติขึ้นหลัง เดินออกมาสักพักก็รู้สึกได้ว่ามีคนไถหน้ากับแผ่นหลัง เป็นสัญญาณว่าน้องรู้สึกตัวแล้ว ผมวางน้องลงบนเก้าอี้ที่อยู่ระหว่างทางก่อนจะย่อตัวนั่งลงด้านหน้าเพื่อมองหน้าน้อง รอบนี้น้องก็ไม่เชื่อว่าเป็นผมอีกแล้วโทษว่าเพราะเมา ผมเลยเอื้อมมือไปจับมือน้องให้ทาบลงที่หน้าผม เพื่อบอกว่านี่คือดาวเหนือนะ ตัวจริงเสียงจริงเลย
“…คนใจร้าย”
ผมไม่รู้เลยว่าผมทำอะไรให้น้องโกรธสายตาของน้องที่ส่งมามันว่างเปล่าจนน่ากลัว
“ผมอึดอัด”
“น้องเป็นอะไรครับอยากอ้วกหรือเปล่า” ปากพูดออกไปตามที่คิด น้องดื่มไปเยอะขนาดนั้นไม่แปลกเลยที่น้องจะอยากอ้วก
“ก็เพราะพี่เป็นแบบนี้ผมถึงอึดอัด”
“ทำไม...” ผมไม่เข้าใจ
“ตอนแรกผมไม่รู้ว่าที่รู้สึกอยู่มันคืออะไร”
“...” ผมได้แต่นั่งฟังคนตรงหน้าพูดเงียบ ๆ คงอาจจะเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ทำให้น้องพูดออกมาเยอะกว่าปกติ
“ผมมีความสุขทุกครั้งที่ได้เจอ อยากเจอบ่อย ๆ”
“...”
“ผมไม่ชอบเห็นหน้าเศร้า ๆ ผมอยากให้พี่ยิ้ม”
“...” ปีแสงทำไม
“ผมเจ็บตอนเห็นพี่...จูบกับคนอื่น”
“ปีแสง...” พี่ยังไม่ได้จูบเลย ทำไมปีแสงถึงเป็นแบบนี้ล่ะ พี่ไม่เข้าใจ
“ผมรู้สึกเหมือนโลกผมดับลงทั้ง ๆ ที่มันก็ไม่เคยมีแสงมาตั้งแต่แรก”
“...” สายตาของน้องค่อย ๆ หม่นแสงลงจนมืดสนิท ที่เป็นแบบนี้เพราะผมใช่ไหม ทั้ง ๆ ที่ผมเป็นคนที่อยากให้น้องมีความสุขแท้ ๆ ทำไมถึง เป็นแบบนี้
“ใจผมเหมือนโดยเหยียบจนยับเยินดูไม่ได้เลย ฮ่า ๆ”
เสียงหัวเราะที่โคตรฝืดรอยยิ้มที่ส่งก็ฟื้นอย่างไม่ต้องสงสัย นัยน์ตาของน้องเหมือนคนร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตาสักหยดไหลออกมา ซึ่งเป็นตัวที่บ่งบอกว่าคนคนนี้เข้มแข็งมากขนาดไหน
“พี่...” เสียงของผมหายไปโดยปริยาย พยายามจะเค้นเสียงเพื่อตอบกลับแต่ก็ไม่มีเสียงไหนที่ยอมเปล่งออกมา
“ทุกอย่างมันประดังเข้ามาจนผมสับสน”
“...” ผมจะต้องทำยังไงผมไม่อยากให้น้องเป็นแบบนี้
“แต่ตอนนี้ผมว่าผมรู้แล้ว ว่าจริง ๆ ผมรู้สึกยังไง”
“...”
“ผมชอบพี่ พี่ดาวเหนือ”
สิ้นสุดคำพูดปีแสงก็ค่อย ๆ ทิ้งตัวลงจนหมดสติไปในที่สุด ผมรับร่างของปีแสงไว้ก่อนจะค่อย ๆ แบกขึ้นหลัง รอยยิ้มปรากฏขึ้นตั้งแต่จบประโยคนั้น หุบยิ้มไม่ได้เลย ขอโทษนะที่พี่โง่มาตั้งนานและขอบคุณที่อธิบายให้คนโง่ ๆ แบบพี่รู้ว่าน้องรู้สึกยังไง
ในเมื่อเราคิดตรงกันต่อไปนี้ผมจะไม่ยอมปล่อยโอกาสให้หลุดมือ เตรียม พร้อมรับมือได้เลยปีแสงต่อไปนี้พี่จะเดินหน้าเต็มกำลัง
พี่จะไม่ปล่อยน้องไปอีก