บทที่ 5
จั่วเจี้ยนเดินออกไปข้างนอก สั่งให้คนมาโบยตนเองสามสิบไม้ก่อนจะให้คนพยุงกลับไปที่เรือนยังเรียกหาคนมาช่วยทายา
ถูกลงโทษรุนแรงเพียงนี้จั่วเจี้ยนคิดว่า หรือว่าซื่อจื่อลืมไปแล้วหรือว่าเขาเองก็เพิ่งอายุสิบสี่ปีเท่านั้นนะ
สองเดือนต่อมาร่างกายของหยางอี้หงก็หายดีแล้ว เพราะมีร่างกายที่แสนวิเศษ ร่องรอยบาดแผลอันเกิดจากคมดาบของซื่อจื่อนั้นได้หายไปสนิทไม่ทิ้งเอาไว้แม้แต่รอยขีดข่วนบนร่างของนาง
ส่วนบิดามารดาของนางนั้นจูอ๋องได้ทำลายวรยุทธ์พวกเขาจนหมดสิ้น ทั้งยังถูกตัดเส้นลมปราณจนขาดสะบั้นอย่างไรก็ไม่อาจฟื้นคืนวรยุทธ์ได้อีก
เมื่อเป็นเช่นนั้นซื่อจื่อจึงปล่อยคนทั้งสองออกจากคุกมืด และย้ายมาคุมขังกักบริเวณอยู่ที่เรือนท้ายจวน ยิ่งทำให้หยางอี้หงรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณซื่อจื่อยิ่งขึ้นไปอีกที่ไว้ชีวิตบิดามารดาของตนเอง
แม้ว่าเรือนแห่งนี้จะไม่ใหญ่โตแต่ก็สะดวกสบายไม่น้อย ยังมีทหารคอยเฝ้าเอาไว้ไม่ให้คลาดสายตา
ทว่ายามนี้ท่านพ่อท่านแม่ของนางกลับกลายเป็นคนเสียสติไปแล้ว บิดาคุ้มคลั่งประเดี๋ยวดีประเดี๋ยวร้าย ในขณะที่มารดากลายเป็นคนความจำเสื่อมและยังเลอะเลือน
หยางอี้หงยังมองโลกในแง่ดี เมื่อคิดว่าความปราณีของจูชางหลางมีอยู่มาก นอกจากจะช่วยชีวิตบิดามารดาของนางแล้ว ยังให้บ่าวมาช่วยดูแลคนทั้งคู่โดยไม่ขาดตกบกพร่อง โดยที่นางเองนั้นไม่รู้เลยว่านี่เป็นวิธีการหนึ่งที่เขากำลังใช้บิดามารดาของนางมาเป็นเครื่องมือฝึกฝนให้นางเชื่อฟังและจงรักภักดีกับเขาด้วยชีวิต
เรื่องความเมตตาของซื่อจื่อที่มีต่อหยางอี้หงนี้ล้วนเล่าลือไปทั่วทั้งจวน
คงเพราะหยางอี้หงเป็นหญิงงามหายากในแผ่นดิน ถึงจะยังไม่ถึงวัยปักปิ่นแต่ซื่อจื่อก็หลงใหลนางนัก กระทั่งคนที่คิดสังหารตนเองซื่อจื่อยังไว้ชีวิต เพียงเพราะเป็นบิดามารดาของหยางอี้หง
ในยามที่หยางอี้หงมาพบบิดามารดา ก็ต้องพบกับความเศร้าโศกเมื่อบิดาของนางเพียงเห็นใบหน้าเล็กก็จ้องเขม็งสายตาดุดันและยังชี้หน้านางทั้งก่นด่า
“เจ้าสมควรตายนัก เจ้าคือท่านหญิงผู้สูงศักดิ์ยังคิดสวามิภักดิ์แก่ศัตรู ในเมื่อกล้าทำเรื่องเสื่อมเกียรติเช่นนี้ก็จงตายเสียดีกว่า”
หยางอี้หงเก็บข่มความเจ็บช้ำเอาไว้ ทว่าก่อนที่บิดาของนางจะกระโจนเข้ามาแล้วเงื้อฝ่ามือขึ้นหวังจะทำร้ายหยางอี้หง บิดาของนางกลับถูกจูชางหลางคว้ามือนั้นเอาไว้พร้อมทั้งบิดจนกระดูกแทบหัก
“โอ๊ย ปล่อยข้าเจ้าคนเลวข้าจะฆ่าเจ้า”
จูชางหลางใช้สายตาพิฆาตมองบิดาของหยางอี้หง เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
“ถ้าเจ้ากล้าแตะต้องนางแม้เพียงปลายเล็บ ข้าจะสังหารคนทั้งเมืองของเจ้าไม่ว่าสตรีหรือเด็กก็ไม่มีละเว้น”
คำขู่นั้นช่างน่ากลัวนัก บิดาของหยางอี้หงปากสั่นระริกเขายังคิดว่าตนเองเป็นเจ้าเมืองเช่นเดิมและยังจำจูชางหลางได้ ความกลัวเริ่มเข้าครอบงำ บิดาของหยางอี้หงส่ายหน้าแล้ววิ่งเข้าไปนั่งที่มุมหนึ่งยกมือปิดหูเอาไว้ แล้วกล่าวประโยคเดิมซ้ำไปซ้ำมา
“ไม่ตีนางแล้ว ไม่ตีนางแล้ว เจ้าไว้ชีวิตคนของข้าด้วยไว้ชีวิตพวกเขาด้วย”
หยางอี้หงน้ำตาร่วงเผาะ ไม่คิดไม่ฝันว่าจะมีวันนี้ วันที่ครอบครัวของนางไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
จูจางหลางตวัดสายตามองเด็กสาวแล้วเอ่ยกับจั่วเจี้ยนเสียงดัง
“หากนางต้องการมาที่นี่เจ้าก็มาเป็นเพื่อนนาง อย่าปล่อยให้นางมาเพียงลำพัง”
“ขอรับ”
หยางอี้หงกลั้นสะอื้น เด็กน้อยอายุเพียงสิบสองขวบปี ทั้งยังเป็นเพียงแค่เด็กหญิงจะอดทนได้มากเพียงใดกัน
สุดท้ายนางจึงได้แต่นั่งลงคุกเข่าต่อหน้ามารดา กอดขาคู่งามของมารดาเอาไว้แล้วร้องไห้สะอึกสะอื้น
มารดายื่นแขนมาลูบหลังของนางแล้วเอ่ยว่า
“เด็กน้อยเจ้าหลงทางมาหรือ ไม่ต้องกลัวนะข้าจะให้สาวใช้พาเจ้าไปกินข้าว หิวหรือไม่”
กระทั่งตัวนางบัดนี้มารดายังจำไม่ได้ หยางอี้หงส่ายหน้าร่ำไห้ เอาเถิดขอเพียงพวกเขายังมีชีวิต สักวันพวกเขาต้องดีขึ้น เพื่อบิดามารดาแล้วหยางอี้หงจะยอมแพ้ไม่ได้เป็นอันขาด
หยางอี้หงจับมือของมารดา เด็กสาวเช็ดน้ำตาแล้วเอ่ยว่า
“ท่านแม่ข้าต้องไปแล้ว ข้าจะมาเยี่ยมพวกท่านบ่อย ๆ”
มารดาไม่ได้ตอบนาง ดวงตาเหม่อลอยยิ่งนัก เมื่อหันไปดูบิดานางเองก็ไม่กล้าเข้าใกล้เขาแล้ว ด้วยยังหวาดกลัวว่าบิดาจะทำร้ายนางอีก บุรุษผู้นั้นยังนั่งอยู่ริมหน้าต่าง ดวงตาเหม่อลอยไม่ต่างจากมารดาของนางนัก
หยางอี้หงเช็ดน้ำตา ตั้งแต่เกิดเรื่องนางก็เอาแต่ร้องไห้ ไม่มีวันไหนเลยที่จะมีความสุข ดวงตาของนางบวมช้ำ กระนั้นใบหน้านี้ก็ยังงดงามชวนให้ตื่นตะลึง
นางเดินมาที่เรือนของตนเอง พร้อมกับจั่วเจี้ยน สาวใช้นางหนึ่งนำชุดใหม่มาให้นาง หยางอี้หงรับไว้ก่อนจะมองหน้าจั่วเจี้ยน
เขาบอกนางเสียงเบา
“ต่อไปเจ้าห้ามแต่งกายด้วยชุดสตรีอีก นอกจากซื่อจื่อจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น”
“เจ้าค่ะ”
นางรับคำและเปลี่ยนชุดแต่โดยดีบัดนี้ไม่มีคำถามใดออกจากปากของนางแล้ว ไม่ว่าซื่อจื่อจะสั่งสิ่งใดนางไม่อาจสงสัยนอกจากปฏิบัติตาม
เขาหาใช่ซื่อจื่อผู้อ่อนโยนใจดีอีกต่อไป เขากลายเป็นคนเย็นชาและไม่ไว้ใจนางอีกแล้ว
จั่วเจี้ยนมองตามแผ่นหลังเล็กที่หายเข้าไปในเรือน หยางอี้หงตัวเล็กเพียงนี้ ยังเป็นแค่เด็กคนหนึ่งเวรกรรมอันใดหนอทำให้นางต้องตกอยู่ในสภาวะเช่นนี้
ในยามนี้จั่วเจี้ยนหายโกรธนางแล้ว เขามั่นใจว่านางไม่รู้เรื่องที่บิดามารดากระทำ ยาพิษนั่นนางก็คงไม่รู้เรื่องเช่นกัน
ซื่อจื่อแม้จะคิดเหมือนเขา แต่ซื่อจื่อเกลียดคนโกหกยิ่งนัก ครอบครัวของหยางอี้หงโกหกซื่อจื่อ ยังเป็นคนร้ายคิดลอบสังหารเรื่องนี้ซื่อจื่อย่อมไม่มีวันให้อภัย
บ่าวคนนั้นเอ่ยกับเขาอย่างนอบน้อม ด้วยจั่วเจี้ยนนอกจากจะเป็นบ่าวคนสนิทของซื่อจื่อแล้ว เขายังเป็นองครักษ์และเพื่อนเรียนของซื่อจื่ออีกด้วย
“องครักษ์จั่ว ซื่อจื่อฝากความมาบอกให้แม่นางหยางเก็บข้าวของส่วนตัว ต่อไปให้ย้ายไปนอนที่เรือนข้างฝั่งซ้ายขอรับ”
จั่วเจี้ยนพยักหน้า
“เจ้าไปเถิดข้าจะบอกกับนางเอง”
หลังจากเปลี่ยนอาภรณ์เรียบร้อยหยางอี้หงก็ออกจากเรือน จั่วเจี้ยนมองเด็กสาวที่อยู่ในชุดบุรุษด้วยความรู้สึกตกตะลึงไม่น้อย
ไม่ว่านางจะแต่งกายแบบใดก็ยังคงความงามโดดเด่นไว้เช่นเคย
“กลับไปเก็บของใช้ที่จำเป็นของเจ้าเถิด ต่อไปนี้เจ้าต้องรับใช้ซื่อจื่อใกล้ชิด เป็นสาวใช้ประจำกายซื่อจื่อ”
เด็กสาวไม่ถามคำใด ทุกสิ่งนางล้วนเข้าใจทั้งหมด
“เจ้าค่ะ”
หลังจากหยางอี้หงเก็บข้าวของส่วนตัวที่มีอยู่น้อยนิดของตนเองแล้ว ก็เดินตามจั่วเจี้ยนไปยังเรือนของซื่อจื่อเงียบ ๆ
นางมาที่นี่บ่อยครั้งจนคุ้นเคย ทว่าบัดนี้ที่ต้องได้อยู่ที่นี่กลับรู้สึกแปลกนัก จั่วเจี้ยนหยุดหน้าเรือนแล้วเอ่ยว่า
“ห้องข้างด้านซ้ายเป็นของเจ้า ต่อไปก็ช่วยข้าปรนนิบัติซื่อจื่อให้ดี แม้ว่าเมื่อก่อนซื่อจื่อจะปฏิบัติต่อเจ้าประดุจคุณหนูผู้หนึ่ง ทว่าตอนนี้เจ้าต้องลืมเรื่องพวกนั้นให้หมด เพราะต่อไปเจ้าต้องกลายเป็นสาวใช้ของซื่อจื่อเต็มตัวแล้ว”
ที่ผ่านมาซื่อจื่อคิดว่าบ้านเดิมของหยางอี้หงนั้นต้องเป็นคหบดีมีฐานะไม่น้อย มือไม้ของนางนุ่มนิ่มกิริยามารยาทล้วนถูกขัดเกลามาอย่างดี
จั่วเจี้ยนรู้ดีว่า ซื่อจื่อเองก็ถามเรื่องบ้านเดิมของนางเมื่อครั้งได้พบนางใหม่ ๆ ทว่าหยางอี้หงกลับเลือกที่จะปกปิดความจริง ในขณะที่ซื่อจื่อเองก็ไม่ถามต่อด้วยกลัวว่าจะกระทบจิตใจของนางเข้า
ซื่อจื่อเห็นนางไม่เคยลำบากจึงถนอมนางนัก ทั้งยังปฏิบัติกับนางดุจคุณหนูผู้หนึ่ง พลอยทำให้บ่าวไพร่เกรงใจและปฏิบัติต่อหยางอี้หงและครอบครัวของนางอย่างดีด้วยเช่นกัน
ความจริงแล้วเรื่องทั้งหมดไม่ควรลงเอยเช่นนี้ อนาคตของหยางอี้หงอาจเป็นได้ถึงหวางเฟย ทว่าบิดามารดาของนางกลับวางแผนร้ายคิดเหิมเกริมเพียงนั้นเรื่องจึงกลับพลิกผันไปแล้ว
จั่วเจี้ยนยิ่งเห็นท่าทางเศร้าสร้อยไร้รอยยิ้มและใบหน้าเล็กซีดเซียวยิ่งรู้สึกสงสาร
อย่างไรนางก็เป็นเพียงเด็กน้อยผู้หนึ่ง ความแค้นระหว่างแคว้น ความแค้นส่วนตัวของผู้ใหญ่ไยนางต้องเป็นผู้แบกรับเอาไว้
น้ำเสียงที่เอ่ยกับนางจึงอ่อนโยนลงหลายส่วน
“เจ้าก็รู้ว่าข้าอยู่ปีกขวา หากมีสิ่งใดไม่เข้าใจเจ้าถามข้าได้ทุกยาม”
“เจ้าค่ะพี่เจี้ยน”
หยางอี้หงเดินเข้าไปด้านในเพื่อเก็บของใช้ส่วนตัวของตนเอง ห้องข้างด้านซ้ายเป็นห้องเล็กสร้างไว้ติดกับห้องของซื่อจื่อ หยางอี้หงไม่เคยรู้มาก่อนว่าห้องนั้นแท้จริงมีไว้สำหรับนางข้างห้อง ยามซื่อจื่อเติบใหญ่คนที่อยู่ห้องนี้ต้องคอยปรนนิบัติซื่อจื่อบนเตียง
หยางอี้หงเก็บของเสร็จ จั่วเจี้ยนก็พานางไปยังลานฝึกธนู
“วันนี้ซื่อจื่อต้องการทดสอบฝีมือ แต่เดิมเป็นข้าที่ต้องทำหน้าที่นี้ ทว่าซื่อจื่อบอกว่านับจากนี้ต้องเป็นเจ้าแล้ว”
พูดจบนางก็ถูกพาไปยืนอยู่ตรงกลางเป้า จั่วเจี้ยนวางผิงกั่ว ลูกหนึ่งไว้บนหัวของนาง แล้วเอ่ยว่า
“หากไม่อยากตายอย่ากระดุกกระดิกห้ามให้ผิงกั่วหล่นลงมา ปกติซื่อจื่อยิงธนูแม่นยำนัก เจ้าจะปลอดภัย”
หยางอี้หงขาสั่นรู้แล้วว่าหน้าที่นี้คือสิ่งใด นางไม่เคยได้เห็นกับตาเพราะที่ผ่านมาซื่อจื่อกลัวนางตกใจจึงไม่เคยพามาที่นี่ ทว่าเคยได้ยินคนเล่าลือมาบ้างว่าซื่อจื่อใช้คนเป็นเป้าธนู
บัดนี้เข้าใจกระจ่างแจ้ง ใจอยากจะวิ่งหนีด้วยกลัวว่าลูกธนูจะพุ่งเข้าสู่ร่างของนาง ทว่าเพราะคิดถึงใบหน้าบิดามารดาและคำมั่นที่ตนให้ไว้จึงได้แต่ยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน ในขณะที่ใบหน้านั้นแทบจะไร้สีอยู่แล้ว
ไม่นานจูชางหลางก็โผล่มาในชุดยิงธนูสีดำผ่าเผย องอาจหล่อเหลาเป็นอย่างมากเขายืนอยู่อีกฝั่งหนึ่ง หลังจากรับธนูจากจั่วเจี้ยนแล้วก็ง้างสายธนูเล็งมาที่นาง
จูชางหลางดึงสายธนูจนตึง หยางอี้หงกลัวจนตัวสั่น นางหลับตาปี๋คิดถึงบทสวดสงบใจ ขอให้สวรรค์คุ้มครองให้ซื่อจื่อยิงแม่นยำอย่าได้พลาดมาถูกร่างของตนเอง
ลูกธนูถูกยิงมาอย่างรวดเร็ว หยางอี้หงอยากจะกรีดร้องทว่าได้แต่จิกเล็บเข้าที่เนื้อของตนเอง
ธนูดอกหนึ่งถูกลูกผิงกั่วตรงกลางเป้า ทว่าซื่อจื่อไม่ได้ยิงมาเพียงดอกเดียว เป็นการยิงธนูพร้อมกันสองดอก อีกดอกหนึ่งเฉียดใบหูของนางไป และทำให้เกิดแผลกระทั่งเลือดหยดติ๋งลงมา
ครานั้นนั่นเองที่เข่าของหยางอี้หงอ่อนลงและนั่งพับไปตรงนั้น
จั่วเจี้ยนรีบวิ่งเข้ามาดูอาการของนาง แล้วตะโกนบอกกับซื่อจื่อของตนที่มีสีหน้ารำคาญใจที่เห็นนางเป็นเช่นนั้น
“ซื่อจื่อ นางยังไม่ตายขอรับธนูเข้าเป้า เพียงแต่มีดอกหนึ่งถากใบหูของนางไปขอรับ นางได้รับบาดเจ็บตรงใบหูเลือดไหลออกมาแล้วขอรับ”
จั่วเจี้ยนอธิบายเสียละเอียด ทว่าจูชางหลางกลับไม่สนใจอาการบาดเจ็บเล็กน้อยนั่น
จูชางหลางร้อง หึ ออกมาคำหนึ่ง ก่อนจะตะโกนกลับด้วยเสียงอันดัง
“ให้นางยืนขึ้น ถ้าไม่อยากตายก็ให้นางยืนนิ่ง ๆ ห้ามนางหลับตาโดยเด็ดขาด”