NO.4 ก้าวแรกที่เข้าไป
NO.4
ก้าวแรกที่เข้าไป
‘My name’
แฮ่ก ๆ
โอ๊ยเหนื่อยทำไมต้องวิ่งเป็นไอ้บ้าทุกวันเลยวุ้ย เช้าอันสดใสใช้ชีวิตแบบสโลไลฟ์แม่งไม่มีจริงสำหรับผม ผมไม่เข้าใจว่ารถเมล์มีนโยบายขับแข่งกับเต่าหรือยังไง ทำไมมันถึงได้ช้าขนาดนี้ ช้าจนผมคิดว่าถ้าแข่งกับเต่าก็คงเป็นเต่าอีกนั่นแหละที่ชนะ อยากจะเพิ่มเงินให้กระเป๋ารถเมล์สักยี่สิบบาทช่วยทำให้มันเร็วกว่านี้ได้ไหม ผมก็รู้แหละว่าชีวิตต้องการความปลอดภัยแต่ผมขออันตรายสักวันเถอะ ถ้าผมเข้าเรียนคาบนี้สายมีหวังอาจารย์ป้าได้โยนผมออกจากห้องแน่
และด้วยความสามารถของผม ผมก็สามารถวิ่งเร็วจนแซงมอเตอร์ไซค์เข้ามาทันอย่างฉิวเฉียด รอดแล้วโว้ย
“เลต” เสียงเล็ก ๆ ดังขึ้นข้างตัว ผมหันไปมองหน้ามันไปหอบไป โอ๊ยดูสารรูปกูด้วยกูรีบสุดแล้ว
“มาทันก็บุญแค่ไหนแล้วเพื่อนรัก”
กว่าจะหยุดหอบตอบกลับไปได้นี่ต้องใช้เวลาสักพักเลยนะ
โครก...
“หิวว่ะ” ถึงผมไม่พูดออกไปยังไงคนข้าง ๆ ก็ต้องรู้เล่นท้องร้องดังเบอร์นั้น
รีบจัดจนลืมกินข้าวได้ไงวะ นี่มันจุดจบของมายเนมเหรอ ในขณะที่ผมคิดเพ้อเจ้อไปไกลอยู่ ๆ ก็มีขนมปังยื่นมาตรงหน้า ผมหันไปมองคนที่ยื่นให้ไม่พ้นจะเป็นไอ้แคระข้าง ๆ
“น่ารักจริง ๆ เลย” ผมยื่นมือไปขยี้หัวมันหนึ่งทีอย่างมันเขี้ยว ไอ้แคระรู้ดีจริง ๆ
“...” ไม่มีคำตอบรับมีแต่สายตามองค้อนกลับมาก่อนที่จะค่อย ๆ จัดทรงผมที่เสียทรงให้เข้าที่
ผมชินแล้วกับการคุยคนเดียวเวลาอยู่กับปีแสง ปีแสงยังคงเสมอต้นเสมอปลาย ตั้งแต่แรกมันไม่ค่อยพูดยังไงตอนนี้มันก็ยังเป็นเหมือนเดิม
ถ้าถามว่าทำไมผมเลือกที่จะคบปีแสงเป็นเพื่อนเหตุผลก็ยังเหมือนเดิม เพราะว่าถูกชะตา ปีแสงถ้ามองจากภายนอกก็จะดูเป็นคนที่เข้าถึงยาก เงียบ ไม่สุงสิงกับใคร แต่พอผมได้มารู้จักกับปีแสงมันตรงกันข้ามกับที่เห็นเลย จริง ๆ ปีแสงก็เป็นแค่คนคนหนึ่งที่แสดงออกไม่เป็น เข้าร่วมสังคมกับคนอื่นไม่เก่งและเป็นคนที่โคตรใสซื่อ
ปีแสงเป็นคนน่ารักไม่รู้ว่าคนอื่นเห็นไหมแต่ผมเห็น ผู้ชายตัวเล็ก ๆ ที่โคตรผอมเคยคิดว่าถ้ามีลมพัดมาแรง ๆ หน่อยมันอาจจะปลิวไปเลย ผมสีน้ำตาลเข้มยาวละต้นคอขาว ผมหน้าตัดเป็นหน้าม้าแสกกลางเล็กน้อยรับกับรูปหน้า ผิวขาวจัดเหมือนชีวิตนี้ไม่เคยออกมาโดนแดดยิ่งส่งเสริมลุคคุณหนูเพิ่มขึ้นไปอีก ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่มันสมควรสว่างแต่ดันหม่นแสงอย่างไม่เป็นธรรมชาติตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ และประเด็นที่ผมตื่นเต้นคือปีแสงดัดฟัน เพิ่งสังเกตเห็นเนี่ยแหละคือมันไม่ค่อยได้พูดไง พูดก็อ้อมแอ้มอยู่ในลำคอ ยิ้มทีก็แค่มุมปาก เนี่ยกว่าจะสังเกตเห็นก็นานเลยและยิ่งพอมันยิ้มแล้วเห็นเหล็กดันฟันไปด้วยคือใครเห็นก็ต้องหวั่นไหวบ้างแหละ
แต่เว้นผมไว้สักคนนะผมไม่ได้รู้สึกเชิงชู้สาวกับไอ้แคระนี่ แต่สิ่งที่ผมรู้สึกกลับเป็นความเอ็นดู ปีแสงเหมือนน้องสาวผมมาก มองกี่ที ๆ ก็เหมือน ผมเลยรู้สึกอยากปกป้องปีแสงได้เหมือนที่ผมปกป้องน้องสาว คนซื่อ ๆ ไม่ทันคนแบบปีแสงขืนปล่อยให้อยู่คนเดียวคงโดนหลอกเข้าสักวัน
ตอนผมเจอปีแสงครั้งแรกคิดไม่ออกเลยว่าคนแบบนี้มาทำอะไรที่คณะนี้ แต่พอได้รู้เหตุผลเท่านั้นแหละสตั๊นไปสามวิเลยครับ คนบ้าอะไรตามผู้ชายมาเรียนแถมตามมาเพราะรอยยิ้มด้วย โดนป้ายยาเปล่าวะ แต่พอลองสังเกตตอนที่ปีแสงพูดถึงพี่ดาวเหนือดวงตาที่หม่นแสงอยู่ตลอดเวลากลับมีประกายบางอย่างที่ผมไม่เคยเห็น ไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่รู้ว่าดวงตาแบบนี้แหละที่เหมาะกับปีแสงที่สุด เลยทำให้ผมอยากช่วยอยากเห็นมันมีความสุข
และพอผมได้เจอพี่ดาวเหนือครั้งแรกผมหมดทุกข้อสงสัย เข้าใจแล้วทำไมคนคนนี้ถึงมีอิทธิพลกับปีแสงขนาดนั้น พี่เขาเหมือนแสงสว่างเจิดจ้าและอบอุ่น สำหรับคนที่หม่นแสงแบบปีแสงที่เฝ้าหาแสงสว่างให้ตัวเองพอได้มาเจอแสงที่สว่างขนาดนี้คงไม่แปลกที่จะต้องการ แต่ก็นั่นแหละยิ่งสว่างคนต้องการที่จะได้มาครอบครองก็ยิ่งเยอะขึ้น คนที่ฮอตที่สุดในคณะนี้ก็หนีไม่พ้นพี่ดาวเหนือไม่ว่าผมจะเดินไปทางไหนก็จะได้ยินคนพูดถึงอยู่ตลอดเวลา ยากแล้วว่ะปีแสงจะฝ่าฝูงคนไปดึงพี่เขามาได้ยังไง
แต่มันมีบางอย่างที่แปลก ๆ วันที่ปีแสงเป็นลมคนที่วิ่งฝ่าคนเข้ามาด้วยความรีบร้อนก็คือพี่ดาวเหนือ ผมเฝ้าดูสีหน้าของพี่ดาวเหนือสายตาที่ทอดมองปีแสงมันไม่ธรรมดา มันไม่ใช่สายตาของรุ่นพี่ที่ห่วงน้องปกติ มันมากกว่านั้น ต่อให้ผมไม่รู้แน่ชัดว่ามันหมายความว่าอะไรแต่ผมว่าปีแสงคงเริ่มมีหวังแล้วแหละ
“มึงวันนี้โดดห้องเชียร์กัน”
หลังจากชั่วโมงนรกแห่งการเรียนผ่านพ้นไป ผมแบกร่างไร้วิญญาณออกมา ที่เห็นอยู่นี่คือกายหยาบวิญญาณผมหลุดออกไปตั้งแต่ชั่วโมงแรกของการเรียนแล้ว ไร้ซึ่งอารมณ์ใด ๆ ที่จะเข้าห้องเชียร์
“...” ปีแสงหันมามองผมด้วยความสงสัย ไม่สงสัยก็แปลกก็ผมมันเด็กกิจกรรมตัวจริงกระทิงแดง วันไหนปีแสงทำท่าจะไม่เข้าผมก็ลาก สังขารมันไปด้วยตลอด
“กูขี้เกียจอะ เย็นนี้ไปกินเหล้ากันเถอะ”
ใช่วันนี้ผมมีแผนอยากปาร์ตี้ เพื่อสานต่อความฝันที่ว่าถ้าได้เข้ามหาลัยเมื่อไหร่จะเมาให้เสียหลัก เสียหมาไปเลย เอาให้คลานกลับบ้านไม่ไหว หลังอดทนอดกลั้นมานานตอนนี้มันถึงเวลาปลดปล่อยแล้ว
“ดื่ม...ไม่เป็น”
ไม่ต้องพูดกูก็ดูออกไอ้น้อง
“ยิ่งไม่เป็นยิ่งต้องลองเว้ย”
“...”
นิ่งไปเลยสงสัยคิดหนัก แต่บอกไว้เลยว่าผมมีข้อเสนอที่ปีแสงไม่มีวันปฏิเสธแน่นอน
“อยากเจอพี่สมายไหม”
“...อยาก”
“ถ้าอยากเจอก็ต้องไป”
“ทำไม”
“กูได้ข่าวว่าพี่เขาทำงานพิเศษที่ร้าน wind ถ้าอยาก...”
“ไป”
ยังไม่ทันจะพูดจบประโยค ไอ้แคระก็รีบตอบรับกลับมาทันที ทีแบบนี้ไม่เห็นคิดนานเลยนะ สายตาที่เคยหม่นแสงเริ่มมีประกายวาววับขึ้นเมื่อได้ยินโอกาสที่จะได้เจอบุคคลที่อยากเจอมาทั้งวัน
“งั้นกลับไปเปลี่ยนชุดก่อนแล้วเจอกันสองทุ่มหลังมอ”
พอสรุปเรียบร้อยผมก็รีบเด้งตัวออกมา โบกมือลาหนึ่งทีและหมุนตัวเดินแยกออกมา ไม่ต้องรอคำตอบรับเพราะมันไม่เคยมีอยู่แล้วเอาเป็นว่ามองตาแล้วเข้าใจก็พอ
ผมก็แค่เพื่อนคนหนึ่งที่อยากเห็นเพื่อนมีความสุข ถึงโอกาสของปีแสงมันจะมีแค่หนึ่งเปอร์เซ็นต์ ผมก็พร้อมเสี่ยงไปกับมัน ไม่ต้องกลัวนะปีแสงมายเนมคนนี้จะช่วยจนสุดความสามารถเลย
‘End My name’
----
เวลา 20.10 น.
N⬆ : น้องรหัสพี่ทำอะไรอยู่นะ
P-S : รอเพื่อนอยู่ครับ
N⬆ : จะไปไหนกันเหรอ
P-S : ไปร้าน wind ครับ
N⬆ : จริงดิพี่ก็อยู่ที่ร้าน เราอาจจะได้เจอกัน
N⬆ : มองหาพี่ด้วยนะ
P-S : ผมไม่รู้ว่าพี่คือใคร
P-S : จะมองหายังไง
N⬆ : 5555555
N⬆ : นั่นสิ งั้นพี่จะมองหาน้องเอง
โทรศัพท์ที่นาน ๆ ครั้งจะมีแจ้งเตือนสักทีตอนนี้กลับมีแจ้งเตือนเข้ามาทุกวัน ตั้งแต่วันแรกที่ได้คุยกับพี่รหัสผมไม่รู้เลยว่าผมสนิทกับพี่รหัสได้ยังไงทั้งที่ไม่รู้ว่าอีกคนคือใครแต่เวลาคุยด้วยกลับรู้สึกสบายใจ ทุก ๆ วันคนเป็นพี่จะคอยทักมาถามไถ่ความเป็นไป บางวันก็คุยเยอะบางวันก็คุยน้อยแต่ก็ต้องได้คุยกัน คุยกันจนกลายเป็นความเคยชินถ้าวันไหนไม่ได้คุยด้วยคงรู้สึกแปลกน่าดู
“รอนาน...ไหมวะ”
ดูจากเสียงที่ถามออกมากระท่อนกระแท่นเพราะต้องหอบหายใจแรง ๆ ไปด้วย ก็ไม่พ้นคงจะวิ่งมาอีกสินะ ทั้ง ๆ ที่ผมรอได้แท้ ๆ ไม่เห็นต้องรีบเลย
“ไม่”
“โอเคงั้นไปกันเถอะ”
มายเนมเปลี่ยนจากการจับเข่าก้มหายใจหอบ มาเป็นกอดคอผมแล้วพาเดินไปที่จุดหมาย ระหว่างทางบรรยากาศครึกครื้นไปด้วยผู้คน มีร้านค้ามากมายแถมมีตลาดเล็ก ๆ ด้วย ผู้คนส่วนใหญ่ที่มาเดินจับจ่ายก็หนีไม่พ้นนักศึกษา เหมือนกับตรงนี้เป็นชุมชนของนักศึกษาขนาดย่อม ๆ ผมเพิ่งรู้ว่าหลังมหาลัยมีอะไรแบบนี้อยู่ด้วยปกติก็เดินออกข้างหน้าและตรงกลับคอนโดเลยไม่เคยมีโอกาสได้เดินมาแถวนี้
เดินมาสักพักก็ถึงร้าน wind ร้านเหล้าที่ถูกออกแบบเป็นกึ่งผับกึ่งนั่งเล่นการตกแต่งทุกอย่างดูมีสไตล์ ดึงดูดสายตาคนเดินผ่านไปผ่านมาได้เป็นอย่างดี พอเดินมาถึงหน้าร้านเนมก็ไม่รอช้าลากตัวผมเข้าไปด้านในทันที
เมื่อเปิดประตูออกสิ่งแรกที่ได้สัมผัสคือเสียงเพลงที่ดังแทรกออกมามีบางช่วงที่เบาและบางช่วงที่ดังตามจังหวะ ผู้คนมากมายเดินเบียดเสียดกันเต็มไปหมดทำให้ทางเดินที่ควรจะมีหายไป กว่าจะเดินแทรกเข้ามาข้างในได้ก็เล่นเอาเหนื่อย
โชคดีที่มีโต๊ะว่างพอให้เลือกเราเลยเลือกนั่งตรงที่นั่งใกล้ ๆ เวที ผมนั่งมองบรรยากาศที่ไม่คุ้นเคย มองดูแสงสีที่สาดส่องไปทั่วทุกบริเวณ เสียงเพลงยังคงเปิดอยู่ตลอดเวลาเพื่อสร้างบรรยากาศ เสียงของผู้คนที่สนุกสนานปนกับเสียงของผู้คนที่นั่งร้องไห้โดยที่ก็ไม่รู้ว่าเขาเสียใจ อะไรมา...แปลกดี
“เอ้านี่ ลองดูวอดก้าไม่ค่อยมีกลิ่นมึงน่าจะกินได้”
ไม่รู้ว่าผมเผลอมองรอบข้างไปนานขนาดไหนรู้ตัวอีกทีเนมก็สั่งเครื่องดื่มมาแล้ว ผมมองแก้วขนาดเล็กที่บรรจุน้ำสีขาวใสเบื้องหน้า หน้าตาเหมือนน้ำเปล่าคงน่าจะกินได้เลยตัดสินใจยกแก้วที่บรรจุน้ำสีขาวใสขึ้นดื่มรวดเดียวหมดโดยไม่รู้เลยว่ามันจะร้อนคอขนาดนี้
แค่ก แค่ก
“เฮ้ย! ค่อย ๆ กินดิมึง เอ้า ๆ นี่น้ำ”
เนมที่นั่งมองอยู่รีบส่งแก้วน้ำมาให้ผมที่กำลังสำลักหน้าดำหน้าแดง ผมรีบรับมาดื่มทันที ไม่เห็นอร่อยเลย ร้อนคอไปหมด
“ไม่เอา...แล้ว...ไม่อร่อย”
ผมหันไปบอกเนมที่นั่งมองผมทำหน้าอมยิ้มคล้ายคนกลั้นหัวเราะ ยังมีหน้าจะมาขำอีก คนขี้แกล้ง
“จะไปเข้าห้องน้ำ”
“ให้กูไปเป็นเพื่อนไหม”
“ไม่ต้อง ไปได้”
ผมพูดแค่นั้นก่อนจะเดินออกมาตามป้ายบอกทางไปห้องน้ำ บริเวณห้องน้ำมีผู้คนอยู่ประปรายมีบางคนที่เข้าห้องน้ำและบางคนที่ยืนคุยกันคงเพราะบริเวณนี้เสียงเพลงเข้ามาไม่ถึงเลยเหมาะที่จะพูดคุยมากกว่าด้านใน
“...คืนนี้ไปต่อกับน้ำฟ้านะคะ”
ผมที่ทำธุระของตัวเองเสร็จแล้วกำลังจะเดินกลับไปที่โต๊ะ อยู่ ๆ ก็ได้ยินบทสนทนาหนึ่งเข้าซึ่งนั้นมันไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องสนใจเลย แต่พอได้ยินเสียงตอบกลับขาที่กำลังก้าวเดินก็ชะงักค้างอยู่กับที่
“ขอโทษนะครับแต่ผมคงไปด้วยไม่ได้จริง ๆ”
ขออย่าให้ใช่อย่างที่คิด ผมค่อย ๆ หมุนตัวกลับไปดู อย่าใช่เลย อย่าใช่คนนั้นเลย
“งั้นน้ำฟ้าขอมัดจำไว้ก่อนแล้วกัน”
ที่ผมเห็นคือภาพผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังโน้มคอคนตรงหน้าลงมาโดยที่อีกฝ่ายไม่มีท่าทางขัดขืนภาพตรงหน้าของผมอยู่ ๆ ก็ดูเบลอไปหมด แต่ถึงเห็นเพียงเสี้ยวหน้าผมก็ดูออกว่าผู้ชายคนนั้นคือใคร
“พี่ดาวเหนือ” เสียงที่พูดออกไปอย่างแผ่วเบาพร้อมกับใจที่ค่อย ๆ เต้นเบาลง ไม่รู้เลยว่าความรู้สึกนี้เรียกว่าอะไร จะบอกว่าอกหักก็คงไม่ใช่รู้อย่างเดียวคือเจ็บไปหมดเหมือนมีมือปริศนาเอื้อมมาบีบหัวใจของผมอย่างไม่ปรานี
ผมค่อย ๆ เดินถอยหลังออกมาไม่รู้ว่าเพราะตามันพร่ามัวหรือว่าอะไรเพียงเสี้ยววินาทีรู้สึกได้ว่าสายตาของผมสอดประสานสายตากับอีกคนผมสะบัดหน้าหนึ่งทีก่อนจะหมุนตัวแล้วเดินออกมา ไม่อยากเห็นแล้ว
ไม่อยากเห็นอีกแล้ว...
“หายไปนานจัง เฮ้ย!!”
ผมไม่สนใจเสียงของเนมที่เอ่ยทัก สิ่งแรกที่ผมทำเมื่อกลับมาที่โต๊ะคือยกแก้วเหล้าสีขาวใสที่เคยปฏิเสธว่าจะไม่ดื่มอีกขึ้นดื่มจนหมด
ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงทำแบบนี้รู้แค่ว่าสิ่งนี้คงเป็นสิ่งเดียวที่ช่วยลบล้างความรู้สึกนี้ออกไปได้ ผมไม่ชอบเลยไม่ชอบที่ตัวเองเป็นแบบนี้
“ขออีก”
“มึงเป็นอะไรหรือเปล่า”
“ขออีก”
ตอนนี้ผมไม่พร้อมที่จะอธิบายอะไรทั้งนั้น เพราะก็ไม่รู้เหมือนกันว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้คืออะไร แค่อยากลืม ลืมไปให้หมด ลืมทุกอย่างที่เห็น ลืมทุกอย่างที่รู้สึก ให้หายไปให้หมด
“มีอะไรบอกกูได้นะ”
ไม่ต้องพูดอะไรให้มากความมายเนมก็เข้าใจแล้วว่าตอนนี้เพื่อนเขาไม่ไหว ไม่รู้ว่าไปเจออะไรมาแต่เขาจะนั่งเป็นเพื่อนอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน พร้อมตอนไหนค่อยบอกก็ได้
----
“อื้อ...”
จำไม่ได้ว่าดื่มไปแล้วกี่แก้วแต่มั่นใจว่าไม่ใช่จำนวนน้อย ๆ แน่ เพราะตอนนี้ภาพทุกอย่างที่ผมเห็นมันดูบิดเบี้ยวโลกเอียงไปทางซ้ายทีทางขวาที
ไม่ไหวปวดหัวจัง...
“กลับ”
“โอเคเดี๋ยวกูไปส่ง”
“ไม่ ไม่ต้องไปส่ง”
“เมาขนาดนี้จะกลับเองไหวได้ไง”
“กลับเองได้”
“ปีแสงอย่าดื้อดิ”
“ไม่เอา กลับเอง”
ถ้ารู้ว่าเวลาปีแสงเมาแล้วดื้อแบบนี้จะไม่ให้กินเยอะขนาดนั้นหรอก อยากจะทุบให้สลบแล้วลากกลับห้องให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย
“เดี๋ยวพี่พาปีแสงกลับเองครับ”
กำลังคิดวิธีพาไอ้ดื้อกลับห้องอยู่ดี ๆ ก็มีเสียงคนพูดขึ้นมา ใครวะคนกำลังใช้ความคิด
“...” ใบ้แดกเลยกูพี่ดาวเหนือมาอยู่ตรงนี้ได้ไง
“เดี๋ยวพี่พาปีแสงกลับเองครับ”
“มะ...ไม่เป็นไรครับ” จะให้ทิ้งปีแสงไปกับพี่เขาได้ไงวะไว้ใจได้ขนาดไหนยังไม่รู้เลย
“มายเนมหรือเปล่า” ยังไม่ทันจะเคลียร์กับคนตรงหน้าจบก็มีเสียงหนึ่งพูดขัดขึ้นมาหันไปมองก็เจอผู้ชายตัวเล็ก ๆ หน้าหวาน ๆ กำลังใช้ตากลมโตมองมาทางผม ใครอีกวะ
“ครับ?”
“ผมชื่อสายลมเป็นรุ่นพี่คุณ มีธุระจะคุยด้วยหน่อย”
“คือ...” ผมหันไปมองปีแสงหนึ่งที จะให้ผมทิ้งมันไปได้ไงเล่า โดนลากไปใครจะรับผิดชอบเนี่ย
“ปีแสงเดี๋ยวพี่ดูแลเอง”
“แต่...”
“พี่ไม่ทำอะไรปีแสงหรอก พี่สัญญา” สายตาที่ถูกส่งมาไม่มีวี่แววของคนโกหกเลย หันไปมองปีแสงอีกทีก็คิดว่ามันคงอยากกลับกับพี่ดาวเหนือมากกว่าผม โอเคผมจะเชื่อในสัญชาตญาณของตัวเองแล้วกัน
“ผมฝากมันด้วยนะพี่”
“ครับ ขอบคุณนะ”
----
ตอนนี้ผมอยู่ที่ไหนนะลองมองดี ๆ ก็เห็นแผ่นหลังกว้างด้านหน้า ผมกำลังขี่หลังใครอยู่เหรอ ไม่รู้แฮะ แต่สบายจัง ขอไถหน้าซุกแรง ๆ สักทีเถอะ
อ่าอบอุ่นชะมัด...
“รู้สึกตัวแล้วเหรอครับ”
แผ่นหลังพูดได้ด้วยเหรอ ผมขมวดคิ้วด้วยความสงสัยแต่ก่อนที่จะสงสัยมากไปกว่านี้ ร่างผมก็ถูกวางลงบนเก้าอี้ ภาพแผ่นหลังที่เคยเห็นกลับเปลี่ยนเป็นหน้าพี่ดาวเหนือเข้ามาแทน
“...พี่ดาวเหนือเหรอ” กว่าจะหาเสียงตัวเองเจอเวลาก็ผ่านไปเกือบนาที เมาจนเห็นภาพหลอนเลยเหรอ เป็นเอามากนะเนี่ย
“ครับพี่เอง”
“คงเพราะเมาแน่ ๆ”
“ฮ่า ๆ ๆ รอบที่แล้วก็บอกว่าฝันรอบนี้ก็บอกว่าเมาเหรอ”
“...”
“ไม่เชื่อจับได้นะ”
“พี่จริง ๆ เหรอ” ผมยื่นมือที่สั่นเทาออกไปด้านหน้าไม่ใช่ภาพลวงตาใช่ไหม
“ครับพี่จริง ๆ” มือใหญ่ของพี่ดาวเหนือเอื้อมมาจับมือผมเอาไปแนบกับหน้าของเขาเพื่อพิสูจน์ว่านี่ไม่ใช่ภาพลวงตา
“…คนใจร้าย”
“อ่าว...ว่าพี่ทำไมครับ”
“พี่มันคนใจร้าย”
สงสัยจะเป็นเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ทำให้ผมพูดแบบนั้นออกไปและยังคงไม่มีวี่แววที่จะหยุดพูด
“พี่ทำอะไรให้โกรธครับ”
“ผมอึดอัด”
“น้องเป็นอะไรครับอยากอ้วกหรือเปล่า”
พี่ดาวเหนือก็ยังคงเป็นพี่ดาวเหนือ ห่วงผมยังไงก็ยังห่วงผมอย่างนั้นไม่เคยเปลี่ยน
“ก็เพราะพี่เป็นแบบนี้ผมถึงอึดอัด”
“ทำไม...”
“ตอนแรกผมไม่รู้ว่าที่รู้สึกอยู่มันคืออะไร”
“...”
“ผมมีความสุขทุกครั้งที่ได้เจอ อยากเจอบ่อย ๆ”
“...”
“ผมไม่ชอบเห็นหน้าเศร้า ๆ ผมอยากให้พี่ยิ้ม”
“...”
“ผมเจ็บตอนเห็นพี่...จูบกับคนอื่น”
“ปีแสง...”
“ผมรู้สึกเหมือนโลกผมดับลงทั้ง ๆ ที่มันก็ไม่เคยมีแสงมาตั้งแต่แรก”
“...”
“ใจผมเหมือนโดยเหยียบจนยับเยินดูไม่ได้เลย ฮ่า ๆ”
เสียงหัวเราะที่ฟังยังไงก็ฟื้น หัวเราะได้แค่เสียง แต่ดวงตากลับค่อย ๆ ว่างเปล่า
“พี่...”
“ทุกอย่างมันประดังเข้ามาจนผมสับสน”
“...”
“แต่ตอนนี้ผมว่าผมรู้แล้วว่าจริง ๆ ผมรู้สึกยังไง”
“...”
“ผมชอบพี่ พี่ดาวเหนือ”
ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้นเหมือนภาพทุกอย่างตัดจบลงผมจำอะไรไม่ได้อีกเลย ได้แต่ภาวนาว่าพอตื่นมาสิ่งที่ผมทำลงไปจะคงเป็นแค่ความฝัน
เพราะต่อให้ผมเจ็บเจียนตาย ผมก็ยังคงอยากเห็นรอยยิ้มนี้อยู่ไม่อยากให้มันหายไป
อย่าเปลี่ยนไปเลยนะ...