NO.1 ความเป็นไปได้
NO.1
ความเป็นไปได้
เวลา 06.20 น.
“น้องอยู่เอกทัศนศิลป์ใช่ไหมคะ เดี๋ยวเซ็นชื่อตรงนี้เลยค่ะ”
ง่วงจัง รู้สึกเหมือนละเมออยู่ ร่างกายไม่ชินกับการตื่นเช้าขนาดนี้เลย ผมเรียกสติตัวเองอีกครั้งก่อนจะก้มลงเซ็นชื่อตามที่คนตรงหน้าบอก
“น้องชื่ออะไรคะ พี่จะเขียนป้ายชื่อให้”
“…ปีแสง”
ป้ายชื่อถูกเขียนด้วยลายมือตัวบรรจงก่อนจะยื่นส่งมาให้ผม
“เดี๋ยวน้องห้อยป้ายชื่อแล้วไปนั่งรวมกับเพื่อนนะคะ”
ผมพยักหน้าตอบรับก่อนจะเดินไปต่อท้ายแถวที่มีพี่ถือป้ายของสาขาทัศนศิลป์อยู่ด้านหน้า วันนี้เป็นกิจกรรมวันแรกพบของมหาวิทยาลัยที่จะ นัดเด็กปีหนึ่งทุกคนมารวมตัวกันเพื่อร่วมทำกิจกรรมต่าง ๆ จริง ๆ ก็ไม่ได้อยากมาหรอก แต่ผมก็คิดถึงความเป็นไปได้ที่อาจจะได้เจอรอยยิ้มนั้นอีกในวันนี้ ทั้ง ๆ ที่มันไม่ใช่นิสัยของผมเลย
และใช่ผมเลือกเรียนคณะนี้สาขานี้เพราะเขา
ไม่เข้าใจตัวเองจริง ๆ
“เฮ้อ...”
“มึง ๆ”
“มึงงง!”
แรงสะกิดด้านข้างส่งผลให้ผมหันหน้าไปมองด้วยความสงสัยมีอะไร ตะโกนทำไม
“เอกทัศนศิลป์เหมือนกันเปล่า”
“...” ผมพยักหน้าแทนคำตอบ
“เฮ้ยเจ๋ง กูชื่อมายเนมนะ จะเรียกมายก็ได้หรือเนมก็ดี”
“...” คนคนนี้ต้องการอะไรจากผม ได้แต่คิดแต่ไม่พูดออกไป
“มึงชื่ออะไร” คนตรงหน้ายังคงตั้งคำถามกลับอย่างไม่ลดละ
ผมไม่ได้ตอบแต่ยกป้ายชื่อให้อีกฝ่ายดูแทน
“อ๋อ...ปีแสงชื่อแปลกดีแฮะ”
พูดยังกับว่าชื่อมายเนมไม่แปลก แต่ก็ไม่ใช่แค่คนตรงหน้าหรอกที่พูดแบบนี้ ผมได้ยินมาจนชินแล้วถึงชื่อจะแปลกแต่ผมกลับรู้สึกชอบความหมายในตัวของมัน
“มึงเงียบจังวะพูดไม่เก่งเหรอ”
“...” ผมพยักหน้าตอบกลับอีกฝ่ายไปเช่นเคย ผมเป็นคนพูดไม่เก่งมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เลยเลือกที่จะอยู่ตัวคนเดียวมาตลอด มันน่าจะดีกว่าอยู่กับคนอื่นแล้วอึดอัด ผมคิดแบบนั้น
“ฮ่า ๆ แต่ไม่เป็นไรหรอกกูพูดเก่ง พูดเก่งมากกกก” คำว่ามากที่ใช้เสียงลากยาวเพื่อให้ผมเชื่อว่ามากจริง ๆ ทำให้ผมเผลอยิ้มออกมาแม้จะเพียงเล็กน้อยแต่ก็ถือว่ายิ้ม
“อ่ายิ้มแล้ว”
“...”
“อ่าไม่ยิ้มแล้ว”
แปลกเกินไปแล้ว
“มี...อะไร”
“เฮ้ย! มึงพูดได้” มายเนมทำตาโตราวกับตกใจก่อนจะจับไหล่ผมทั้งสองข้างแล้วเขย่า
“อะ...”
“มึงมาเป็นเพื่อนกับกูไหมรับประกันความปลอดภัยเลย”
คำถามที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะได้รับ มาวันนี้ผมได้รับจากคนแปลกหน้าที่เพิ่งจะรู้จักกันเมื่อกี้ และตอนนี้ความสัมพันธ์ดันจะเปลี่ยนกลายเป็นเพื่อนในชั่วพริบตา
“...”
ผมไม่ได้ตอบกลับได้แต่จ้องมองหน้าคนตรงหน้านิ่ง ๆ พร้อมกับคำถามว่าทำไม...ทำไมต้องเป็นผม
“นะมึง กูเหงากูมาคนเดียวเดี่ยว ๆ เลยมันว้าเหว่ ถ้ากูเหงาตายมึงต้องรับผิดชอบ”
ท่าทางของคนตรงหน้าแสดงออกว่าถ้าผมไม่ตอบตกลงตอนนี้มายเนมอาจจะเหงาตายแบบที่พูดจริง ๆ ตลกดี
“...ทำไม”
“ทำไมต้องมีเหตุผลด้วยวะ กูเห็นมึงแล้วถูกชะตาแค่นั้นก็พอไหมวะ”
“...”
ไม่มีบทสนทนาใด ๆ มีเพียงสายตาที่ส่งตรงมาที่ผมเพื่อจะสื่อว่าที่พูดมาทั้งหมดจริงจัง และบริสุทธิ์ใจ
แปลก ทำไมที่นี่มีแต่คนแปลก ๆ ...แต่ก็น่าสนใจ
“ได้...เป็นเพื่อน”
เพราะคิดไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าจะเปลี่ยนแปลงตัวเองถ้าได้เข้ามาในมหาลัย และการมีเพื่อนถือเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับผมนี่เลยถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งที่หนึ่งของผม
“เย้!!”
เสียงตะโกนดังขึ้นด้วยความดีใจของมายเนมส่งผลทำให้คนรอบข้างหันมามองเป็นตาเดียว ผมชักไม่แน่ใจแล้วสิว่านี่ผมเลือกผิดหรือเลือกถูกกันแน่ ต่อไปนี้ชีวิตที่สงบสุขของผมคงไม่มีอีกแล้วสินะ
“กูขอรับประกันความบันเทิงเลย”
คำพูดติดตลกส่งมาพร้อมกับการยักคิ้วแบบกวนประสาท
คิดผิดจริง ๆ สินะ
----
เวลา 12.10 น.
หลังจากเข้าร่วมกิจกรรมในช่วงเช้าตอนนี้ก็ถึงเวลาพักเที่ยง รุ่นพี่ของแต่ละสาขาเรียกรวมน้อง ๆ ของตัวเองเพื่อแจกจ่ายข้าว ผมมองดูรุ่นพี่ในสาขาตัวเองทุกคนแต่ก็ยังไม่เจอเลยรอยยิ้มที่ผมคิดถึง
“น้อง ๆ ได้ข้าวแล้วก็แยกไปทานได้เลยนะ แล้วเราค่อยกลับมาเจอกันตอนบ่ายโมงตรง ตรงนี้ที่เดิมนะคะ”
“มึงไปหาที่นั่งกัน”
มายเนมสะกิดก่อนจะเดินนำไปที่โต๊ะว่าง ตั้งแต่ที่ได้รู้จักมายเนมจนถึงตอนนี้ยอมรับเลยว่ามายเนมเป็นคนคุยเก่งจริง ๆ พูดแทบจะไม่หยุด เข้าร่วมเกมทุกฐานจนกลายเป็นที่รู้จักไปทั่ว อาจจะเพราะพื้นฐานมายเนมเป็นคนที่หน้าตาดี ตัวสูงเกินมาตรฐานชายไทย ตาชั้นเดียว ผมรองทรงไถข้างสีดำที่ถูกเซตขึ้นเข้ากับใบหน้า ผิวขาวแบบกลาง ๆ ดูสุขภาพดี บวกกับความอัธยาศัยดีและรอยยิ้มเจิดจ้าที่มีติดอยู่บนใบหน้าตลอดเวลา ถึงแม้ว่าจะสู้รอยยิ้มที่ผมชอบไม่ได้ก็เถอะ แต่แค่นี้ก็บ่งบอกได้แล้วว่ามายเนมมีเสน่ห์ขนาดไหน นั่นยิ่งทำให้ผมไม่เข้าใจว่าทำไมถึงอยากเป็นเพื่อนกับผม ทั้ง ๆ ที่ก็มีหลายคนที่อยากเป็นเพื่อนกับเขาแท้ ๆ
“เหม่อไรวะกินข้าวดิ”
มือของมายเนมโบกไปมาอยู่ด้านหน้าผมเรียกสติกลับคืน
“อะ...อืม”
ผัดกะเพราที่ถูกเปิดออกมาถูกปิดลงทันทีเมื่อผมเห็น...สงสัยวันนี้คงไม่ได้กินข้าว
“เป็นอะไรวะทำไมไม่กิน” มายเนมที่สังเกตเห็นความผิดปกติของเพื่อนเอ่ยถามขึ้น
“กระเทียม”
“ฮะ มึงไม่กินกระเทียมเหรอ”
“แพ้”
“อ่าว...งั้นแป๊บเดี๋ยวกูไปถามพี่ให้ว่ามีอย่างอื่นไหม”
เนมทำท่าจะลุกขึ้นไปหาพี่ตามที่พูดทำให้ผมต้องรีบพูดห้ามออกไป
“เนม...ไม่ต้อง”
“แล้วมึงจะกินอะไร”
“ไม่กินก็ได้”
ใช่ไม่กินก็ได้ ผมไม่ได้หิว ไม่ได้มีปัญหาอะไร
“ไม่ต้องเลยผอมจนแคระแล้วยังจะไม่กินข้าวอีก รอนี่แหละเดี๋ยวกูไปดูให้”
มายเนมวิ่งออกไปโดยไม่ฟังเสียงห้ามใด ๆ จากผม นอกจากจะพูดมากแล้วยังจะหัวรั้นอีก เขาวิ่งหายไปสักพัก และก็วิ่งกลับมาพร้อมกับหอบหายใจแรง ๆ จะวิ่งทำไมให้เหนื่อย
“มึงรอแป๊บพี่บอกว่าเดี๋ยวหามาให้”
“จริง ๆ ไม่ต้อง...”
“หยุด มึงต้องกินถ้ามึงไม่กินมึงจะแคระหนักกว่านี้นะ”
พูดยังไม่ทันจบดีเหมือนเนมรู้ว่าผมจะพูดอะไรเล่นดักซะทุกทาง ยอมแล้วก็ได้ แต่ผมไม่ได้แคระสักหน่อยก็แค่สูงตามมาตรฐานชายไทยทั่วไป อย่าเอาตัวเองเป็นที่ตั้งได้ไหมเนม
รอไม่นานรุ่นพี่ผู้หญิงคนหนึ่งก็เดินเข้ามาพร้อมกับข้าวไข่เจียวในกล่องทัพเพอร์แวร์สีเทา ผมเลิกคิ้วมองกล่องข้าวด้านหน้าด้วยความสงสัย มองยังไงก็มั่นใจว่าไม่ได้ซื้อมาแน่นอน พี่เขาเอามาจากไหน
“ขอโทษด้วยนะพี่ไม่รู้ว่ามีคนแพ้กระเทียม ร้านข้าวแถวนี้ก็ปิดหมดเลยกว่าพี่จะหามาได้”
“โห อย่าบอกนะว่าพี่ทำเอง สุดยอด”
มายเนมเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย โดยอดที่จะชื่นชมความพยายามของพี่ตรงหน้าไม่ได้
“เปล่า พี่ไม่ได้ทำพอดีเพื่อนพี่มันอยู่หอพี่ก็เลยโทรไปสั่งให้มันทำมาให้”
“...” ผมเปิดกล่องข้าวก่อนจะก้มลงไปดู หน้าตาดูดีเลยแหละ กลิ่นหอมด้วย
“กินได้ไม่ต้องกลัวท้องเสียไอ้เหนือมันทำอาหารเก่งที่สุดในรุ่นพี่แล้ว”
“...เหนือ” ไม่รู้ทำไมพอได้ยินชื่อนี้ก็อดคิดถึงคนคนนั้นไม่ได้ แต่คงไม่ใช่หรอกความเป็นไปได้มันน้อยเกินไป
“ดาวเหนือไง น้องรู้จักไหมที่เป็นเดือนมหาลัยปีที่แล้ว มันรีบแว้นเอาข้าวมาให้และก็กลับไปแล้วเห็นบอกว่าจะไปทำธุระต่อ”
พอได้ยินชื่อที่เขาคิดว่าวันนี้คงไม่ได้ยิน มือที่จับฝากล่องอยู่สั่นอย่างเห็นได้ชัด มายเนมที่มองเห็นอาการนั้นเป็นคนแรกรีบบอกขอบคุณรุ่นพี่ เพื่อดึงความสนใจออกไป จนพี่เขาขอตัวไปจัดการงานต่อ
“มึงเป็นอะไร”
“...ดีใจ”
“ฮะ อะไรนะ”
“ดีใจที่ได้เจอกันอีก”
ผมก้มหน้าลงมองกล่องข้าวแล้วผุดรอยยิ้มบาง ๆ ขึ้นที่ริมฝีปาก ถึงแม้ไม่ได้เจอหน้าแต่นี่มันอยู่เหนือความคาดหวังของผมมาก ไม่น่าเชื่อว่าข้าวไข่เจียวกล่องเดียวจะทำให้ผมเสียอาการได้ขนาดนี้ และผมพูดได้เลยว่าข้าวไข่เจียวกล่องนี้อร่อยที่สุดเท่าที่เคยได้กินมา
คนที่มองอาการเพื่อนอยู่ชะงักค้าง คนที่ยิ้มยากตรงหน้าตอนนี้กลับยิ้มออกมาให้กับข้าวกล่องเนี่ยนะ มันเกิดอะไรขึ้นวะ โคตรงง แต่มันมีบางอย่างที่เขาสามารถบอกได้ นั่นก็คือรอยยิ้มของคนตรงหน้าดีกว่าตอนที่มันชอบทำหน้านิ่ง ๆ เป็นไหน ๆ มายเนมขอฟันธง
“มึงเล่าให้กูฟังได้ยังข้าวกล่องนั่นมันดียังไง ทำไมมึงดูมีความสุขจังกูขอกินด้วยก็ไม่ได้”
เนมถามเซ้าซี้ตั้งแต่ที่ผมกินข้าวอยู่ จนผมกินหมดเอากล่องข้าวไปคืนแล้วเนมก็ยังไม่หยุดถาม แถมยังจะมาแย่งไข่ผมกินอีก บอกเลยว่าไม่ให้ผมหวงของผม
“จะรู้ไปทำไม”
“ก็นี่เพื่อนไง กูอยากรู้ทุกเรื่องของเพื่อน”
“...” ผมหันไปมองหน้าเนมนิ่ง รู้หรอกนะว่าไม่ใช่เหตุผลนั้น
“เออ ๆ กูขี้เสือกก็ได้ ก็กูอยากรู้นี่หว่าคนยิ้มยากอย่างมึงนั่งยิ้มให้กับข้าวกล่องกูว่ามันทะแม่ง ๆ มันต้องมีเงื่อนงำ”
“...” ผมถอนหายใจออกมา มองตาคนข้างหน้าที่แสดงออกมาอย่างชัดเจนว่าอยากรู้ใจจะขาด ก้มลงมองนาฬิกายังเหลือเวลาอยู่ก่อนพี่จะเรียกรวม
“นะมึง...”
“พี่ดาวเหนือ”
“หืม คนที่ทำข้าวมาอะนะทำไมวะรู้จักเหรอ”
“เคยเจอ งาน open house”
“อาฮะ ไงต่อ”
“ยิ้มเก่ง ละสายตาออกไปไม่ได้”
“อืม ๆ”
“อยากเห็นรอยยิ้มนั้นอีก”
“…”
“เขา...เป็นเหตุผลที่ทำให้มาเรียนที่นี่”
ผมรวบรวมความกล้าเล่าออกไปให้คนตรงหน้ารู้ อย่างที่บอกนี่คือเพื่อนคนแรกของผม ผมไม่อยากปิดบังอะไร ต่อให้ผลสุดท้ายเนมจะรับไม่ได้ที่ผมชอบผู้ชายผมก็ไม่ได้ว่าอะไร ความคิดของคนเรามันไม่เหมือนกัน ผมเข้าใจ
“ทำไมมึงแรดอะ มึงมาเรียนตามผู้ชายเหรอไอ้แคระ”
นึกว่าเพื่อนจะรับไม่ได้ที่ผมชอบผู้ชายแต่กลับตรงกันข้าม ผมโดนด่าซะงั้น
“ไม่ต้องมาทำหน้าเหวอเลย ไอ้เด็กแรด”
“...ไม่รังเกียจเหรอ”
“รังเกียจอะไรวะ ที่มึงชอบผู้ชาย?”
“...” ผมพยักหน้าตอบกลับไปไม่กล้าแม้กระทั่งสบตาคนตรงหน้า
“คิดมากว่ะ ไม่มีเหตุผลอะไรที่กูจะต้องรังเกียจ เราเป็นเพื่อนกันกูรับได้หมดแหละ”
“...เพื่อน” เสียงเบาบางเอ่ยออกไปอย่างไม่มั่นใจ เนมยกมือขึ้นมาผลักหัวผมหนึ่งทีพร้อมกับรอยยิ้มก่อนจะเอ่ยคำพูดที่ช่วยย้ำว่าสิ่งที่พูดมันคือเรื่องจริง
“ใช่ มึงเป็นเพื่อนกู”
และนั่นเป็นคำพูดที่ทำให้ผมหลุดยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้
“ขอบคุณนะ”
ขอบคุณจริง ๆ
ความเป็นไปได้ของผมวันนี้มันเกินคาด ผมได้ข้าวกล่องจากเขาคนนั้นและอีกสิ่งที่ผมได้มาก็คือเพื่อน ผมไม่รู้ว่าจะอธิบายความรู้สึกตอนนี้ออกไปอย่างไงแต่ผมพูดได้เลยว่าผมโชคดีมากที่ได้มีเพื่อนเป็น มายเนม