ตอนที่10 คุณหนูผู้เย็นชาไร้ใจ2
เฟยหลงเซียนเข้าใจได้ไม่ยากจึงเบนสายตามาทางสตรีตรงหน้าที่ยืนอยู่ข้างรถม้า เห็นนางยังคงยืนอึ้งไม่ต่างกัน เขาจึงถามนางด้วยสายตาพราวระยับ “เราสองเดินชมทิวทัศน์ไปเรื่อยๆ ดีหรือไม่”
ใบหน้างดงามแสดงอาการเย็นชาใส่ให้ทันทีพร้อมตอบคำทันควัน “ไม่ดี!”
“...”
ชายหนุ่มรูปงามเริ่มหางคิ้วกระตุก ใบหน้าคมคายขึ้นริ้วสีแดงเล็กน้อย รู้สึกหมดความมั่นใจขึ้นมา เขารู้สึกได้ว่าตนเองน่าขันสิ้นดี ความรู้สึกนี้ไม่เคยมีมาก่อน แต่ไหนแต่ไรสตรีส่วนใหญ่ต่างยื้อแย่งกันเข้าหาเขามิใช่หรือไร เหตุใดนางแตกต่าง
หนิงเหมยเริ่มรู้สึกได้ว่าตนเองทำกิริยาไม่สมควรและทำตัวเสียมารยาทกับชายตรงหน้ามากนัก นางจึงคลี่ยิ้มคลายบรรยากาศอึดอัดมิให้ตนเองสร้างศัตรูโดยไม่จำเป็น
“ข้าหมายถึงการเดินเท้าไปไม่ดีแน่” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มละมุนตามมารยาทที่พึงมี
เฟยหลงเซียนจึงยืนนิ่งจ้องมองคนงาม เขาพลันรู้สึกได้บางอย่าง ความรู้สึกคล้ายกับว่า หากเขาโกรธนาง แล้วทำทีแง่งอน นางจักง้อเขากระนั้น อา...ไยรู้สึกดีจริง
อีกคราที่นัยน์ตาของชายหนุ่มพร่างพราวคล้ายมีแสงประกายแวววาวระยิบระยับ ทั้งยังกรุ้มกริ่มฉายชัด ทำเอาหญิงสาวที่ยืนมองต้องขมวดคิ้วพันกัน
เขาไม่น่าไว้ใจเลยสักนิด!
รอยยิ้มของหนิงเหมยพลันเย็นเยียบ บังเกิดความระแวดระวังในดวงตาดำขลับฉ่ำหวาน นางจึงรีบหมุนกายระหงขึ้นรถม้าไปอย่างไม่ใยดี โดยมีหนี่ม่านรีบรุดเข้ามาจับประคองแทบไม่ทัน
และอีกครั้งที่เฟยหลงเซียนต้องยืนนิ่งแข็งค้าง
ชายงามทั้งยังสูงศักดิ์เช่นเขา เจอไม้นี้ของสตรีสามัญชนเข้าไป เขาถึงกับไปไม่ถูกเลยทีเดียว
ระยะทางที่รถม้าเคลื่อนตัวเพียงสองก้านธูปเท่านั้นก็มองเห็นลำธารสีฟ้ามรกต น้ำใสไหลเอื่อย ดอกไม้บานสะพรั่งไปทั่ว งดงามราวกับภาพวาด
หนี่ม่านเปิดผ้าโปร่งตรงหน้าต่างรถม้าออกดูถึงกับเบิกตาค้างเผยรอยยิ้มกว้างขวางชมชอบฉายชัด
ในขณะที่หนิงเหมยก็รู้สึกชื่นชอบไม่แตกต่าง นางเป็นคุณหนูในห้องในหับ ไหนเลยจักเคยเจอภาพงามระยับแบบนี้กัน
ซูเจินเคยเห็นมานักต่อนักกับธรรมชาติหลากหลาย นางมิใช่สตรีในห้องหอ ภูเขาลำธารไหนเลยที่นางไม่เคยได้เห็น นางจึงเลือกที่จะกินให้อิ่มและนอนให้หลับ หมายฟื้นฟูร่างกายแบบเต็มกำลังก็เท่านั้น
เมื่อสารถีกิตติมศักดิ์ชะลอฝีเท้าของม้าจนหยุดนิ่ง หนี่ม่านจึงรีบกระวีกระวาดลงจากรถม้า ก่อนจะกุลีกุจอจับประคองหนิงเหมยลงมาเหยียบพื้นหญ้าอ่อนนุ่มเพื่อพากันไปดูลำธารแสนงามตระการตา
สองนายบ่าวจึงยืนชมธรรมชาติสรรสร้างด้วยอารมณ์เบิกบาน ส่งเสียงพูดคุยสดใส
“คุณหนูเจ้าคะ บ่าวคิดว่าการออกมาถือศีลที่วัดห่างไกลเป็นของรางวัลหาใช่การทำโทษไม่” หนี่ม่านพูดไปยิ้มไปชอบใจหนักหนา
“อืม...” หนิงเหมยเห็นด้วยกับสาวใช้ของตนโดยไม่โต้แย้ง “หากข้าจะถือศีลกินเจไปตลอดชีวิต เจ้าว่าดีหรือไม่” นางพูดด้วยรอยยิ้มหวานละมุนนัยน์ตามุ่งมั่น
“อา...ไม่ดีกระมังคุณหนูของบ่าว” หนี่ม่านรีบเอ่ยขัด นางเห็นได้ชัดว่าคุณหนูของตนมีเสน่ห์เย้ายวนปานใด กระทั่งทำท่าทีเย็นชาสองตาเย็นเยียบดุจน้ำแข็งพันปียังไม่อาจปิดบังความงามเหนือมวลบุปผาได้เลย หากอยู่วัดจนตายเสียดายแย่ “คุณหนูของบ่าวย่อมได้เจอบุรุษที่รักจริงจากใจนะเจ้าคะ คืนวันอันสวยงามยังรอคุณหนูอยู่เบื้องหน้าเจ้าค่ะ”
หนิงเหมยได้ฟังเพียงเผยรอยยิ้มหยันให้ตนเองอย่างขมขื่น บุรุษที่รักจริงจากใจกระนั้นหรือ
ชายที่นางอุตส่าห์เปิดใจคบหานามว่าเจิ้งเหวินหลางก็รักนางจากใจจริงเช่นกัน แต่เมื่อเขาเจอมารยาที่น่ารักใสซื่อบริสุทธิ์ของน้องสาวต่างมารดาเข้าไปแล้วเป็นเยี่ยงไรเล่า กระทั่งบิดาที่รักมารดาหนักหนายังทำไม่ได้มิใช่หรือไร
หญิงสาวหลับตาลง รู้สึกเพียงความเจ็บปวดไปทั่วทั้งใจ ทั้งๆ ที่ใบหน้าของนางหวานล้ำ ยามเผยรอยยิ้มยิ่งอ่อนโยน แต่ทว่าภายในใจของนางกลับแข็งกระด้างเพิ่มขึ้นวันละน้อย
และมันก็เป็นอยู่อย่างนั้นในทุกวันยากจะปรับกลับคืนมา
ความเจ็บปวดลึกๆ เกาะกุมใจนางอย่างแน่นหนามานานปี ทั่วทั้งร่างแผ่กลิ่นอายความโดดเดี่ยวอย่างหาที่เปรียบมิได้ ในใจนางรู้สึกเหงาลึกๆ ขึ้นมา สีหน้าและแววตาพลันหดหู่อ่อนล้าฝังรากหยั่งลึก
“คุณหนู...” หนี่ม่านเริ่มรู้สึกผิดจึงเรียกนายสาวเสียงเบา บางทีนางอาจจะพูดมากจนเกินไป “บ่าวผิดไปแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูโปรดอภัย”
หนิงเหมยส่ายหน้าน้อยๆ อย่างปลดปลง แต่ยังคงเงียบงันไร้คำพูดใด