ตอนที่9 แสงสว่างจากฟากฟ้า
ตะวันโผล่พ้นขอบฟ้า แสงแดดลอดผ่านม่านผ้าฝ้ายเข้ามาในรถม้า ส่งผลให้ดวงตาสวยหวานเริ่มหรี่ปรือ
หนิงเหมยค่อยๆ ตื่นขึ้นมาและกะพริบตาเบาๆ เพื่อขับไล่ความง่วงงุน อึดใจหนี่ม่านจึงยื่นหน้าเข้ามาหานางพร้อมวางอ่างน้ำและผ้าเช็ดหน้า
“คุณหนูตื่นแล้วหรือเจ้าคะ” เสียงสดใสเอ่ยทักทาย “หลับสบายหรือไม่เจ้าคะ หิวหรือไม่เจ้าคะ” นางถามเสียหลายประโยค
หนิงเหมยพยักหน้าน้อยๆ เป็นเชิงตอบรับ นางหลับสนิทยิ่งนักถึงแม้ว่าจะไม่สบายตัวเท่าไหร่ ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ
“คุณหนูทานเสียก่อนนะเจ้าคะ” ครานี้หนี่ม่านเข้ามาหานายหญิงแบบทั้งตัวพร้อมด้วยแป้งทอด หมั่นโถวและถ้วยน้ำแกงปลาในมือ
“ที่นี่ที่ใด ไยมีน้ำแกงปลา” หนิงเหมยถามออกไปอย่างฉงนเมื่อมองเห็นถ้วยน้ำแกงร้อนกรุ่น
“ด้านนอกรถม้าของเรามีศาลาริมทางและมีเพิงขายอาหารเจ้าค่ะ เขาต้มน้ำแกงปลาหม้อใหญ่ ขายถ้วยละไม่กี่อีแปะเท่านั้นเจ้าค่ะ”
“อ้อ...” หนิงเหมยพลันเข้าใจ ก่อนเอื้อมมือเปิดผ้าม่านรถม้าแล้วกวาดสายตามองออกไปด้านนอกตัวรถ นางเห็นมีศาลาริมทางดังที่หนี่ม่านบอกกล่าวห่างออกไปเพียงสองจั้ง มีชาวบ้านนั่งพักอยู่ประปราย และถัดจากศาลาก็เป็นเพิงของพ่อค้าที่มีควันขาวพวยพุ่งออกจากหม้อใบใหญ่ร้อนระอุ แต่เมื่อมองอย่างละเอียดรอบบริเวณกลับเห็นบุรุษรูปงามสองคนยืนกอดอกคุยกันอยู่
หนิงเหมยถึงกับต้องหรี่ตามมอง เมื่อคืนมีความมืดสลัวอำพรางม่านตาอยู่จึงมิได้เห็นพวกเขาชัดเจนเท่าใดนัก หากแต่ยามนี้ไร้ความมืดมิดแล้ว แสงตะวันจึงส่องลงมาอาบไล้บนเงาร่างสูงโปร่งคล้ายเปล่งรัศมีเรืองรองของสองชายหนุ่ม
คนหนึ่งอยู่ในชุดสีม่วงเข้ม รูปร่างสูงใหญ่ เครื่องหน้าคมคายฉายแววเย็นชา จมูกโด่งเป็นสัน สีหน้าไร้ความรู้สึก แต่กลับคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มอยู่ในที ท่าทางของเขาโอหังทะนงตนแต่แฝงความสุขุมนุ่มลึก ท่าทางน่าเกรงขามแต่น่าเคารพ
ส่วนชายอีกคนหนึ่งนั้น สวมเสื้อผ้าเนื้อมันวาวสีเงินยวง ใบหน้าได้รูปงดงาม บุคลิกปราดเปรียวเฉลียวฉลาด สูงส่งราวหยกสลัก ทว่ากลับมีท่าทีกรุ้มกริ่มตลอดเวลา ดวงตาดอกท้อของเขาไม่น่าไว้ใจสักนิด ไม่ควรแม้แต่จะคิดเข้าใกล้
เมื่อพินิจพิจารณาจนพอใจ หญิงสาวจึงเอ่ยออกมา “พวกเขายังไม่ไปกันอีกหรือ?”
แต่เมื่อถามไปแล้วกลับได้รับความเงียบเป็นคำตอบ ไม่เสียงตอบรับใดๆ จากสาวใช้ของตน
หนิงเหมยหันมามองทางประตูของรถม้า จึงพบเพียงความว่างเปล่า ไร้เงาร่างของหนี่ม่านเสียแล้ว
เพียงครู่ หญิงสาวจึงตัดสินใจลุกออกมาจากรถม้า แล้วประคองตนเองลงจากรถม้า มายืนอยู่บนพื้นดินข้างๆ ตัวรถ
“นางวิ่งไปทางชายงามทั้งสองแล้ว” ซูเจินที่ยืนพิงตัวรถม้าอยู่เป็นนานเริ่มเอ่ยเนิบนาบไปทางหนี่ม่าน “วิ่งไปวิ่งมาตั้งแต่ฟ้าสาง”
“...”
หนิงเหมยถึงกับเงียบงัน รู้สึกอึ้งกับสาวใช้ตัวน้อยของตน นางมองเห็นนี่ม่านยืนบิดตัวไปมา ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างขัดเขิน ก่อนจะเดินไปรับถ้วยน้ำแกงปลาจากพ่อค้า แล้วถือมาส่งให้ชายทั้งสองอย่างดูแลเอาใจใส่เป็นหนักหนา
“คุณหนูควรมอบเงินให้หนี่ม่านสักหีบ” ซูเจินยังคงเอ่ยคำเรียบเรื่อยพลางบิดตัวอย่างเกียจคร้าน
“ให้เงินหนี่ม่านไปขอหมั้นหมายกับบุรุษหรือ?” หนิงเหมยถามออกมา นัยน์ตายังคงจับจ้องที่เด็กสาวไร้เดียงสานามว่าหนี่ม่าน
“เปล่า...”
“หืม?”
“เอาไปเปิดหอนางโลม แล้วให้หนี่ม่านเป็นปรมาจารย์ด้านมารยาคอยสอนสั่งหญิงคณิกา”
“...!?”
หนิงเหมยถึงกับหัวเราะออกมา “เจ้านี่นะ” นางส่ายหน้าน้อยๆ ให้ซูเจินพร้อมคลี่ยิ้มหวาน เป็นรอยยิ้มที่นับว่าหาได้ยากยิ่งบนใบหน้างาม ตั้งแต่นางเจอกับอาเจิน นางก็เริ่มมีรอยยิ้มโดยไม่รู้ตัว
ทางด้านสองบุรุษรูปงามกับหนึ่งเด็กสาวที่กำลังยืนยกยิ้มประจบเอาใจนัยน์ตาเจิดจ้าทอประกาย
“คุณหนูยิ้ม!” หนี่ม่านถึงกับอุทาน เมื่อได้เห็นนายหญิงของตนกำลังคลี่ยิ้มเบิกบานในแบบที่ไม่เคยเป็น “คุณหนูไม่เคยยิ้มเลย นับว่าดียิ่ง” นางรู้สึกตื่นเต้นหนักหนาเมื่อเห็นอย่างนั้น
มิใช่ว่าไม่มีใครรู้กันถึงความเป็นอยู่ของคุณหนูในคฤหาสน์สกุลเมิ่ง นางที่เป็นเพียงสาวใช้ก้นครัวเคยเห็นแต่สีหน้าหม่นหมอง นัยน์ตาเศร้าลึก และใบหน้าไร้ความรู้สึกตลอดเวลาของคุณหนู
หนี่ม่านถึงกับลืมชายงามทั้งสองที่ยืนใกล้ๆ รีบวิ่งเข้าไปหาหนิงเหมยในทันที อึดใจเสียงหัวเราะสดใสของนางจึงดังประสานกับเสียงหัวเราะขบขันของหญิงทั้งสองข้างรถม้า
เฟยหลงเซียนมองตามเด็กสาว เขาจึงได้เห็นสตรีงดงามนางหนึ่งในอาภรณ์สีชมพูอ่อนหวาน ปักปิ่นแต่พองาม กำลังคลี่ยิ้มหยาดเยิ้ม
ดวงตาของนางที่เย็นเยียบสุดแสน แต่กลับให้ความรู้สึกสว่างเจิดจ้าในครรลองสายตาเขา
คุณหนูนางนี้ทำชายหนุ่มนึกประหลาดใจนัก เมื่อคืนเขายังมิได้เห็นความงามของนางชัดเจนเท่าใด แต่ที่กระจ่างแจ้งแจ่มชัดก็คือดวงตาเย็นชาฉายแววรังเกียจเกินปิดบัง
ถึงแม้จะมีรอยยิ้มละมุนละไมประดับใบหน้าก็ตามที แต่ก็เป็นเพียงรอยยิ้มเย็นเยียบราวกับมีน้ำแข็งเกาะกุม
แต่ยามนี้แสงแดดเจิดจ้าทอประกายลงมาจากท้องฟ้า เผยให้เห็นดวงตาคู่นั้นของนาง ดวงตาเรียวสวยหวานล้ำที่คล้ายกับมีพลังบางอย่าง รอยยิ้มก็เช่นกัน พลังมากมายนั่นมาจากที่ใด...
รัชทายาทหนุ่มถึงกับเหม่อมองเจ้าของยิ้มหวานไม่วางตา ไม่อาจบอกได้ว่าความรู้สึกยามนี้คืออันใด
หยางเหอจินยังคงเฉยเมยกับทุกสรรพสิ่ง ดวงตาดำขลับซ่อนประกายลุ่มลึกเมื่อมองใครบางคน
เขาเห็นเด็กสาวนัยน์ตากลมใสยืนกอดอกพิงรถม้านิ่งๆ ริมฝีปากเล็กบางบนใบหน้าจิ้มลิ้มกล่าวคำบางคำก็เรียกรอยยิ้มงดงามและเสียงหัวเราะสดใสได้ไม่ยากเย็น นางมักจะทำกิริยาน่ารักเสมอ ยามนางเป็นเด็กน้อยก็มักจะทำให้เขาที่ยิ้มยากกลายเป็นคนยิ้มง่ายโดยไม่รู้ตัว
แต่ทว่าภายใต้รูปลักษณ์อย่างนั้นกลับซ่อนความเฉียบคมเฉกเช่นท่านอาจารย์ซูหยางเอาไว้ไม่มีผิดเพี้ยน ท่าทางขี้เล่นแต่กลับคงไว้ซึ่งท่วงท่าสง่าผ่าเผย นิสัยตรงไปตรงมาแต่กลับซ่อนคมกลเล่ห์เอาไว้มากมาย ทุกอย่างล้วนตกทอดมาจากบิดาทั้งสิ้น
หยางเหอจินจึงเดินอาดๆ เข้าไปที่สตรีตัวน้อยในครรลองสายตาอย่างไม่อาจห้ามใจ เฟยหลงเซียนถึงกับเบิกตากว้างเมื่อมองตามท่านอาของตน
ท่านอาของเขาช่างเลือดร้อน...