ตอนที่ 3
สายตาคู่คมมองเสี้ยวหน้าสวยที่แม้มีความมืดมิดของรัตติกาล บดบัง ทำให้มองเห็นได้ไม่ชัดก็ไม่อาจกลบรัศมีความงดงามนี้ได้เลย อยากมองไปอีกนานๆ ไม่อยากให้แยกจากไปไหน ยิหวานั้นเหมือนกับตุ๊กตามีชีวิตไม่มีผิด ผมยาวสีน้ำตาลสลวยทิ้งตัวลงกลางหลังดัดลอนคลายตรงปลาย ดูเซ็กซี่โครงหน้ารูปไข่เรียวสวย หน้าผากกลมนูนน่าประทับ รอยจูบ คิ้วเรียวงามรับกับดวงตากลมโตคู่หวาน จมูกโด่งน่ารัก ริมฝีปากอวบอิ่มน่าสัมผัส ยามขยับมองแล้วเพลิดเพลินตา ลำคอระหง น่าซุกไซ้ ฝากรอยตีตราให้ถ้วนทั่ว เวลาผู้ชายมองมันจะได้เห็นและรู้ว่าผู้หญิงคนนี้ห้ามยุ่ง ทรวงอกอวบใหญ่ พุ่งดัน ชูช่อ น่าฝังใบหน้าลงไป คลอเคลีย ปัดป่าย ดูดยอดอกให้สะใจ พร้อมบีบเคล้นไปด้วย ผิวพรรณ หรือก็นวลเนียนกระจ่างใส รูปร่างเพรียวบางอรชรอ้อนแอ้นเป็นรูป ทรงนาฬิกาทรายตามแบบฉบับของสาวสวยหุ่นดีที่ไม่ผอมแห้งจนเกินไป และไม่ต้องยั่วยวน ไม่ต้องทำอะไรเลย แค่อยู่เฉยๆก็น่าฟัด น่าขยุ้มขย้ำเหลือเกิน เป็นเพราะอย่างนี้ไงเล่าที่ทำให้เขาต้องช่วยปลดปล่อยความ อัดอั้นให้ตัวเองอยู่เสมอ
“ยิหวา...ยิหวา” ชื่อนี้ช่างไพเราะ ฟังแล้วลื่นหูเหลือเกิน ในความรู้สึกของเขา เมื่อยิหวาหันมามองด้วยสายตาเป็นคำถามระคนสงสัยได้น่าขย้ำ เขาจึงยิ้มและยิ้มเหมือนคนบ้า นี่กูกำลังเมาเหรอวะ ถามตัวเองอย่างมึนๆ
ไม่หรอก...ไม่ได้เมาเหล้าแน่นอน เพราะดื่มไปแค่ไม่กี่แก้ว ถ้าตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์กันจริง ในเลือดไม่มีทางที่จะเกินกว่ากฎหมายกำหนดแน่นอน แต่ถ้าจะเมาก็คงจะเมาเพราะยิหวาเป็นคนทำ นั่นแหละ ผู้หญิงคนนี้ หน้าตาแบบนี้ที่ทำให้เขาอยู่ไม่เป็นสุข ร้อนรน เมื่อไม่ได้เห็นหน้าค่าตาของสาวน้อยที่มีอิทธิพลต่อความรู้สึก กระวนกระวายแทบบ้า เพ้อหาจนต้องพาตัวเองมายังชั้นแผนกการเงินเพื่อแอบมองอยู่บ่อยๆ
“ยิหวา”
กันตพัฒน์เรียกชื่อซ้ำๆแต่ไม่ได้พูดอะไร นอกจากยิ้มอย่างเดียว ทำเอาเดาอารมณ์ไม่ถูกเลย และเพียงแค่เขาพูดคำว่ายิหวาด้วยน้ำเสียง นุ่มละมุน ชวนฟัง ปลายหางเสียงแผ่วหวิว ความร้อนวูบวาบ แบบประหลาดก็เข้ามาปั่นป่วนในช่องท้อง วูบโหวง เขาคงไม่ได้คิดจะแกล้งอะไรหรอกใช่ไหม แต่ถึงมีความคิดนั้นก็ไม่ขออยู่ต่อแล้ว อยากออกไปสูดอากาศนอกรถเต็มทีแล้ว
“ขอบคุณมากนะคะท่านประธานที่กรุณามาส่งจนถึงหน้าบ้าน” สองมือบางยกขึ้นประนมไหว้คนอายุมากกว่าตามหลักมารยาทอันดี เมื่อเขามีน้ำใจกับตนเองโดยที่ไม่ได้ร้องขอก็ต้องขอบคุณกันหน่อย อีกทั้งเขายังเป็นเจ้านายด้วย แข็งมากไปคงไม่เป็นผลดีแม้เขาจะทำให้เจ็บใจหลายครั้งแล้วก็ตาม เตรียมตั้งท่าจะเปิดประตูเพื่อลงจากรถ แต่มือแกร่งก็จับแขนเอาไว้เสียก่อน หันขวับมอง พลางเอียงคอรอฟังว่าเขาจะพูดอะไรอีก
“อย่ากัดปากตัวเองแบบนี้สิยิหวา พี่ไม่ชอบ ปากสวยๆมันจะช้ำ ซะเปล่าๆ ต่อไปนี้เวลาคิดหรือเครียดอย่าทำอีกรู้ไหม ใช้วิธีอื่นแทน” กันตพัฒน์ดุเสียงเข้ม เท่าที่สังเกตผู้หญิงหลายคนมักจะทำเช่นนี้เมื่อมีเรื่องให้คิดหรือไม่มั่นใจกับอะไรบางอย่าง ซึ่งคนอื่นเขาไม่สน จะทำก็ทำไป แต่ต้องไม่ใช่ยิหวา
ก่อนหน้านั้นเขาไม่มีโอกาสได้ห้าม เพราะยังไม่พบกัน แต่ตอนนี้ถ้าเห็นเขาจะเป็นคนห้าม พลางเอื้อมมือมาเกลี่ยกลีบปากนุ่ม ให้ฟันที่กัดอยู่คลายออก ถ้ามันจะชอกช้ำขึ้นมาจริงๆให้เกิดจากเขาเป็น คนทำเองยังจะดีซะกว่า และช้ำในแบบฉบับของเขาก็คือจูบจนบวม จนช้ำเท่านั้น
อา ว่าแล้วก็อยากจะเปลี่ยนจากปลายนิ้วที่คลึงอยู่เป็นริมฝีปากตัวเองมันเสียเดี๋ยวนี้เลย
ใจอยากจะพูดประโยคนี้ออกไปนะ ‘แล้วมันเรื่องของเธอไหมเล่า’ ปากมันก็คือปากของเธอ ไม่ใช่ของเขาสักหน่อย จะมาห้ามโน่นนี่ได้ยังไง แต่ก็ขี้เกียจเถียงด้วย เลยได้แต่ผลักมือเขาออกห่าง อึดอัด เธอกำลังเกิดความรู้สึกนี้ และเหมือนว่าตัวเองกำลังถูกไล่ต้อนจากความอันตรายในรูปแบบของคนเจ้าเล่ห์ ที่ไม่รู้ว่าเจตนาที่แท้จริงต้องการอะไรกันแน่ บรรยากาศมันก็ชวนให้คิดว่าไม่สมควรอยู่ตรงนี้นานไปกว่านี้ ใจมันสั่นหวิวยังไงก็ไม่รู้
“ไม่ทราบว่าจะปล่อยมือดิฉันได้หรือยังคะท่านประธาน ดึกมากแล้วดิฉันต้องการพักผ่อนค่ะ ท่านประธานเองก็สมควรแก่เวลาที่จะกลับบ้านไปนอนหลับพักผ่อนเช่นกันค่ะ” จำต้องพูดเสียงอ่อน หวังให้เขาเห็นใจ เธอเหนื่อยจริงๆ ไม่ได้โกหกเลย ไม่ใช่ว่าทำงาน หนักมากจนเกินไป คือเหนื่อยที่จะสู้รบ ปรบมือกับเขาแล้วด้วย พอสองอย่างมารวมกันมันเลยคูณสอง กลับมาถึงบ้านก็อยากอาบน้ำ และเข้านอน แต่ติดที่ยังไม่สามารถไปไหนได้ ไม่รู้ว่าเขาจะกักกันตัวเอาไว้ทำไม ไม่เห็นใจกันบ้างเลย
ยิหวาเป็นห่วงเขาอย่างนั้นเหรอ ถึงอยากให้เขากลับไปพักผ่อน ที่บ้าน เพราะว่าตอนนี้ดึกมากแล้ว คิดอย่างนี้แล้วสบายใจ ยิ้มได้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ความหมายที่แท้จริงคืออยากจะไล่ให้รีบๆกลับไปให้พ้นๆสักที แต่เอาเถอะ เขาจะยึดติดคำพูดแรกเป็นหลักก็แล้วกัน ซึ่งก็คือยิหวาเป็นห่วง
“ยิหวา”
คิ้วเรียวงามขมวดมุ่น ชักจะหงุดหงิดมากแล้วนะ เรียกอยู่นั่นแหละ “มีอะไรก็พูดสิคะ ดิฉันไม่มีเวลามานั่งฟังท่านประธานเรียกชื่อตลอด ทั้งคืนหรอกนะคะ อะ...อื้อ!!” ดวงตากลมโตเบิกกว้าง เพราะตื่นตกใจ มากกว่าครั้งไหน ร่างกายแข็งค้างเฉียบพลัน หัวใจเต้นระรัวจนกลัวว่ามันจะทะลุออกมาด้านนอก เมื่อริมฝีปากถูกคนฉวยโอกาสครอบครอง อย่างรวดเร็ว ท้ายทอยถูกจับบังคับให้แหงนหงายขึ้นเพื่อรับจูบ ซึ่งมันคือ จูบแรกของเธอ! กลางแผ่นหลังถูกมือใหญ่ดันให้เบียดเข้าหา แผงอกอุ่น แทบจะหล่อหลอมร่างกายเข้าด้วยกัน บ่ายเบี่ยง ดิ้นขัดขืนเท่าไหร่ไม่เป็นผล
สองมือเรียวบางทุบไหล่แกร่งดังตุ้บๆอย่างไม่ยอมแพ้ง่ายๆ พลางออกแรงดิ้นรนอยู่ในอ้อมแขนแข็งแรงที่รัดรอบเอวเอาไว้จนแทบจะขยับเขยื้อนร่างกายไปไหนไม่ได้เลย เสียงอู้อี้อึกอักดังประท้วงอยู่ในลำคอจนเหนื่อยและต้องหยุดไปเอง เกิดความรู้สึกวูบโหวงในอก ในช่องท้องน้อย ทั้งยังเหมือนร่างกายกำลังจะลอยขึ้นเคว้งคว้างอยู่กลางอากาศในสภาพไร้น้ำหนัก อึดอัด และหายใจไม่สะดวก สิ่งเหล่านี้คือที่เธอกำลังประสบพบเจออยู่
“อืม...” เสียงแหบห้าวครางลึกอย่างพึงพอใจกับรสจูบแสนหวาน
รุกเร้าเรียวปากนุ่มได้สักพัก มือใหญ่ก็รวบกอดเอวคอดไว้มั่น ส่วนมืออีกข้างช้อนเข้าใต้ขาพับยกร่างบางให้ย้ายมานั่งบนตักเพื่อที่จะได้ทำอะไรถนัดมากยิ่งขึ้นโดยที่ริมฝีปากยังคงบดเคล้ากลีบปากงามอย่าง หนักหน่วง ปัดป่ายฝ่ามือหนาทั่วแผ่นหลังบอบบางถ้วนทั่ว ท่ามกลางแรงขัดขืนอันน้อยนิดที่เทียบไม่ได้เลยกับเรี่ยวแรงของเขาที่มีเหลือเฟือ ยิหวาทำได้มากสุดก็แค่ดีดดิ้น ฟาดมือทุบตีเปนระยะ และส่งเสียงประท้วงอึกอักอยู่ในลำคอ
จินตนาการในวันวานกลายมาเป็นความจริงในวินาทีนี้คล้ายได้รับน้ำทิพย์มาชโลมหัวใจและร่างกายที่แห้งผากมาเนิ่นนานให้ได้กลับมากระชุ่มกระชวยอีกครั้ง ความลำพองใจ ความฮึกเหิมจึงบังเกิด หลอกล่อไม่นานก็สามารถเข้าไปสำรวจในโพรงปากเล็กได้สำเร็จ เก็บเกี่ยวความหวานล้ำ ตักตวงราวคนหิวโหย เรียวลิ้นสากหนากวาดต้อนอย่างคนชำนาญ เพราะสั่งสมประสบการณ์มาเนิ่นนานตั้งแต่ช่วงเข้าสู่วัยรุ่นกระทั่งวัยเกือบแก่ ดูดดึงกลีบปากนุ่มนิ่มสลับกับการดูดลิ้นสาวอย่าง คลั่งไคล้ปนหื่นกระหาย
“หวาน...หวานมากยิหวาจ๋า” เสียงทุ้มพึมพำชิดเรียวปากงาม พลางดูดดึงกลีบปากของคนตัวเล็กเชิงหยอกเย้า จูบนี้เป็นจูบที่หวานที่สุด นับตั้งแต่เคยได้จูบผู้หญิงมา และพอได้ลิ้มรสชาติตรึงใจเขาก็อยากได้มากกว่านี้ เพราะร่างในอ้อมกอดได้ปลุกลูกชายเขาให้ได้ตื่นจากการหลับใหลเป็นที่เรียบร้อย และไม่ใช่ว่ามันเพิ่งจะตื่น มันตื่นมานานแล้ว แค่เพียงเขาข่มกลั้นเอาไว้
“อื้อ!!”
ยิหวาเหมือนจะสิ้นฤทธิ์แต่ก็ยังคงมีแรงพอที่จะขัดขืนอยู่ เป็นระยะเมื่อสติสั่งการ สองมือต่างพร้อมใจตะกุยหลังคอแกร่ง ฝากรอยเล็บคมๆที่ให้ความรู้สึกแสบๆคันๆเอาไว้เป็นตราประทับ ในขณะที่ริมฝีปากยังคงประกบกันอย่างแนบแน่น นานหลายนาทีกว่าจะได้รับอิสระภาพ
“อ่าส์...ยิหวาจ๋า อย่าดิ้นไปดิ้นมามากสิคนดี เดี๋ยวพี่ทนไม่ไหวขึ้นมาได้จับเราปล้ำทำเมียตรงนี้แน่นอน พี่ไม่อยากให้ครั้งแรกของเรา สองคนเกิดขึ้นบนรถหรอกนะ ถึงมันจะตื่นเต้นแค่ไหนก็ไม่โอเคนักหรอกสำหรับมือใหม่” กันตพัฒน์เอ่ยเตือนคนดื้อที่ยังคงดิ้นไม่หยุดด้วยน้ำเสียงสั่นพร่า ยิ่งร่างกายเสียดสีกันไปมาแบบนี้ด้วยแล้ว อารมณ์ความต้องการมันก็พวยพุ่งออกมาจนปวดร้าว แทบปริแตก ทั้งที่แอร์ภายในรถเย็นฉ่ำ แต่ร่างกายและใจมันกลับร้อนรุ่มเหมือนนั่งอยู่ในเพลิงทะเล พลางฝังใบหน้าลงกับซอกคอระหง ขบเม้มตามแรงอารมณ์เพื่อสะกดความรู้สึกที่ตื่นเตลิดอยู่ในขณะนี้ให้สงบลง แต่มันก็ช่างทำได้ ยากมากเหลือเกิน
หญิงสาวดิ้นๆอยู่ถึงกับหยุดชะงักกึก คล้ายว่าถูกใครมากดปุ่มสต็อปไว้ พลางลอบกลืนน้ำลายหนืดๆลงคออย่างหวาดหวั่นระคนตกใจ บ้ามาก! เขาพูดเรื่องพวกนี้ได้คล่องปากมาก อยากกัดลิ้นตัวเองตายมัน ตรงนี้ ปล้ำทำเมีย ครั้งแรก โอ๊ย!
“คุณก็รีบปะ...ปล่อยยิหวาไปสักทีสิคะ เราไม่ควรอยู่แบบนี้” ลิ้นแทบจะพันกัน และอยู่ๆก็เกิดอยากจะเป็นลมขึ้นมาดื้อๆเลย จากเดิมทีที่อ่อนแรงอยู่แล้ว ร่างกายยิ่งอ่อนปวกเปียกไปกันใหญ่ จำต้องทิ้งศีรษะตัวเองลงกับซอกคอแกร่งอย่างหมดเรี่ยวหมดแรงและหวังจะบดบังใบหน้าที่เดาว่ามันต้องแดงมากแน่ๆ ถึงมันจะมีความมืดช่วย กลบเกลื่อนแต่ความร้อนวูบวาบที่กำลังเกิดขึ้นก็ไม่มีสิ่งใดช่วยเธอได้ถ้าเขายังไม่ยอมหยุด ตอนดิ้นเพื่อหวังให้คนฉวยโอกาสเลิกลวนลามก็ไม่ได้ คิดอะไร สาบานได้
พอเขาจุดประกายความคิดขึ้นมาเท่านั้นแหละ เธอรู้สึกถึงบางอย่างที่ต้นขาของตนเองกำลังบดเบียดในทันที ไหนจะคำพูดคำจาชวนให้ มือไม้ลั่น กระแทกซีกแก้มขาวๆของเขาให้เป็นรอยแดงปื้นอีก บ้าที่สุด! โกรธก็โกรธ โมโหก็โมโหแต่ก็อาละวาดไม่ออก ร่างกายมันหนักอึ้งไปหมด
“ยังไม่ปล่อยได้ไหมคนดี พี่อยากอยู่กับยิหวาท่านี้ไปนานๆ” กันตพัฒน์วอนขอเสียงสั่นพร่าตามอารมณ์ปรารถนาที่กำลังเล่นงาน ยกมือขึ้นกอบกุมทรวงสาวทั้งสองข้าง หลับตาฟอนเฟ้นอย่างพึงพอใจ กับความใหญ่เต็มไม้เต็มมือของแหล่งโปรตีน มุมปากแย้มยิ้ม พลางเพิ่มแรงบีบเคล้นหน้าอกอวบที่เฝ้าใฝ่ฝันว่าอยากจะสัมผัสมานานหนักมือขึ้นเรื่อยๆ มันสมใจอยากก็จริง แต่จะให้สมใจมากกว่านี้ต้องได้เห็นมันเต็มๆตา โดยที่ไม่มีอะไรมาขวางกั้นโนมเนื้อนูนเด่น เต่งตึงคู่นี้ของจริงต้องสวยมากแน่นอน เขามั่นใจ แค่คิดก็อยากจะลงมือกระชากชุดสวยออกจากร่างเล็กให้มันขาดวิ่นจนสวมใส่ไม่ได้อีกมันเดี๋ยวนี้เลย เกะกะลูกตาฉิบ!
ข้างฝ่ายผู้ถูกกระทำอย่างยิหวาก็มีอาการสั่นน้อยๆ หอบหายใจแรง ยอดอกคล้ายว่ามันตอบรับสัมผัสหวาบหวาม ดุนดันอยู่ในเสื้อชั้นใน ร่างกายจวนเจียนจะพ่ายแพ้เต็มที เพราะไม่เคยต้องมือชายใดมาก่อน แต่ไม่สิ เธอต้องไม่ยอมแพ้เขาง่ายๆยิหวา รวบรวมแรงกาย แรงใจ ง้างมือขึ้นสูงแล้ว...
เผียะ!!
ตั้งใจจะฟาดลงบนแก้มให้เต็มแรงให้สมกับความโมโห แต่ดันพลาดไปกระทบไหล่แกร่งแทน เพราะเขาอาศัยความว่องไวหลบทัน แต่แทนที่จะสลดหรือสำนึกผิด ไม่มีหรอก ยังคงหน้าระรื่น ทั้งคำพูดคำจา และการกระทำ บวกกับรอยยิ้มในความมืดมันยิ่งทำให้เขาดูเจ้าเล่ห์แสนกลแบบร้ายกาจขึ้นอีกเป็นสิบๆเท่า เพิ่มเติมคือมือที่เกาะกุมหน้าอกเธอเอาไว้นั้นบีบเคล้นหนักกว่าเก่าจนรู้สึกเจ็บขึ้นมานิดๆแล้ว อายก็อาย โกรธก็โกรธ ตีแล้วไม่ได้ผลก็ใช้เล็บยาวคมๆตะกุยหลังคอแกร่งเพื่อให้มือเหนียวๆ หลุดออกจากอก
“ซี๊ด...ยิหวา พี่เจ็บครับ” เจ็บและแสบแค่นี้ไม่ใช่ว่าร่างกายทนรับไม่ไหว เพียงแต่เรียกร้องความสนใจจากแม่เสือสาวก็เท่านั้น แต่ดูเหมือนว่า ความน่าสงสารนี้จะไม่ได้ผล ยิหวาน้อยฤทธิ์เยอะยังคงตะกุยต่อไปอีก ทำร้ายร่างกายเขาไม่มีคำว่าปรานีเลย ขนาดว่าแรงเท่าแมวข่วนแต่ก็สามารถนำพาความเจ็บมาให้ไม่น้อยเลย พยศมากแบบนี้ถ้าอยู่บนเตียง คงได้ปราบกันนาน
“มีสิทธิ์อะไรถึงมาทำแบบนี้กับฉัน! ฉันไม่ใช่ผู้หญิงของคุณนะ ที่คิดจะทำยังไงก็ได้น่ะ ถึงจะเป็นแค่เด็กฝึกงานก็ใช่ว่าคุณจะทำยังไงก็ได้ตามใจชอบ คุณไม่มีสิทธิ์ได้ยินไหมคะท่านประธาน และอย่าลืมเราว่า สองคนไม่ได้เป็นอะไรกัน” น้ำเสียงที่เคยหวานใสแหวลั่น คำว่าไม่มีสิทธิ์ที่พูดออกนั้นอย่างชัดถ้อยชัดคำเพื่อหวังจะให้ซึมซับเข้าสู่สมองของอีตาประธานจอมฉวยโอกาส เล็บคมๆจึงหยิกหมับบนหลังมือหนาเต็มแรง แต่ก็ไม่ระคายหนังหนาๆของคนฉวยโอกาส ไม่เคยมีผู้ชายคนไหนใครกล้าทำเช่นนี้กับเธอมาก่อน เขาเป็นคนแรกที่อุกอาจ ลวนลามแบบ หน้าด้านๆ มึนๆ
“แล้วพี่ต้องทำยังไงถึงจะมีสิทธิ์ในตัวของเธอยิหวา บอกพี่มาสิ พี่พร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองได้รับสิทธิ์นั้นจากเธอ!!” กันตพัฒน์สวนกลับด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมและค่อนข้างจะใส่อารมณ์ พลางกอดรัดเอวคอดกิ่วเอาไว้แน่นอย่างหวงแหน และมันแน่นมาก จนยิหวาต้องนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ กรามแกร่งขบกัดกันแน่นจนเห็นขากรรไกรขึ้นเป็นสันนูนชัดเจน พลางบอกตัวเองว่าต้องข่มอารมณ์ แต่มันก็ยากยิ่ง
ไม่มีสิทธิ์!!! คำๆนี้มันช่างบาดหูยิ่งนัก และแสลงหูยิ่งกว่าประโยคที่ว่าเราไม่ได้เป็นอะไรกันยิ่งกว่าหลายเท่านัก แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ให้ความรู้สึกหน่วงๆในอกอย่างอธิบายไม่ถูก เขาอยากมีสิทธิ์ในตัว ของยิหวาทุกเรื่องและทุกอย่างโดยชอบธรรม เพราะเขาเป็นคน ละโมบโลภมาก นาทีนี้ยอมรับเลยว่าอยากจะครอบครองทั้งตัวทั้งใจ จะไม่มีวันให้สิทธิ์นั้นตกไปอยู่ในมือของผู้ชายคนอื่นได้เด็ดขาด เขาต้องได้มันแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น
ดวงหน้าสวยหงิกงอ คิ้วเรียวงามขมวดกันจนเป็นปมยุ่งเหยิง เรียวปากอวบอิ่มเม้มแน่นเมื่อกล่าวความในใจจนจบอย่างคนที่ไม่รู้ว่าต้องจัดการปัญหาและตัวปัญหายังไงดี ทั้งมึน ทั้งงง ทั้งสับสนไปหมด ชีวิตต่อจากนี้ต่อไปเธอมองเห็นเค้าลางแห่งความวุ่นวายที่จะตามมา แล้วด้วย แค่คิดก็เพลีย!
......
ก
ว่าจะพาตัวเองลงจากรถมาได้ก็เล่นเอาเหนื่อยทั้งกาย เหนื่อยทั้งใจ สูญเสียพลังงานไปก็มากโข แต่เสียเปรียบทางร่างกายนี่สิ หนักที่สุด อยากจะบ้าตายกับผู้ชายคนนี้ แถมยังไม่ยอมปล่อยง่ายๆด้วย ดื้อด้านเอาแต่ใจไม่ดูอายุตัวเองเลย ต้องบอกว่าเอาไว้ค่อยคุยกันวันหลัง เพราะคืนนี้เธอง่วงนอนมากแล้วจริงๆ ใช้เวลาต่อรองอยู่นานกว่าจะ หลุดออกมาจากรถของท่านประธานผู้ยิ่งใหญ่ได้ ขนาดว่าแยกจากกันแล้วยังไม่แคล้วทิ้งความปั่นป่วนไว้ให้อีก สติก็แตกไม่น้อย เพราะตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเจอสถานการณ์เช่นนี้เลย หัวใจเจ้ากรรมก็นะ มันหวิวๆคล้ายจะเป็นลมอยู่ตลอดเวลา
แหงนหงายใบหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่มีดวงดาวทอประกายระยิบระยับประปรายกับพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวอยู่บนนั้น สถานที่ที่อยู่ห่างไกลออกไปจากจุดที่ยืนอยู่มากมายนัก ช่วงเวลาตอนกลางคืนมันช่างดูเงียบเหงา สงบ แต่เธอก็ชอบนะ เพราะเวลานี้แหละที่ได้อยู่กับตัวเอง ได้คิดโน่นคิดนี่ มีสมาธิมากกว่าปกติ แต่ค่ำคืนนี้มันแตกต่างจากทุกวัน มากเหลือเกิน มันมีเรื่องมารบกวนจิตใจจนไม่อาจสงบลงได้ พ่นลมหายใจยาวลึก พลางกระชับสายกระเป๋าสะพายใบโตที่ได้เป็น ของฝากจากบิดาเมื่อเดือนที่แล้ว ละสายตาจากฟากฟ้าแล้วมุ่งหน้าเดินเข้าไปในบ้านต่อ คาดว่าป่านนี้ทุกคนคงจะหลับกันไปหมดแล้ว อาจจะเว้นแค่คนบางคนที่ไม่รู้ว่ากลับเข้ามาแล้วหรือยัง แต่นั่นไม่ใช่ธุระกงการอะไร ของเธอที่จะต้องรู้
“ไปแรดถึงไหนมาล่ะนังยิหวา แกถึงได้ซมซานกลับเข้าบ้าน เอาป่านนี้น่ะ แต่ความจริงแล้วถ้าจะทำตัวเหลวแหลกขนาดนี้แกไม่ต้องกลับมาเลยน่าจะดีกว่า แบบไปแล้วไปลับไม่ต้องกลับมาเสนอหน้าให้ฉันรำคาญสายตาที่นี่อีกน่ะ ฉันล่ะสงสารพี่นพจริงๆที่มีลูกนอกคอกอย่างแก” น้ำเสียงแข็งกระด้างของหญิงสาววัยห้าสิบต้นๆหยุดร่างเพรียวบางให้ชะงักขาที่กำลังก้าวเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง และหันกลับมามองตนเองที่ยืนกอดอกพิงกรอบประตูห้องรับแขกจนได้ มุมปากอวบย้อยนิดๆ เหยียดยิ้มอย่างดูแคลน พลางกวาดไล่สายตาสำรวจลูกเลี้ยงสาวตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า และปลายเท้าจรดศีรษะหลายรอบ ซึ่งเป็นกิริยาที่ดูถูก ลูกสาวของสามีอย่างตั้งใจ
ยิหวาแค่นยิ้ม เรื่องที่เดินคิดมาตลอดทางหลังจากแยกกับ กันตพัฒน์พลันจางหายไปชั่วคราวเมื่อเปิดประตูเข้าบ้านมาก็มาเจอกับ คนปากไม่ชอบอยู่สุขเวลาอยู่ลับหลังพ่ออย่าง ‘แม่เลี้ยง’ ที่เธอไม่เคยยอมรับและไม่เคยอยู่ในสายตาเลยนับตั้งแต่ที่พ่อพาเข้ามาอยู่ในบ้าน ในฐานะ ‘เมียใหม่’ อย่างออกหน้าออกตา แต่ทั้งคู่ไม่ได้จัดพิธีแต่งงาน หรือจดทะเบียนสมรส คืออยู่ฉันท์สามีภรรยาเฉยๆ ทางด้านเมียใหม่ ของพ่อนั้นพ่วงท้ายด้วยลูกติดที่ตามแม่มาอยู่ที่บ้านด้วยอีกหนึ่งคน สิริภรณ์มีนิสัยนั้นไม่ต่างจากผู้เป็นแม่สักเท่าไหร่ ส่วนลูกใหม่นั้นไม่มีด้วยกัน ประมาณสักสี่ถึงห้าปีได้แล้วที่ต้องอยู่ร่วมชายคาเดียวกัน มองหน้ากันไปมา คือต่างฝ่ายต่างไม่ชอบขี้หน้ากัน ซึ่งคิดว่าพ่อเองก็น่าจะพอรู้บ้างแหละ แม้ว่าจะไม่เคยกระทบกระทั่งกันให้ท่านได้เห็นก็ตาม เคยคิดที่จะย้ายออกไปอยู่คอนโดคนเดียว เพื่อความสบายใจของตัวเอง แต่คิดไปคิดมาไม่เอาดีกว่า เพราะถ้าหากว่าย้ายออกก็เท่ากับเป็นการเปิดทางให้สองคนแม่ลูกได้ใช้ชีวิตในบ้านที่เธอเองก็มีสิทธิ์มีเสียงได้สะดวกเลย ดังนั้นด้วยความที่ไม่อยากให้สองแม่ลูกที่ทำตัวยิ่งกว่าพวก ปลิงสูบเลือดได้เสวยสุขกันมากไปกว่านี้เลยต้องอยู่ต่อไป แค่ทุกวันนี้มันก็ดีมากเกินไปด้วยซ้ำ
ถ้าเป็นคนดีโดยเนื้อแท้ไม่ใช่เสแสร้งแกล้งทำดีเพื่อตบตาใคร เธอจะไม่มีปัญหาอะไรเลย แต่นี่ไม่ใช่ไง ไม่รู้ว่าพ่อหลงรักไปได้ยังไง ความรักมันไม่เข้าใครออกใครงั้นเหรอ หึ! มันคงใช่ แต่เธอว่าบางครั้งความรักก็ทำให้คนตาบอด หน้ามืดตามัวได้อีกเหมือนกัน ผู้ชายที่รักผู้หญิงคนหนึ่งหมดทั้งหัวใจคือสิ่งที่ดีและควรเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วเมื่อคิดจะรักใครสักคน บางครั้งมันอธิบายไม่ได้ว่าพ่อมีความรักในรูปแบบไหนให้กับเมียคนนี้ เหมือนจะรักและเหมือนจะไม่รัก พ่อเป็นบุคคลประเภทไม่ ค่อยพูดมาก เก็บความรู้สึกได้เก่งมาก และที่สัมผัสได้มาโดยตลอด คือพ่อไม่เคยลืมแม่เลย ภรรยาคนแรกของท่านและเป็นแม่ที่เคารพรัก ของเธอคนเดียว
พ่อของเธอเปิดกิจการร้านอาหาร มาเป็นสิบปี ตั้งแต่ที่แม่เธอยังมีชีวิตอยู่ ตอนนี้ก็หกปีแล้วที่แม่จากไปโลกนี้ไปมีความสุขอยู่บน สรวงสวรรค์ ร้านก็ขยายเพิ่มจากเดิมจนใหญ่โต ลูกค้าเก่าใหม่แวะเวียนมาไม่ขาดสายพ่อเลยเปิดสาขาเพิ่มอีก เป็นเพราะจุดนี้นี่แหละที่ทำให้มา เจอกับยายแม่ม่ายลูกติดคนนี้ ส่วนรายละเอียดที่เจาะลึกลงไปนั้นเธอไม่รู้ ในเมื่อพ่อไม่เล่าใครจะไปซักไซ้ไล่เรียง ประกอบกับที่ไม่อยากรู้เป็นทุนเดิมแล้วด้วยเลยปล่อยเลยตามเลย
“ทำไม ? ฉันจี้ใจดำจนแกคิดหาคำมาเถียงฉันไม่ออกเลยเหรอ นังยิหวา” เมื่อเห็นว่ายังเงียบอยู่ก็อดรนทนไม่ไหวกระตุ้นเชื้อเพลิงเข้าไปอีกเพื่อให้มันเกิดแรงโทสะ และระเบิดออกมาในที่สุด แต่มันก็มักจะ เก็บอาการได้ดีเสมอ ถ้าไม่มีมันอยู่ร่วมบ้านด้วยอะไรๆมันต้องดีกว่านี้ เมื่อไหร่จะไปให้พ้นๆก็ไม่รู้
ยิหวาระบายรอยยิ้มแต่มันกลับไปไม่ถึงดวงตาเปล่งประกายคู่งาม ก่อนที่ริมฝีปากอวบอิ่มจะเริ่มขยับเอื้อนเอ่ยเป็นประโยคแรก นับตั้งแต่ประจันหน้ากัน
“ฉันจะไปแรดที่ไหนมา จะกลับบ้านเวลาไหนหรือจะไม่กลับมามันเกี่ยวอะไรกับน้ามลด้วยล่ะคะ ในเมื่อแม่ก็ไม่ใช่จะเดือดร้อนทำไมนักหนา เอ๊ะ! ไม่ใช่สิ คงไม่ได้เดือดร้อน แต่เป็น...เติมคำในช่องว่างเอาเองละกันนะคะ” พูดจบก็เอียงคอมองพรพิมลที่ดวงตากำลังขยายกว้าง ริมฝีปากบิดเบี้ยวจนหมดความสวยที่คิดไปเอง สองมือตรงข้างลำตัวกำหมัดแน่น ภาพลักษณ์แม่มดแก่ใจร้ายเช่นนี้เธอเห็นจนชินสายตา มาตั้งแต่ได้รู้จักจึงไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร
“นังยิหวา! นังเด็กบ้า! แกคิดจะด่าว่าฉันเสือกอย่างนั้นเหรอ” พรพิมลเค้นเสียงลอดไรฟันอย่างกรุ่นโกรธ พลางจ้องหน้าลูกเลี้ยงสาว ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ มันชอบยั่วให้โมโห ไม่มีมารยาท ไม่มีแม้กระทั่งสัมมาคาราวะ ถ้าไม่มีพ่อมันคอยคุ้มกะลาหัวอยู่อย่าหวังว่ามันจะได้มาลอยหน้าลอยตาท้าทายความอดทนอยู่แบบนี้เลย อยากจะฟาดฝ่ามือกระแทกหน้ามัน เอาให้เลือดกลบปากไปเลยจะได้ไม่กล้ามาต่อปากต่อคำเหมือนทุกวันนี้
“น้ามลเป็นคนพูดมันออกมาเองนะคะ ฉันไม่ได้พูดอะไรเลย เอ...ว่าแต่แบบนี้เรียกว่ารู้ตัวเองดีใช่ไหมคะว่าตัวเองชอบ...” เธอแกล้งลากเสียงคำว่าชอบยาวๆ เน้นๆ พลางกระตุกยิ้มตรงมุมปาก เล็กน้อยและไหวไหล่เบาๆ อย่างไม่แคร์ ก่อนจะเลิกสนใจบุคคลที่ไม่มีความสำคัญกับชีวิตสักเท่าไหร่ เพราะถ้ามัวแต่ใส่ใจคนประเภทนี้ ทุกความเป็นไป ชีวิตในแต่ละวันคงไม่พบเจอกับความสุขที่รอเราอยู่เบื้องหน้าแน่นอน
“อียิหวา!! อีนังมารหัวขน! อีเด็กบ้า! เมื่อไหร่แกจะไปให้พ้นๆ จากบ้านหลังนี้สักทีนะ” พรพิมลได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน กระทืบเท้าเร่าๆอยู่ที่เดิม พลางมองตามแผ่นหลังลูกเลี้ยงที่เดินขึ้นบันไดไป ไม่กล้าส่งเสียงดังมากเพราะกลัวสามีจะตื่นขึ้นมาแล้วทีนี้จะกลายเป็น เรื่องใหญ่