NO. 2 วงโคจร
NO. 2
วงโคจร
เช้าวันใหม่ดำเนินขึ้นอย่างเชื่องช้า ร่างบางที่เดินราวกับคนหมดแรงทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ในห้องเรียนพร้อมกับฟุบหน้าลงบนโต๊ะ
ง่วง..
นั่นคือสิ่งเดียวที่ผมรู้สึก เมื่อคืนผมมัวจัดของเข้าคอนโดใหม่จนลืมเวลาหันมาดูเวลาอีกทีก็ตีสามแล้ว กว่าจะนอนหลับได้ก็ปาไปตีสี่ โชคดีแค่ไหนแล้วที่แบกร่างตัวเองมาจนถึงห้องได้
วันนี้เป็นวันเปิดเทอมวันแรก ผู้คนในมหาลัยดูคึกคักกันมากคงมีแค่ผมคนเดียวที่ตาจะเปิดไม่ขึ้นอยู่แล้ว ผมเอ่ยปากขอแม่เรื่องอยู่หอได้สำเร็จถึงแม้ไม่ได้ให้อยู่หอตามที่ต้องการแต่เป็นคอนโดแทนก็เถอะ ด้วยเหตุผลของแม่ที่ว่าหอมันไม่สะดวกสบายไม่อยากให้ผมลำบาก ผมเข้าใจว่าเป็นความหวังดีของแม่ล้วน ๆ แต่ผมกลับคิดมันสิ้นเปลืองเกินไป แต่ช่างเถอะผมเถียงเขาไม่ได้ แค่ปล่อยผมมาอยู่คอนโดก็ดีแค่ไหนแล้ว ผมไม่อยากเดินทางจากบ้านมามหาลัยทุกวัน มันเหนื่อย เหนื่อยกับรถติด เหนื่อยกับการต้องตื่นเช้า และประเด็นหลักคือมันน่าเบื่อเกินไป ผมแค่ต้องการอิสระ
“น้องปีแสงทำไมมาเร็วจังครับ”
เสียงพูดกวนประสาทมาพร้อมร่างของมายเนมที่ทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้ข้าง ๆ ผม
“มึง มาเลต”
ผมเปลี่ยนสรรพนามที่ใช้กับมายเนมตั้งแต่จบวันแรกพบ หลังจากวันนั้นเรามีการแลกไลน์ไว้คุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวกัน มันจึงทำให้พวกเราสนิทกันมากขึ้น ถึงแม้ว่าคนที่คุยส่วนใหญ่จะเป็นมายเนมก็เถอะ
“ฮ่า ๆ ๆ เลตอะไรเหลือเวลาอีกตั้งสองนาทีกว่าจะเริ่ม”
“...” ผมส่ายหน้าอย่างเอือมระอา ยอมแล้วผมจะไม่เถียงกับคนแบบนี้อีก
คาบเช้าจบลงไปอย่างรวดเร็วอาจารย์เพียงเข้ามาแนะนำรายวิชา พูดคุยเล็กน้อยแล้วก็ปล่อย และเป็นโชคดีอีกอย่างที่วันนี้ผมมีเรียนแค่ช่วง เช้าเพราะแบบนั้นผมเลยจะกลับไปนอน ไม่ไหวแล้ว
“มึงจะกลับเลยเปล่า” พอออกมาจากห้องเรียนเนมก็ถามขึ้นเมื่อเห็นท่าทางของผมที่พร้อมนอนเต็มแก่
“ใช่ ง่วง”
“กูไปด้วยดิ ขี้เกียจกลับบ้านเดี๋ยวตอนเย็นต้องมาเข้าห้องเชียร์อีก”
“อืม”
มายเนมบอกผมว่าเขาพักอยู่ที่บ้านไม่อยากอยู่หอ โดยให้เหตุผลว่ากลับบ้านไปอะไรก็ฟรี ไม่เปลือง อีกอย่างผมเพิ่งรู้ว่าเนมเป็นคนติดแม่มาก เนมบอกว่าถ้าวันไหนไม่ได้ยินแม่บ่นมันจะเหงาและเศร้ามาก โตแต่ตัวจริง ๆ ซึ่งนั่นแตกต่างจากผมโดยสิ้นเชิง ผมไม่อยากอยู่บ้าน เพราะบ้านมันไม่น่าอยู่ นั่นคือสิ่งเดียวที่ผมรู้สึก
----
“โห ทำไมใหญ่จังวะ”
นั่นคือประโยคแรกที่เนมพูดหลังจากเข้ามาในห้อง ห้องผมถูกแบ่งออกเป็นสี่ส่วน ส่วนที่หนึ่งคือห้องนั่งเล่น ส่วนที่สองคือห้องครัว ส่วนที่สามคือห้องทำงาน และส่วนที่สี่คือห้องนอน มันใหญ่เกินกว่าที่อยู่คนเดียวแต่อาจเพราะว่าผมเคยอยู่บ้านหลังใหญ่คนเดียวมาก่อนมันเลยกลายเป็นความเคยชินที่จะอยู่คนเดียวได้โดยไม่มีปัญหาอะไร
“จะทำอะไรก็ทำ ไปนอนก่อน”
ตอนนี้ร่างกายผมไม่ไหวและเตียงนอนคือคำตอบของผม
“โอเคนอนเลยเดี๋ยวใกล้ถึงเวลากูไปปลุก”
ผมพยักหน้าตอบรับก่อนจะหันตัวเข้าไปยังห้องนอน เข้ามาได้ผมก็ตรงไปที่เตียงทันที ทิ้งตัวลงนอนโดยไม่สนอะไรทั้งนั้น ไม่ไหวแล้ว ง่วงเกินไป ภาพตรงหน้าค่อย ๆ มืดลง ๆ จนดับสนิท
“...แสง...โว้ย!”
“ปีแสงตื่นโว้ย!”
ผมค่อย ๆ ลืมตาขึ้นด้วยความมึนงง หัวมันหนักไปหมด รู้สึกไม่สบายตัว ภาพตรงหน้าค่อย ๆ โฟกัสจนเห็นเป็นหน้ามายเนมที่ตอนนี้ทำหน้าเครียดคิ้วขมวดมองผมอยู่
“อืม ตื่นแล้ว”
“มึงไม่สบายเปล่าวะ ตัวร้อนฉิบหาย” เนมเอามือมาแตะตามหน้าตามตัวของผมก่อนจะพูดขึ้น
“น่าจะ...ปวดหัว”
“งั้นมึงไม่ต้องไปเลย เดี๋ยวกูบอกพี่ให้”
“ไม่ จะไป”
“มึงจะแบกสังขารมึงไปทำไม ไม่ไหวก็พักหยุดวันเดียวพี่เขาไม่ว่าหรอก”
“จะไป”
ผมยืนกรานเสียงแข็ง ยังไงผมก็จะไปแต่ไม่ใช่เพราะผมเป็นเด็กดีที่อยากเข้าร่วมกิจกรรม ไม่ใช่เพราะว่าผมขยัน แต่เป็นเพราะ...
“พี่ดาวเหนือสินะ”
เนมถอนหายใจก่อนจะพูดคำตอบที่ผมคิดอยู่ออกมาทำให้ผมพยักหน้าตอบรับ ใช่เพราะเหตุผลนี้แหละ เพราะได้ข่าวมาว่าพี่ดาวเหนือหาตัวยากมาก จะได้เจอก็ต่อเมื่อวันที่มีกิจกรรมใหญ่ที่ต้องมีการรวมตัวของชั้นปีเท่านั้น ซึ่งนั่นก็คือวันนี้ผมจึงอยากไป
“มึงนี่จริง ๆ เลย งั้นลุกไปแต่งตัวเลย ถ้ามึงเป็นลมกูจะปล่อยทิ้งแม่ง”
ผมยกยิ้มเล็ก ๆ ขึ้นที่มุมปาก เนมก็เป็นคนปากร้ายไปงั้นแหละ แต่ผมรู้ว่าไม่ว่ายังไงสุดท้ายเนมก็เป็นคนเดียวที่เข้าใจผมที่สุด
----
กิจกรรมห้องเชียร์เริ่มขึ้นโดยมีรุ่นพี่หลากหลายชั้นปีเข้าร่วมด้วย กิจกรรมวันแรกดูไม่มีอะไรมาก โดยแบ่งให้รุ่นพี่แต่ละชั้นปีเข้ามาพูดคุยกับน้อง โดยเริ่มจากชั้นปีที่สี่ ไล่ลงมาจนถึงชั้นปีที่สอง ผมกวาดสายตามองหาโดยทั่วแต่ยังคงไม่เจอ หรือว่าไม่มา
“มึงถึงคิวพี่ปีสองแล้ว ไหนอะพี่สมายของมึง”
เนมพูดขึ้นพร้อมกับส่องสายตามองหาตัวต้นเหตุที่ทำให้ผมมานั่งอยู่ที่นี่ สมายเป็นโค้ดลับที่เนมบอกว่าให้ใช้เวลาพูดถึงพี่ดาวเหนือ ถึงผมไม่เข้าใจว่าทำไมไม่เรียกพี่ดาวเหนือไปเลยก็เถอะ แต่ให้เรียกสมายก็ได้ เพราะมันเป็นคำที่จำกัดความของตัวพี่เขาได้เป็นอย่างดี
“คง...ไม่มา”
เสียงของผมเบาลงตามความรู้สึก ความคาดหวังที่มีถูกแทนที่ด้วยความผิดหวัง คงจริงอยากที่ใครเขาบอกถ้าไม่คาดหวังก็จะไม่ผิดหวัง
“อย่าเศร้าดิ วันนี้ไม่เจอวันหน้าก็เจอ อยู่มหาลัยเดียวกันยังไงก็ต้องเจอ”
รอยยิ้มของคนตรงหน้าส่งตรงมาเพื่อปลอบใจ ก็จริงไม่ใช่ว่าผมจะอยู่มหาลัยนี้แค่วันเดียว ยังไงก็ต้องได้เจอกัน
แต่พอไม่ได้เจอ กิจกรรมก็เป็นไปอย่างน่าเบื่อ ผมรู้สึกถึงอุณหภูมิของร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไป หัวก็รู้สึกหนักขึ้นกว่าเดิม
“ปีหนึ่งลุกขึ้น!!”
เป็นช่วงของพี่ว้ากแล้วสินะ ผมค่อย ๆ ลุกขึ้น รู้สึกเหมือนโลกเอียงเล็กน้อยแต่ก็คิดว่าคงไม่เป็นอะไร น่าจะไหว
“เพื่อนของพวกคุณไปไหนกัน ทำไมมีคนไม่เข้า!!”
“...” มันคงเป็นคำถามที่ไร้คำตอบทุกคนเงียบสนิทบรรยากาศกดดันเข้าครอบงำ
“ทำไมผมถามพวกคุณไม่ตอบ!!” พี่ว้ากยังคงเพิ่มความกดดันขึ้นเรื่อย ๆ จนทุกคนที่เงียบอยู่แล้วเงียบหนักกว่าเดิม
“ถ้าไม่ตอบ!! ผมขอสั่งให้พวกคุณลุกนั่งร้อยครั้ง ปฏิบัติ!!”
เมื่อได้รับคำสั่งทุกคนจึงกอดคอกันเพื่อเตรียมพร้อมที่จะลุกนั่ง ตัวผมเซเล็กน้อยตอนที่เนมดึงผมเข้าไปหา
อ่า..ทำไมโลกมันหมุน ๆ นะ
“มึงไหวไหม ตัวมึงร้อนกว่าเดิมหรือเปล่า”
เนมถามขึ้นด้วยความเป็นห่วงเมื่อสัมผัสได้ถึงความร้อนที่แผ่ออกมาซึ่งผมก็พยักหน้าเพื่อยืนยันไปว่าผมไหว
“พูดอะไรกันครับ! เริ่มได้หรือยัง!!”
“ค่ะ/ครับ หนึ่ง สอง สาม สี่...”
ลุกนั่งดำเนินไปตามปกติ แต่ตอนนี้ผมรู้สึกไม่ปกติ สติที่มีอยู่ค่อย ๆ ดับลง ดับลง ผมไม่รู้ว่าผมล้มลงมาที่พื้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ได้ยินเสียงโวยวายของเนม และเสียงฝีเท้าที่วิ่งเข้ามา ก่อนที่สติจะดับลงผมเห็นใบหน้าที่คุ้นเคย ใบหน้าของคนที่อยากเจอ สติผมดับลงพร้อมกับความคิดสุดท้าย
เหอะ...สงสัยป่วยจนเพ้อ
----
“....เดี๋ยวผมรอน้องฟื้นก่อนครับ”
“โอเค งั้นถ้าน้องฟื้นเดินมาเรียนอาจารย์นะ”
“ขอบคุณครับอาจารย์หมอ”
เสียงสนทนาที่ดังขึ้นใกล้ ๆ ตัวปลุกผมให้ตื่น รู้สึกหนักตาจนทำให้ลืมตาไม่ขึ้น ผมใช้ความพยายามที่มีอยู่ในการลืมตา ดวงตาค่อย ๆ เปิดขึ้นยังไม่ทันจะลืมตาจนสุดก็ต้องหรี่ลงเมื่อเจอแสงไฟในห้องที่สว่างจนตาปรับแสงไม่ทัน ส่งผลให้ดวงตาพร่ามัว
“น้อง ฟื้นแล้วเหรอครับ”
ผมหันไปมองคนที่อยู่ด้านข้างตายังคงปรับโฟกัสไม่ได้ ภาพที่ออกมาเลยเบลอ ๆ ไม่ชัดเจน แต่ผมกลับรู้สึกคุ้นเคยกับเสียงนี้
ใคร...
“ได้ยินพี่ไหมครับ”
คุ้นเกินไปแล้ว...
สายตาค่อย ๆ ปรับโฟกัสจนภาพตรงหน้าชัดเจน ฉับพลันดวงตาเบิกกว้างขึ้นอย่างตกใจ
“ฝัน...เหรอ” อาจจะเพราะพิษไข้ผมคิดแบบนั้นไม่มีทางที่คนตรงหน้าจะใช่คนนั้น
“หืม ฮ่า ๆ ไม่ได้ฝันครับ”
“ฝันแน่ ๆ”
“...”
“โอ๊ย” มือคนตรงหน้าเอื้อมมาบีบแก้มผมจนเจ็บ ไม่ได้ฝันจริง ๆ ด้วย
“เห็นไหมไม่ได้ฝันจริง ๆ”
ผมรีบเด้งตัวลุกขึ้นนั่งอย่างลืมตัว โลกหมุนอีกระลอก ถ้าไม่ติดว่ามีมือของคนข้าง ๆ มาจับตัวผมไว้ ผมคงได้เซล้มไปนอนอีกรอบแน่
“เฮ้ย!! จะรีบไปไหน ยังไม่หายดีเลย” คำพูดกับสีหน้าของคนตรงหน้าตกใจอย่างปิดไม่มิด
“คือ...คือ...อะ...เอ่อ”
ใจเต้นแรง หน้าร้อนผ่าว ลิ้นพันกันมั่วไปหมด ผมไม่รู้ว่ามันคืออาการของอะไรได้แต่คิดในแง่ดีว่ามันน่าจะเป็นอาการข้างเคียงจากที่ผมไม่สบาย
“ใจเย็นครับ ค่อย ๆ พูดนะ”
รอยยิ้ม...รอยยิ้มของเขา
“...”
“ฮัลโหล ปีแสงยังอยู่ไหมครับ”
ผมสะดุ้งเมื่อได้ยินชื่อตัวเอง มันจะไม่ตกใจขนาดนี้หรอกถ้าชื่อผมไม่ได้ออกมาจากปากพี่เขา
“...ชื่อ”
หรือผมจะห้อยป้ายชื่อ ผมรีบก้มลงมองไม่มี หันมองรอบ ๆ ห้องก็ไม่มี
รู้ได้ยังไง หรือว่าจำได้...
“มองหาอะไรครับ อย่าบอกนะว่าเราจำพี่ไม่ได้”
“...” จำได้ ใจอยากจะพูดออกไปแต่ปากไม่ยอมขยับ
“จริงอะ พี่เสียใจเลยนะ”
ปากที่เบะลงทำท่าเหมือนเด็กจะร้องไห้ มันไม่ได้น่าสงสารแต่มันน่ารัก น่ารักจนหลุดหัวเราะออกมา
“หึ”
ดวงตาของคนพี่ชะงักค้างเพียงชั่ววูบก่อนจะกลับมาเป็นปกติไม่ทันที่คนน้องจะสังเกตเห็นได้
“หัวเราะแล้วน่ารักดี” เสียงที่เบามาก มากเสียจนได้ยินคนเดียว เพราะคนพูดไม่ได้ต้องการให้ใครได้ยิน
“...” ผมเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม เมื่อกี้คนคนนี้พูดว่าอะไร
“สรุปน้องจำพี่ไม่ได้จริง ๆ สินะ”
ประโยคที่พูดออกมาเพื่อเบี่ยงประเด็นถูกส่งมาด้วยเสียงพูดป่นความน้อยใจ
“พี่...ดาวเหนือ”
ใช่คนคนนี้คือพี่ดาวเหนือ
“หืมจำได้เหรอ พี่นึกว่าจะเป็นพี่คนเดียวที่จำได้”
“ทำไม...จำได้”
“ต้องจำได้สิก็น้องเป็นคนเดียวที่พี่เดินเข้าไปหาและแนะนำบ้านทัศนศิลป์”
“...คนเดียว”
“ใช่ครับ น้องคนเดียว”
----
“ขอบคุณครับ”
ผมพูดขอบคุณอาจารย์หมอก่อนจะเดินออกจากห้องพยาบาล
เงยหน้ามองท้องฟ้าที่มืดสนิทไร้แสงอาทิตย์ ก้มลงมองนาฬิกาเลยรู้ว่าทุ่มกว่าแล้ว นี่เขาสลบไปเกือบครึ่งชั่วโมงเลยเหรอ
“นี่ของน้องครับ เพื่อนน้องฝากมา และเพื่อนน้องก็ยังฝากมาบอกขอโทษที่ต้องรีบกลับน่ามีธุระด่วนจริง ๆ และย้ำพี่ให้บอกว่าถ้าน้องกลับถึง
ห้องตอนไหนทักไปบอกด้วย” พี่ดาวเหนือที่เดินตามหลังมาเอ่ยปากบอกพร้อมยื่นกระเป๋าให้ผม
“ขอบคุณ...ครับ”
มือที่ยื่นออกไปคว้าเอากระเป๋าแต่กับคว้ามาได้เพียงอากาศ เพราะอยู่ ๆ พี่ดาวเหนือก็ดึงกระเป๋าคืนไป
“คิดดูอีกทีมันมืดแล้วพี่ไปส่งเราดีกว่า”
ไม่รอฟังคำปฏิเสธหรือคำตอบรับพี่ดาวเหนือก็ยื่นมือมาคว้าข้อมือผมลากไปที่รถมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่ไม่ไกล
เดินมาได้สักพักพี่ดาวเหนือก็ละมือออก เดินไปขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์ก่อนจะกวักมือเรียกผมให้ขึ้นซ้อนท้าย ไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ เกิดขึ้น ไม่ใช่
ไม่อยากซ้อนแต่ไม่รู้ว่าซ้อนยังไง
“นิ่งทำไมครับขึ้นมาเร็ว”
“คือ...”
“ครับ?”
“ขึ้น...ยังไง”
“ฮ่า ๆ ๆ พูดจริงเปล่าเนี่ย” สายตาเหลือเชื่อที่มองมาทำให้ผมประหม่าหนักกว่าเดิมก็ผมขึ้นไม่เป็นจริง ๆ นี่นา
“...” ผมเดินเข้าไปใกล้เพื่อพิจารณารถอีกครั้ง มันขึ้นยังไง
“ก้าวคร่อมมาเลยครับ ใช่แบบนั้นแหละและก็เอามือมาจับเอวพี่ไว้ ห้ามปล่อยโอเคนะ”
พี่ดาวเหนือค่อย ๆ บอกให้ผมขยับตามไปทีละขั้น ก่อนจะเอื้อมมือมาจับยึดมือผมเอาไว้ไม่ยอมปล่อยเพราะกลัวว่าผมจะปล่อยมือจากเอวเขาแล้วพลัดตกรถไป ความอบอุ่นที่ถูกส่งผ่านมาส่งผลให้ความร้อนเกิดขึ้นบริเวณแก้มสองข้าง ใจผมเต้นแรงจนแทบจะทะลุออกมานอกอก ได้แต่ภาวนาอย่าให้คนด้านหน้ารู้เลยว่าตอนนี้ผมรู้สึกยังไง
“จับดี ๆ นะครับไม่ต้องกลัว ปลอดภัยแน่นอน”
รถเคลื่อนตัวออกช้า ๆ ไปตามทางที่ผมบอกไม่มีการสนทนาใด ๆ เกิดขึ้นมีแต่ลมที่พัดตีหน้าผมอย่างที่ไม่เคยรู้สึก มันเป็นความรู้สึกแปลก ๆ แต่เป็นความแปลกที่ดี เหมือนกับคนตรงหน้า
แปลกแต่ดี...
“ขอบคุณครับ”
ผมกล่าวขอบคุณเมื่อพี่ดาวเหนือจอดรถลงตรงหน้าคอนโดแล้ว
“ไม่เป็นครับขึ้นไปนอนพักผ่อนแล้วก็กินยาด้วยนะ”
กระเป๋าถูกยื่นมาให้พร้อมรอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นตลอดตั้งแต่ที่เจอจนถึงตอนนี้ รอยยิ้มไม่เคยหายไปเลย อยากยิ้มได้แบบนี้บ้าง
“...” ผมพยักหน้ารับทราบรับกระเป๋ามาถือก่อนจะหมุนตัวเดินเข้าคอนโด
“ปีแสง”
เสียงเรียกที่ดังขึ้นส่งผลให้ผมหันกลับไปมองหน้าพี่ดาวเหนือด้วยความสงสัย
“ฝันดีนะครับ” คำพูดที่ไม่เคยได้รับจากใครมาพร้อมรอยยิ้มมันยิ่งทำให้ใจผมเต้นแรงกว่าเก่า ยิ้มอีกแล้ว ยิ้มกว้างกว่าเดิมอีก
ผมรู้ว่าคนตรงหน้าแค่เป็นคนยิ้มเก่งไม่ได้ยิ้มพิเศษให้ผมแค่คนเดียว ไม่มีความจำเป็นต้องหวั่นไหว แต่ถึงจะรู้มันก็ห้ามไม่ได้ รอยยิ้มนี้มันมีอิทธิพลมากเกินไป
“...ฝันดีครับ”
วันที่คิดว่าคงน่าเบื่อที่สุดถูกรอยยิ้มนี้เปลี่ยนให้กลายเป็นวันที่ดีที่สุด และจะดีมากกว่านี้ถ้าได้เห็นอีกในทุก ๆ วัน
ถ้าเป็นไปได้ผมขอได้ไหม ขอให้เราได้อยู่ในวงโคจรเดียวกันแบบนี้ตลอดไป