บทที่ 5
ชบาค่อยปรือตาตื่น
เธอร้องครางออกมาเบาๆ เสียงครางของเธอปลุกให้คนที่กึ่งนั่งกึ่งนอนบนโซฟาข้างเธอ สะดุ้งตื่นขึ้นมาทันที
เขาปราดไปนั่งข้างๆ เธอ ชบาที่มองสบตากับเขา เผลอพูดออกมาเสียงเบาแผ่ว
“อา ฉันตายไปแล้วหรือคะ คุณเป็นยมทูตหรือเปล่าคะ แต่คุณจะต้องเป็นเทวดาแน่ๆ เลย”
เหมือนว่าเธอจะเพ้อ และเพ้อได้อย่างน่ารักเสียด้วย ภูดิศมองพิศวงหน้าสวยละมุนนั่น หลับว่าสวยแล้ว ตื่นมาสวยเสียยิ่งกว่า โดยเฉพาะนัยน์ตากลมโตสวยนั่น มันสะกดเขาให้มองแทบจะละสายตาไม่ได้
“ทำไมถึงคิดว่าฉันเป็นเทวดา”
“เพราะว่าคุณรูปงาม หล่อมาก หน้าตาใจดี”
เขาถึงกับยิ้มอย่างเขินๆ แต่เหมือนจะคิดขึ้นได้ จึงกระแอมแล้วเอ่ยเสียงขรึม
“ฉันไม่ใช่ยมทูตหรือเทวดา ฉันเป็นคนธรรมดาๆ นี่แหละ เป็นเจ้าของรถคันที่เธอแอบปีนขึ้นมา...เธอล่ะเป็นใคร”
ชบาทรงตัวลุกขึ้นนั่ง แต่แล้วก็เวียนหัวจนต้องกุมศีรษะไว้ ชายหนุ่มรีบขึ้นบนโซฟาตัวเดียวกับเธอ และประคองเธอไว้ในอ้อมแขน เธอตัวเล็กเหลือเกิน...แต่ก็พอเหมาะกับอ้อมแขนของเขาจริงๆ
ความรู้สึกแปลกประหลาด กำลังแล่นเข้าเกาะกุมหัวใจของพ่อเลี้ยงเดี่ยวอย่างภูดิศ เขาไม่ควรรู้สึกแบบนี้กับเด็กสาววัยที่อาจจะทำให้เขาสุ่มเสี่ยงกับคุก เขาถามเธอเสียงนุ่มนวล
“เป็นอะไรหรือเปล่า?”
“หนูแค่เวียนหัวนิดหน่อยน่ะค่ะ หนูอาจจะโดนวางยาเลยหลับลึกจนไม่รู้เรื่องแบบนี้”
ชบาบอกตามตรง คิ้วเข้มของเขาขมวด แล้วถามอาการของเธออีกสองสามคำ ชบาบอกว่าเธอยังคงวิงเวียนเหมือนจะอาเจียน เขาจึงหายไปและมีคนอื่นมานั่งเฝ้าเธอแทน...เป็นผู้หญิงหน้าเคร่งขรึมคนหนึ่ง มองมาชบาด้วยสายตาดุๆ ชบานั้นรู้สึกกลัวผู้หญิงคนนี้มาก จึงไม่กล้าพูดกล้าถามซักอะไร
เขาหายไปนานพอสมควร ชบามองนาฬิกาที่อยู่ตรงฝาผนัง เวลาเคลื่อนไปเรื่อยๆ ท่ามกลางความน่าอึดอัดนั้น เด็กผู้หญิงคนหนึ่งก็วิ่งลงบันไดมาและตรงมาหาชบาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส เธอเหมือนแสงสว่างที่พุ่งเข้าใส่ความมืดมนระหว่างชบากับหญิงวัยกลางคนคนนั้น
“คุณหนู ไปในห้องรับประทานอาหารได้เลยค่ะ ป้าเตรียมโจ๊กไว้ให้แล้ว ไม่ต้องรอพ่อเลี้ยง”
ป้าพิม คนรับใช้เก่าแก่ของบ้าน บอกกับภูรดาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและสายตาอ่อนหวานไม่เหมือนยามมองชบาเลยสักนิด
“หนูจะรอกินพร้อมพ่อจ๋าค่ะ พี่เป็นยังไงบ้างคะ พ่อฝากถามมา ยังเวียนหัวหรือเปล่า พ่อออกไปตามหมอมาดูพี่น่ะค่ะอีกสักยี่สิบนาทีคงจะถึงล่ะ”
คำพูดคำจาที่เกินวัย และหน้าตาที่น่ารักสดใส ทำให้ชบามองคนตรงหน้า สายตามองสบกัน ทางนั้นมองเธอด้วยความเป็นห่วงไม่เหมือนคนที่กำลังเฝ้าเธอ ทำให้ชบาพอจะเบาใจลงได้บ้าง ว่าอย่างน้อยเธออาจจะได้รับความการุณอยู่บ้าง
“พี่ค่อยยังชั่วแล้วค่ะ ขอบคุณมากนะคะ”
ชบาพนมมือไหว้เด็กหญิง ป้าพิมนั้นมองอาการนอบน้อมนั่นด้วยสายตาอ่อนลงนิดหนึ่ง
แต่มิจฉาชีพบางทีมันก็เล่นละครเก่ง
คิดแค่นี้ก็คอแข็งมองชบาด้วยสายตาแบบเดิมทันที หันมาจะห้ามคุณหนูก็ห้ามไม่ทัน อีกฝ่ายไปนั่งประกบเด็กสาวเสียแล้ว
“พี่เป็นใครคะ แล้วทำไมถึงมาขึ้นรถของเรา เกิดอะไรขึ้นกับพี่เหรอ?”
ภูรดาดูตื่นเต้นมากๆ กับการมาของชบา แหม...เธอชอบจินตนาการอยู่แล้วเพราะเป็นนักอ่านตัวยง ที่บางทีด้วยวัยและการเข้าไปสู่โลกจินตนาการมากไป ก็ทำให้สาวน้อยจินตนาการเตลิดไปไกล มารดาของเธอมักจะปล่อยให้ลูกสาวอยู่กับตัวเองและบรรดาหนังสือซีรีส์ไซไฟต่างๆ ทำให้เด็กหญิงเป็นคนช่างคิดช่างฝัน และการมาของชบานั้นมันเหมือนกับนิยายตื่นเต้นสักเรื่องหนึ่งเลยล่ะ
“พี่เป็นเจ้าหญิงทะลุมาจากดาวอื่นเหรอ”
ภูรดาถาม เล่นเอาชบาทำตาปริบๆ ส่วนป้าพิมนั้นขมวดคิ้วเลยทีเดียว
“ไม่ใช่ค่ะ พี่ไม่ได้เป็นเจ้าหญิง พี่เป็นคนจนธรรมดานี่แหละ”
ชบาว่าแล้วหัวเราะออกมาได้ เธอไม่ได้หัวเราะแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ คงจะตั้งแต่ที่พ่อของเธอจากไปทำงานที่ต่างจังหวัด คงตั้งแต่ที่แม่เลี้ยงของเธอเอาแมวของเธอไปปล่อยทิ้งนั่นแหละ
ภูรดามองหน้าพี่คนสวยเพลินตาไปเลย พี่คนนี้น่ารักเหมือนตุ๊กตาจริงๆ เธอไม่ค่อยมีเพื่อนเท่าไหร่ เพราะมารดาพาเธอระหกระเหินไปทั่ว มักจะมีแต่โทรศัพท์เป็นเพื่อนเธอจึงชอบอ่านนิยายในนั้นแบบออนไลน์ มารดาให้เงินเธอใช้แบบไม่ค่อยถาม ภูรดามักจะหมดเงินกับการซื้อหนังสือและจมอยู่กับมันเพราะมันทำให้เด็กน้อยมีความสุขที่สุดล่ะในระหว่างที่อยู่ไกลบิดา
ตอนนี้ภูรดาถูกชะตากับชบาและอยากจะเป็นเพื่อนด้วย
“คุณหนูคะป้าว่าคุณหนูไปกินข้าวได้แล้วนะคะ”
ป้าพิมกระแอม ภูรดาทำตาปริบๆ ป้าพิมจึงเน้นเสียงเข้มอีกรอบ
“กินข้าวให้ตรงเวลาค่ะ เดี๋ยวจะปวดท้อง”
“เอ่อ ก็ได้ค่ะ” ภูรดายิ้มส่งให้กับชบา
“เดี๋ยวหนูมาคุยด้วยใหม่นะคะพี่คนสวย”
“ค่ะ”
เธอยิ้มตอบเด็กหญิง เมื่อคล้อยหลังภูรดาแล้วป้าพิมก็มานั่งข้างๆ ชบา เหมือนจะกำกับหญิงสาวแปลก ทำตาดุใส่ชบา แล้วถามเสียงเข้ม
“เธอชื่ออะไร”
“ชบาค่ะ”
“นั่งรอตรงนี้แหละ อย่าพูดคุยอะไรกับคุณหนูของฉันให้มาก เดี๋ยวพ่อเลี้ยงพาหมอมาตรวจอาการของเธอเสร็จแล้ว ไม่เป็นอะไรก็จะได้พาไปส่งบ้าน หนีออกจากบ้านมาใช่ไหม?”
“คือ...”
คำถามนั้นทำให้ชบาถึงกับอึกอัก เพราะเธอหนีออกจากบ้านมาจริงๆ
แม้จะเป็นผู้ใหญ่เกินตัว แต่ด้วยวัยที่ยังเยาว์ทำให้เด็กสาวเก็บอาการไว้ไม่ได้ ชบาตัวสั่นและถึงกับน้ำตาคลอ เธอจะกลับไปบ้านไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด ลีลาจะต้องโกรธเธอมากแน่ๆ เห็นอาการของเด็กสาว ป้าพิมก็กอดอก แล้วเอ่ยต่อมาเสียงดุอย่างจะปรามไว้ก่อน
“คิดยังไงถึงได้ปีนขึ้นมาบนรถของพ่อเลี้ยง...หล่อนคิดจะทำอะไรหรือ”
ถามจี้ พร้อมกับมองชบาแบบหัวจรดเท้า ชบาถึงกับทำตาปริบๆ เธอไม่ได้รู้จักเขาเลยแม้แต่น้อย ปากกำลังจะอ้าค้าน บอกว่าเธอมาขึ้นรถเขาโดยบังเอิญไม่ได้มีเจตนาอะไรแบบนั้นเลย แต่ก็พูดไม่ทันป้าพิม
“ถ้าคิดแบบนั้นกับพ่อเลี้ยง จะบอกว่ายาก...และเลิกคิดไปได้เลย หึ...ฉันจะบอกพ่อเลี้ยงว่าให้เอาหล่อนไปคืนพ่อแม่เสีย ชื่อชบานามสกุลอะไร บ้านอยู่ที่ไหน จะบอกดีๆ หรือจะให้ฉันจับเธอส่งตำรวจ”
“เอ่อ...”
“หนูอาการเป็นยังไงบ้าง”
เสียงทุ้มดังขึ้นเหมือนเสียงสวรรค์ ทำให้ชบาหันขวับไปหาเขาแล้วยกมือไหว้ ป้าพิมขู่จนเธอกลัว ทำให้เธอร้องไห้โฮออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
“ฮือๆ คุณขาหนูขอโทษค่ะ หนูไม่ได้ขึ้นรถคุณมาเพราะอยากจะได้คุณเป็นสามี หนูไม่รู้จริงๆ ว่าเป็นรถคุณ อย่าส่งหนูกลับบ้านเลยนะคะ แม่เลี้ยงหนูจะเอาหนูไปขาย หนูแค่อยากจะหนีมาจากที่ตรงนั้นเท่านั้นเอง”
ภูดิศถึงกับอึ้ง หมอรณพรเองที่ตามมาด้วยก็อึ้ง ชบานั้นเก็บอาการกลัวไว้ไม่อยู่ เธอหวังพึ่งได้แต่เพียงเขา จึงทรุดลงกราบเท้าเขาแล้วร้องไห้...ป้าพิมนั้นเองก็ตะลึง คาดไม่ถึงว่าสาวน้อยจะมีอาการถึงขนาดนี้พอบอกว่าจะให้กลับบ้าน
“หืม...เกิดอะไรขึ้น หยุดร้องไห้ก่อน”
เขาค่อยประคองให้เธอลุกขึ้นมานั่งบนโซฟา อาการอ่อนโยนของเขา ทำให้ชบาคิดพึ่งเขาเป็นหลัก เธอยังคงกลั้นน้ำตาไม่อยู่ ป้าพิมมองสาวน้อยด้วยสายตาหมิ่นๆ พ่อเลี้ยงภูดิศมองสายตาของป้าพิมแล้วถอนใจ พอจะรู้แล้วว่าทำไมสาวน้อยแขกไม่ได้คาดฝันคนนี้ถึงได้กลัวจนตัวสั่นร้องห่มร้องไห้มากขนาดนี้
“พี่พิม...ไม่ต้องเฝ้าแล้ว ออกไปทำงานเถอะ”
เหมือนจะไล่กรายๆ ป้าพิมคนเก่าแก่ที่อยู่มาแต่รุ่นพ่อของเขา เธออายุมากกว่าเขาแปดปี และเป็นพี่เลี้ยงเขามาตั้งแต่เล็กแต่น้อย เห็นกันมานานรับรู้ทุกความเป็นไปและช่วงชีวิตของพ่อเลี้ยงหนุ่ม เธอกระแอมแล้วเอ่ยลอยๆ
“ดูคนดูดีๆ นะคะคุณ พี่ไม่อยากให้ซ้ำรอย”
พูดแค่นั้นแล้วก็เดินออกไป
หมอรณพรยังคงหันซ้ายหันขวา เขาเป็นเพื่อนของภูดิศและโดนตามตัวมาดูอาการของชบา เพื่อนไปลากเขาถึงในห้องนอน ไม่ได้บอกอะไรมากนัก แค่บอกจะให้มาดูอาการคนป่วยให้หน่อยน่าจะโดนวางยามา
เขามองพิศสาวน้อยที่นั่งตัวสั่นและยังร้องไห้กระซิกอยู่บนโซฟาตัวเดียวกับภูดิศ แล้วก็ยกมือขึ้นแตะบ่าเพื่อน
“เอ่อ เด็กคนนี้หรือเปล่าที่จะให้มาดูอาการน่ะไอ้ภู”
“อื้อ ดูให้หน่อยสิ”
“หมอขอตรวจหน่อยนะครับหนู”
ชบาพยักหน้าแล้วเช็ดน้ำตา หมอรณพรซักถามอาการของสาวน้อยดูคร่าวๆ และระหว่างนั้น ชบาก็ทำท่าจะอาเจียนออกมา ทั้งเขาและภูดิศตกใจมากพอสมควร ภูดิศพาสาวน้อยไปอาเจียนและประคองพากลับมา ขณะที่หมอรณพรตรวจอาการเบื้องต้นอีกหน และให้ยากับเธอ
ชบาพอได้ยาแล้วก็หลับไปอีกรอบ สรุปก็ยังไม่ได้อธิบายอะไรให้กับพ่อเลี้ยงหนุ่มได้ฟัง หมอรณพรก็ซักว่าตกลงอะไรเป็นยังไง พ่อเลี้ยงหนุ่มจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดทั้งฟัง
“เดี๋ยวฉันจะขอเจาะเลือดไปตรวจดู เข้าแลปก็รู้ว่าโดนยาอะไรเข้าไป”
เขาว่า แล้วทำการปลุกชบามาขอเจาะเลือด สาวน้อยงัวเงียเล็กน้อย และพอเขาทำเสร็จเธอก็หลับลงไปใหม่
“อื้อ...ขอบใจมากนะ ค่ารักษาก็คิดมาได้เลย”
“แล้วนายจะเอายังไงกับเด็กนี่ต่อ จะส่งพ่อแม่ไหม ดูแล้วอายุอานามน่าจะพานายติดคุกได้ง่ายๆ”
“ฉันยังไม่แน่ใจ ถ้าเกิดส่งกลับไปแล้ว เด็กจะต้อง...ไปโดนอะไรแล้วหนีออกมาอีก ก็ไม่น่าส่งกลับหรือเปล่าวะ”
หมอรณพรยักไหล่ แล้วก่อนที่เขาจะขึ้นรถที่เพื่อนให้พาไปส่งที่บ้านของตน ก็เอ่ยเปรยขึ้นมา
“ภู นายเคยได้ยินสุภาษิตที่ว่าเนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง เอากระดูกมาแขวนคอไหมวะ”
“เอ่อ เคยได้ยิน เอาเถอะอย่าห่วงเลย ฉันไม่ทำให้ตัวเองลำบากหรอกน่า”
เขาตบไหล่เพื่อน กำชับให้หมอหนุ่มส่งค่ารักษามาให้ทางไลน์ด้วย จะได้โอนเงินไปให้
เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง เอากระดูกมาแขวนคอ
แน่ล่ะ เขากำลังทำแบบนั้นตอนนี้
แต่เด็กนั่นก็ช่างน่าสงสารเหลือเกิน
พ่อเลี้ยงหนุ่มถอนใจเฮือกก่อนจะเดินกลับเข้าไปในบ้าน