บทที่ 4
เขาประสานสายตากับนาง ดวงตาคู่นี้ยังงดงามใสซื่อ เหมือนนางไม่รู้สิ่งใดเลย จูชางหลางหยุดอยู่เบื้องหน้าของนาง ก่อนจะใช้ปลายเท้าของตนเองเชยคางให้นางมองเขา เอ่ยด้วยน้ำเสียงต่ำไร้ความรู้สึก
“เจ้าหรือ อาศัยสิ่งใดมาแลกเปลี่ยนให้ข้าช่วยมือสังหารสองคนนั่นเล่า”
“ซื่อจื่อ ไม่ว่าท่านต้องการสิ่งใดอี้หงล้วนมอบให้ท่านทั้งหมดเจ้าค่ะ”
เขายิ้มเยาะหยัน หัวใจเจ็บปวดรวดร้าวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน น้ำเสียงที่เย็นอยู่แล้วยิ่งต่ำลงไปมากกว่าเดิม
เขาโน้มตัวลงมา ใบหน้างดงามนั้นเต็มไปด้วยคราบน้ำตา สายตานั้นยิ่งมองยิ่งเย็นชานัก เขาควรจะฆ่านางหรือทำให้นางทรมานดี ให้สาสมกับสิ่งที่นางได้กระทำเอาไว้
“ซื่อจื่อ ข้าขอร้องท่าน อี้หงขอร้องท่านแล้ว”
นางสะอื้นต่อหน้าเขา จูชางหลางจับใบหน้าเล็กด้วยนิ้วแข็งแรงและบีบแน่นจนหยางอี้หงรู้สึกเจ็บกระทั่งร้องออกมาคำหนึ่ง
“เจ้าแน่ใจนะ ว่าเจ้าทำได้”
หยางอี้หงรีบพยักหน้า นางกลั้นความเจ็บปวดเอาไว้
“เจ้าค่ะ ขอเพียงเป็นคำสั่งของซื่อจื่อ แม้แต่ชีวิตนี้ข้าก็ให้ท่าน ขอเพียงท่านช่วยท่านพ่อท่านแม่ของข้า ซื่อจื่อ ได้โปรดเจ้าค่ะ”
จูชางหลางบีบคางของนางแน่นขึ้น น้ำตาของนางไหลพรากด้วยความเจ็บปวด
“ชีวิต ร่างกาย วิญญาณ ของเจ้าทั้งหมดล้วนเป็นของข้าตลอดไป เช่นนี้ใช่หรือไม่”
หยางอี้หงพยายามกลืนความเจ็บปวดลงคอ รีบพยักหน้า
“ทั้งหมดของข้า เป็นของท่านแล้วซื่อจื่อ ทั้งหมด ให้ท่านทั้งหมดนับจากนี้เจ้าค่ะ”
จูชางหลางปล่อยปลายคางของนาง เห็นได้ชัดว่าบริเวณนั้นแดงจนช้ำ เขาคงลืมไปแล้วกระมังว่าเคยถนอมนางเพียงใด
หยางอี้หงคลานมาจับเท้าของเขาเอาไว้ แล้วก้มต่ำลงจนจรดพื้น
“ซื่อจื่อ ได้โปรดช่วยบิดามารดาของอี้หงด้วยเจ้าค่ะ”
จูชางหลางยกมุมปากเหี้ยมเกรียม ยกเท้าขึ้นมาแล้วเหยียบที่ศีรษะของนางจนจรดพื้นแล้วเอ่ยว่า
“ดี! นับจากนี้หากข้าสั่งให้เจ้าอยู่เจ้าอยู่ หากข้าสั่งให้เจ้าตาย จงสังหารตนเองต่อหน้าข้าเสีย”
ในยามที่นางติดตามซื่อจื่อไปที่ลานกว้างที่จับคนเอาไว้หยางอี้หงเห็นภาพการสังหารชัดเจน ประตูทางออกมีเพียงทางเดียว ในขณะที่จูอ๋องง้างสายธนูแล้วปล่อยให้คนที่วางแผนลอบสังหารวิ่งกรูหนีตายไปยังประตูนั้น
บ่าวในจวนครึ่งหนึ่งเป็นคนของแคว้นเจี่ยที่ลอบเข้ามาในจวน ทั้งหมดนี้ความจริงจูอ๋องย่อมรู้ เพียงแต่ว่าเขาคิดว่าคนเหล่านี้คือชาวบ้านที่ต้องการอยู่อย่างสงบสุขจึงคิดช่วยเหลือไม่แบ่งแยก
ทว่าคนพวกนี้กลับเนรคุณคิดลอบสังหารเขา เช่นนี้แล้วจูอ๋องย่อมไม่คิดปล่อยผู้ใดเอาไว้ โดยเฉพาะคนที่คิดสังหารบุตรชายของเขานั้น จูอ๋องยิ่งคิดที่จะทรมานพวกเขาให้ตายทั้งเป็น
กว่าซื่อจื่อจะมาถึง บิดามารดาของหยางอี้หงก็ถูกทำลายวรยุทธ์และถูกโบยจนดิ้นทุรนทุรายแล้ว
และแน่นอนว่าคนทั้งสองย่อมไม่มีแรงที่จะวิ่งหนีลูกธนู ในยามที่คนกรูกันไปที่ประตูจึงไม่อาจรอดพ้นลูกธนูอันแม่นยำของจูอ๋องไปได้
หยางอี้หงมองหาบิดามารดาด้วยดวงตาพร่ามัว จูอ๋องกำลังสนุกกับการสังหารผู้ลอบสังหารเหล่านั้น และบัดนี้ได้จับร่างของบิดามารดาที่ถูกธนูของจูอ๋องปักเข้าที่แผ่นหลัง วางพาดเอาไว้ที่แท่นประหารเพื่อตัดหัวของพวกเขา
ก่อนที่ดาบของทหารจะสัมผัสลำคอของคนทั้งสอง จูชางหลางก็เข้าไปขวางทางเอาไว้ เขาคุกเข่าลงต่อหน้าบิดาทั้งยังจ้องเขม็ง
“ท่านพ่อ ได้โปรดละเว้นพวกเขาด้วยขอรับ”
จูอ๋องขมวดคิ้ว
“เจ้าคิดทำสิ่งใด”
จูชางหลางเอ่ยว่า
“คนที่คิดสังหารลูก ลูกขอ ขอรับ”
จูอ๋องมองไปยังเด็กสาวที่น้ำตานองหน้าที่กำลังคุกเข่าอยู่เช่นกันก่อนจะเอ่ยใบหน้าราบเรียบ
“จูชางหลางตั้งแต่เกิดมาเจ้าไม่เคยทำเช่นนี้เพื่อตนเองแม้แต่ครั้งเดียว แต่เพื่อนางแล้วเจ้าร้องขอข้าถึงสองครั้ง แล้วจะให้ข้าเชื่อได้อย่างไรว่าเจ้าจะตัดเรื่องไร้สาระเช่นเรื่องรักนี้ได้ลง กระทั่งคนที่คิดสังหารเจ้า เจ้ายังใจอ่อนละเว้นให้เช่นนี้”
จูชางหลางเงยหน้ามองบิดาแล้วเอ่ยว่า
“ขอร้องครั้งแรกลูกยอมรับว่าเพื่อต้องการช่วยนาง ทว่าการขอร้องครั้งนี้เพราะลูกยังเห็นว่านางมีประโยชน์ ท่านพ่อลูกสาบานแล้วว่าสิ่งที่ท่านพ่อต้องการลูกต้องทำให้สำเร็จ เรื่องรักใคร่ในใจลูกได้ตัดขาดไปแล้วขอรับ”
บิดาของเขาโยนดาบลงตรงหน้าแล้วเอ่ยว่า
“ดี หากตัดขาดได้จริง เจ้ากล้าหรือไม่ แทงนางเสีย หากนางรอดจากดาบของเจ้า พ่อจะยกคนให้เจ้า”
จูชางหลางหยิบดาบขึ้นมาคิดแทงนางด้วยดาบเดียวให้เรื่องจบ ๆ
ทว่าเมื่อเห็นใบหน้าเล็กหวาดกลัวจนตัวสั่น กลับไม่อาจลงมือได้ แต่หากเขาไม่ลงมือไม่เพียงบิดามารดาของนางจะเสียชีวิต ทว่าแม้แต่ชีวิตของนางเขาเองก็ไม่อาจรักษาเอาไว้ได้
จูชางหลางพยายามสกัดกั้นอาการปั่นป่วนในกระเพาะด้วยอาการหวาดกลัวว่านางจะตายเพราะดาบของเขาอย่างสุดความสามารถ
อย่างไรก็ต้องลงมือ มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น
เด็กสาวร่างสั่นระริก นางอายุน้อยเพียงเท่านั้นกลับไม่หลบหนี ยังหลับตายินยอมให้เขาแทงจนจูชางหลางรู้สึกปวดหัวใจ
เพื่อช่วยพ่อแม่ของนาง หยางอี้หงยอมทุกอย่างกระทั่งชีวิตนางก็ไม่เสียดายแล้วหรือ
แล้วตัวเขาจะช่วยนางด้วยเหตุใด ปล่อยให้คนพวกนี้ตายตกไปตามกันดีหรือไม่
สุดท้ายแล้วเขาเองที่อ่อนแอ ไม่อาจหักใจทำฆ่านางได้จูอ๋องจึงเอ่ยว่า
“หากเจ้าไม่ลงมือชีวิตของครอบครัวมือสังหารนี้ก็ไม่อาจหลุดพ้นความตายไปได้ เป็นนักรบต้องรู้จักยามใดควรแข็งยามใดควรอ่อน”
จูชางหลางชี้ดาบไปที่ร่างเล็กของหยางอี้หง ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย หยางอี้หงยังหลับตาทั้ง ๆ ที่ตัวสั่นระริก น้ำตาของนางไหลออกมาไม่หยุด กลีบปากขบเม้มกันแน่น
ทว่าก่อนที่นางจะได้นับหนึ่งถึงสิบเพื่อตั้งสติ ดาบยาวเล่มนั้นก็แทงทะลุท้องของนางแล้ว
“อ๊ะ”
หยางอี้หงร้องออกมาคำหนึ่งเลือดก็ไหลท่วมกายของนาง ก่อนจะรู้สึกชาไปทั่วบริเวณที่ถูกแทง นางก้มลงมองร่างตนเองเห็นเลือดไหลออกมาจนเปียกชื้น หลังจากนั้นยังเงยหน้ามองซื่อจื่อ ทว่ามีเสียงสายตาว่างเปล่าที่ส่งให้นาง
หยางอี้หงกัดฟันข่มความเจ็บปวดเอาไว้ไม่ร้องออกมาสักคำ ดวงตากวาดมองไปที่ลานกว้าง
คิดว่าหากนางต้องตายขอเพียงซื่อจื่อรักษาคำพูดนางก็พอใจแล้ว
จูชางหลางดึงดาบออกมาจากอกของหยางอี้หง ก่อนจะหันไปทำความเคารพบิดา
“ท่านพ่อ”
จูเวินแสยะยิ้มแล้วเอ่ยว่า
“รวดเร็วยิ่งนักดาบนี้ของเจ้า แม้จะลังเลอยู่บ้างแต่ก็ไม่ทำให้ข้ารู้สึกหงุดหงิด เอาเถิดอายุเจ้ายังน้อยตัดใจได้เร็วเพียงนี้ก็นับว่าดียิ่ง พ่อเชื่อเจ้าแล้ว คนหากอยากได้ก็เอาไปเถิด อย่างไรพวกเขาก็ไร้พิษสงแล้ว”
จูชางหลางโขกศีรษะลง กล่าวกับจูอ๋องอย่างเป็นทางการ
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”
จูอ๋องสะบัดผ้าเดินจากไป เขารู้สึกเจ็บปวดในร่างกายเป็นอย่างมากทว่าไม่แสดงออกให้ผู้ใดรู้ ที่จริงแล้วบิดาของหยางอี้หงวางยาพิษจูอ๋องได้สำเร็จ
ภายในยังมีมือลอบสังหาร ภายนอกยังมีฝ่าบาทที่จ้องเล่นงาน เรื่องพิษในกายจูอ๋องยังสามารถต้านเอาไว้ได้ จนกว่าจะหายาถอนพิษได้จำต้องเก็บงำเอาไว้ไม่ให้ผู้ใดสังเกตเห็น
เพราะจูเวินรักประชาชนจนเกินไป คิดว่าตนเองให้โอกาสคนจึงได้ช่วยเหลือและพลาดพลั้งเพียงนี้ กว่าจะรู้ความจริงก็เกือบสายเกินไปแล้ว เขาจะไม่มีวันทำให้บุตรชายของเขาตกอยู่ในสถาณการณ์เช่นนี้อีก
หลังแทงเด็กสาวจนดาบแทบทะลุอก จูชางหลางก็สั่งให้คนพาตัวบิดามารดาของหยางอี้หงไปขังเอาไว้ในคุกมืดของจวน
ด้วยรับปากหยางอี้หงว่าจะรักษาชีวิตของคนทั้งสองเอาไว้จึงสั่งให้หมอไปตรวจดูและรักษาบาดแผลห้ามให้คนทั้งสองตายเด็ดขาด
เขายังสั่งให้บ่าวพาร่างเล็กของหยางอี้หงกลับเรือนทั้งยังให้ตามท่านหมอโดยด่วน
จูอ๋องเรียกจูชางหลางให้เข้าพบ จูชางหลางคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าบิดาด้วยรู้ว่าจูอ๋องจะพูดกับเขาด้วยเรื่องอันใด
“ท่านพ่อ”
“สตรีนางนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่านางเป็นผู้ใด”
“นางเป็นคนของแคว้นเจี่ยใช่หรือไม่ขอรับ”
จูอ๋องมองบุตรชายเงียบ ๆ ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า
“นางมิใช่บุตรสาวคนธรรมดา ท่านตาของนางคือฮ่องเต้แคว้นเจี่ย ท่านปู่ของนางคืออดีตเจ้าเมืองที่ถูกพ่อตีจนพ่ายและสังหารคนผู้นั้นกับมือ ก่อนที่บิดาของนางจะขึ้นครองเป็นเจ้าเมืองแทน ทว่าเขาเป็นเจ้าเมืองได้เพียงไม่กี่วัน ก็ต้องหลบหนีเพราะกองทัพของพ่อยึดครองเมืองได้ในยามนั้น”
ความจริงนี้ทำให้จูชางหลางตกใจไม่น้อย เดิมทีเขาคิดว่านางเป็นแค่บุตรสาวคหบดีจากแคว้นเจี่ยเท่านั้น คาดไม่ถึงว่านางเองก็มีฐานะสูงส่งถึงเพียงนี้
“ท่านพ่อ ท่านหมายความว่านางคือบุตรสาวเจ้าเมือง มิหนำซ้ำยังเป็นหลานสาวของฮ่องเต้แคว้นเจี่ยหรือขอรับ”
จูอ๋องพยักหน้า
“นางคือท่านหญิงหยางเผย นามรองหยางอี้หง ไม่ผิดแน่ ด้วยเหตุนี้คนพวกนั้นจึงกล้ายิ่งนักที่จะวางแผนลอบสังหารในจวนของเรา ความจริงพ่อคิดว่าพวกเขาได้ตายในกองเพลิงในยามนั้นที่เราเผาจวนของพวกเขา ทว่าคนที่ตายล้วนเป็นตัวแทนทั้งหมด”
จูชางหลางสูดลมหายใจเข้าลึก
“ลูกคิดไม่ถึงเลยขอรับ ว่าพวกเขาจะใจกล้าเพียงนี้”
จูอ๋องมองหน้าบุตรชายแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้าลงไม่น้อย
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนที่สังหารท่านแม่ของเจ้าในสนามรบคือผู้ใด”
จูชางหลางเริ่มใคร่ครวญ และแล้วดวงตาของเขาต้องเบิกกว้างด้วยความตกใจ น้ำเสียงของจูชางหลางยิ่งเบาจนแทบไม่ได้ยิน
“แม่ทัพเมืองจั่วในตอนนั้นขอรับ”
“ใช่ แม่ทัพเมืองจั่ว นั่นก็คือปู่ของหยางอี้หง”
เมื่อเอ่ยถึงความตายของมารดาหัวใจของเขาพลันพลุ่งพล่านปากแห้งเป็นผุย
เพราะเรื่องนี้เกิดมานานแล้ว ท่านพ่อก็ได้สังหารผู้ที่ฆ่ามารดาแล้วเขาจึงคิดว่าตนสงบลงได้
ทว่าเมื่อรู้ว่าคนผู้นั้นเกี่ยวพันอันใดกับหยางอี้หง หัวใจก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา จูชางหลางเอ่ยเสียงเบา
“เพราะหยางอ๋องต้องการแก้แค้นให้บิดา จึงวางแผนเข้าจวนเราโดยเอาชีวิตครอบครัวเป็นเดิมพัน”
จูอ๋องพยักหน้า “เป็นเช่นนั้น”
“ท่านพ่อ...ข้า”
จูอ๋องตบไหล่บุตรชายแล้วเอ่ยต่อ
“ฮ่องเต้แคว้นเจี่ยยังไม่รู้ว่าบุตรสาวของตนทั้งครอบครัวยังมีชีวิต ทว่าพ่อก็ไม่แน่ใจว่าฮ่องเต้ผู้นั้นให้ความสำคัญกับบุตรสาวมากเพียงใด พ่อจำต้องให้คนสืบข่าวให้ดี ชางหลางเจ้าเข้าใจใช่หรือไม่ ว่าบุตรสาวของศัตรูเจ้าไม่อาจยกย่องนางได้ ที่พ่อไว้ชีวิตเพราะคิดให้เจ้าใช้นางให้เกิดประโยชน์ในวันหน้า นางเป็นได้เพียงหมากตัวหนึ่งของเจ้าเท่านั้น ทั้งใบหน้าอันงดงามของนางล้วนมีประโยชน์ต่อเรา”
จูชางหลางก้มหน้า
“ลูกเข้าใจขอรับ”
“เข้าใจก็ดีแล้ว หากต้องการเลี้ยงสัตว์ไว้ใช้งานต้องรู้จักฝึกฝนมัน อย่าให้อิ่มและหิวจนเกินไป หากให้มันกินอิ่มมันจะเกียจคร้าน หากให้มันหิวเกินไปมันจะโกรธแค้น จงเลี้ยงมันให้เชื่องและเชื่อฟังเจ้า”
“ขอรับ ลูกเข้าใจทั้งหมด”
จูอ๋องพยักหน้ายิ้มอ่อนโยน
“ความหวังของคนในแคว้นเราต่อไปล้วนต้องฝากเอาไว้ที่เจ้า จงอย่าลืมหน้าที่นี้ ศัตรูอย่างไรก็ยังเป็นศัตรูอย่าได้ประมาท บทเรียนวันนี้ที่ทำให้เจ้าและพ่อเกือบจะเอาชีวิตไม่รอดขอให้เจ้าจงจำให้มั่น”
“ลูกไม่มีวันลืมขอรับ”
หลังจากที่แทงหยางหงอี้ จูชางหลาง ก็ไม่เคยแวะไปเยี่ยมดูอาการนางเลยสักหน ด้วยคิดว่าต่อไปนี้ระหว่างเขาและนางไม่มีความปรารถนาดีต่อกันได้อีกเช่นวันวาน นางเป็นเพียงสัตว์เลี้ยงของเขาตัวหนึ่งเพื่อใช้งานเท่านั้น!
หยางอี้หงนอนละเมอเพ้อด้วยพิษไข้ ด้วยนางยังคงเป็นเพียงเด็กผู้หนึ่งอาการนับว่าสาหัสยิ่งนัก คำเพ้อของนางฟังไม่เป็นคำ ท่านหมอของจวนเป็นหมอหลวงผู้หนึ่งที่มีฝีมือดียิ่งจึงรักษาชีวิตของนางเอาไว้ได้
เมื่อหยางอี้หงพ้นจากอันตราย จั่วเจี้ยนจึงไปรายงานให้จูชางหลางได้ทราบ
จูชางหลางนั่งดื่มชาอยู่เงียบ ๆ ในมือมีคัมภีร์เล่มหนึ่ง เป็นเล่มที่หยางอี้หงมักจะอ่านประจำ เขาวางมันลงแล้วเอ่ยว่า
“ตอนข้าแทงนางนั้น ได้ทะลวงจุดเหวียนชี่ของนาง หากนางรอดมาได้เจ้าก็ฝึกวรยุทธ์ให้นางเสีย หน้าที่นี้ของเจ้าก็ทำให้ดี”
“ขอรับ”
จั่วเจี้ยนอ้ำอึ้งอยู่ชั่วครู่คล้ายมีเรื่องจะเอ่ยแต่ไม่กล้า จูชางหลางจึงเอ่ยว่า
“มีสิ่งใดก็พูดมา”
จั่วเจี้ยนจึงเอ่ยว่า
“ซื่อจื่อ เหตุใดต้องช่วยนางขอรับ ครอบครัวของนางแฝงกายเข้ามาเพื่อสังหารท่านอ๋องและซื่อจื่อนะขอรับ บ่าวอย่างไรก็ไม่เข้าใจ”
จูชางหลางวางหนังสือลงแล้วเอ่ยว่า
“คนบางคนมีชีวิตยังใช้ประโยชน์ได้ดีกว่าปล่อยให้ตายเสียเปล่า ๆ”
“มิใช่ว่าซื่อจื่อใจอ่อนกับนางนะขอรับ”
“ใจอ่อนหรือ ช่างเป็นเรื่องฟุ่มเฟือยอย่างหนึ่ง”
“ซื่อจื่อ ข้าน้อยยังไม่เข้าใจ เด็กสาวนุ่มนิ่มเพียงนั้นจะใช้งานใดได้ขอรับ นอกจากเรื่องปรนนิบัติบนเตียง แม้ว่านางจะงดงามเพียงใดก็ใช่ว่าจะหาสตรีอื่นทดแทนไม่ได้ ซื่อจื่อท่านอย่าปล่อยให้ความงามของนางล่อหลอกเอาได้นะขอรับ”
เพียงเอ่ยคำนี้สายตาแข็งกร้าวของจูชางหลางก็แทบจะเผาไหม้จั่วเจี้ยนให้ดับสลาย เขาจ้องบ่าวของตนเขม็งแล้วเอ่ยเสียงเย็น
“โทษของตนเองเจ้าคงรู้ ออกไปรับโทษสามสิบไม้เสียแล้วอย่ามาให้ข้าเห็นสักหลายวัน สิ่งใดที่สั่งไว้ก็จงทำให้สำเร็จ”
จั่วเจี้ยนสำนึกผิดแล้ว เขาลืมไปว่าหยางอี้หงเป็นเพียงแค่เด็กอายุสิบสองปีจึงยังไม่สมควรเอ่ยเรื่องระหว่างชายหญิง ถ้าจะโทษก็คงต้องโทษที่นางเป็นสาวงามเร็วเพียงนั้นใบหน้ายังงดงามจนนึกว่านางพ้นวัยปักปิ่นมาแล้ว
ที่ผ่านมาซื่อจื่อไม่ชอบให้คนมองนางเช่นนั้นทั้งยังกลัวว่านางเป็นคนใสซื่อ ๆ จะเป็นอันตรายจึงมักจะพกนางไว้ข้างกายตลอด เพื่อให้คนรู้ว่าเด็กสาวคนนี้คือสตรีของซื่อจื่อ อยู่ในจวนนี้จึงไม่มีผู้ใดกล้ารังแก
เพราะซื่อจื่อดีเช่นนี้สุดท้ายจึงถูกครอบครัวของหยางหงอี้หลอกแทบเอาชีวิตไม่รอด ต่อไปจั่วเจี้ยนตั้งใจจะจับตามองเด็กสาวผู้นั้นให้ดีไม่ให้ย้อนกลับมาทำร้ายซื่อจื่อของเขาได้อีก