ตอนที่ 6 มื้อที่ดี
"ท่านแม่น้องยังเด็กนักคงอยู่ไม่ติดบ้านนักหรอก ด้วยลมฝนที่หยุดไปสองวันก่อนคงกลัวลื่นล้มกระมังถึงยังไม่ไปไหน” ซีซวนพยายามพูดไกล่เกลี่ยท่านแม่ให้คล้อยตาม
“คงเป็นเช่นนั้น” นางเจียงหลินได้ตอบไปพร้อมกับถอนหายใจยาว คงจะมีแต่เด็กน้อยเท่านั้นที่ติดแม่ ตอนนี้ลูกของนางโตกันหมดแล้วแต่ทว่านิสัยยังถือว่าเด็กนัก นางไม่ได้ส่งลูกเข้าเรียนเนื่องจากโรงเรียนนั้นไกลมากเดินทางสามถึงสี่วันกว่าจะถึง โดยรวมแล้วถือว่าเป็นโรงเรียนที่ดี แม้ค่าเรียนนั้นจะแพงมากก็ตาม
เพราะนางร่างกายอ่อนแอหลังจากคลอด อู๋เจ๋อ บุตรคนสุดท้องถึงนางจะลุกเดินได้เป็นบางครั้งแต่ต้องได้รับความช่วยเหลือจากสามีและบุตรชาย ไม่รู้ว่านางยังจะสามารถกลับมาเดินได้เหมือนตอนที่ร่างกายแข็งแรงเหมือนเดิมได้หรือไม่ นางตัดใจไม่สู้ต่อไปหลายครั้งหลายคราว แต่ด้วยสามีและลูกๆ คอยผลักดันนางจึงมีกำลังใจทำให้จิตใจเข้มแข็งและเชื่อว่าสักวันนางจะกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติ
“ท่านแม่...ท่านว่าข้าควรไปดูซีซวนดีหรือไม่” เมื่อซีห่าวแกรงว่าอาหารจะไม่เสร็จทันค่ำที่ท่านพ่อและน้องสามกลับมาอาจจะต้องอดอีกมื้อ (เนื่องจากอดีตครั้งที่เขาพยายามทำอาหารครั้งแรกต้องพบเจอกับอุปสรรคอย่างมาก การก่อไฟหาใช่ปัญหาสำหรับเขา การหันผัก นั่นแสนง่ายดาย แต่การควบคุ้มไฟนั้นยากนัก หากเผลอเพียงเสี้ยวอึกใจมันก็กลายเป็นตอตะโกได้เลยทีเดียว)
เมื่อได้ยินดังนั้น นางเจียงหลินหวนคิดเมื่อซีห่าวทำอาหารครั้งแรก ที่ไหม้ครึ่งนึงอีกครึ่งผักยังไม่สุกดีนัก และข้าวที่ยังดิบบ้างสุกบ้างขึ้นมา นางถึงกับหายใจออกแรงๆ เลยทีเดียว
“ได้ ไปดูเถอะเผื่อเจ้าจะช่วยนางได้บ้าง” นางพูดพรางยกมือสบัดไล่ให้เขาออกไปช่วยน้องสาว
ซีห่าวรับคำแล้วเดินออกไปทางด้านนอกหันไปทางด้านขวาและตรงไปห้องครัวขนาดกลางทันที
อีกด้านหนึ่งในห้องครัว
เมื่อซีซวนเดินเข้าไปต้องยืดทำใจอยู่พักใหญ่ และเริ่มเก็บถ้วยจาน หมอกระทะมาทำความสะอาดอีกครั้งทั้งที่เธอเหนื่อยมากแล้วแท้ๆ เหงื่อเย็นไหลอาบหลังเสื้อจนเธอไม่สบายตัวเหนียวเนอะหนะไปหมด เมื่อล้างเสร็จก็ปัดกวาดพอเป็นพิธีเพาะวันนี้ที่เธอทำไปนี่ถือว่ามากเกินแล้วสำหรับคนขี้เกียจอย่างเธอ เมื่อเก็บของเข้าที่แล้วเธอก็เริ่มลงมือก่อไฟโดยใช้ฟางเป็นเชื้อเพลิงและใช้ไม้ในการก่อไฟ
“อยากได้เตาไฟฟ้าจัง นี่มันเบสิกชัดๆ ยิ่งกว่าเดินป่าล่าตะเวนซ่ะอีก” เธอบ่นเสียงเบาไปพร้อมกับมือที่ขยับไปมาไม่หยุด
หลังจากก่อไฟสองเตาเสร็จก็ทำข้าวต้มโจ๊กที่มีข้าวเจือจางอยู่เกินครึ่ง ในความจำที่ขาดหายไปในบางช่วงแต่ก็จดจำเวลาทานอาหารได้อยู่บางส่วน ข้าวควรประหยัดและเก็บไว้ให้มากเผื่อเวลาหน้าหนาว เพราะคนส่วนใหญ่ไม่ได้ปลูกข้าว จึงต้องนำเงินที่ได้ไปแลกซื้อมา แต่ล่ะครั้งก็แลกซื้อไม่มากนักเพราะเงินที่เก็บไว้นั้นไม่มากพอและต้องแบ่งส่วนนึงไว้สำรองจ่ายค่าอาหารอีกด้วย เมื่อตั้งเตาโจ๊กทิ้งไว้ให้เดือดเธอก็เริ่มนำผักและเนื้อหมูที่หมักเกลือห้อยตากลมไว้ มาหั่นและตั้งกระทะผัดผักและหมู ใส่เกลือเล็กน้อยใส่น้ำมันนิดหน่อย เมื่อเสร็จแล้วเธอก็นำไข่มาสามฟอง ใช้หม้อเล็กอีกใบใส่น้ำต้มจนเดือด ใส่ไข่ไก่บ้านที่แลกซื้อมา ตีจนไข่เข้ากันใส่เกลื่อปลายช้อนชาและเทลงหม้อที่น้ำเดือดได้ที่ รอจนไข่สุกกำลังดีจึงหั่นต้นหอมซอยลงไปเป็นอันเสร็จสิ้น ข้าวก็สุกได้ที่แล้วเธอจึงยกหม้อข้าวต้มกับต้มไข่น้ำลงพักไว้ก่อน เตรียมอาหารใส่จานเรียบร้อยรอแค่ถึงเวลาอาหารค่ำค่อยตักข้าวต้มโจ๊กใส่ถ้วย เมื่อเธอหันหลังจะออกไปล้างเนื้อล้างตัวที่เนอะหนะต้องเจอกับสายตาสามคู่จ้องมองมาทางเธออย่างตะลึง
ก่อนหน้านี้หนึ่งก้านธูปคือ15นาที (อันนี้คิดเองเอ่อเออเอง) ซีห่าวได้เดินมาหาเธอหวังว่าจะช่วยเธอทำอาหารที่รสชาติโอชา แต่เมื่อไปถึงก็เห็นพ่อและน้องสามยืนแอบอยู่ข้างประตูห้องครัวคนล่ะฝั่งจึงเดินไปดู และหันไปเจอน้องสองกำลังหั่นเนื้อหมูหั่นผัก ตอนแรกซีห่าวจะเดินไปช่วยแต่ถูกกลิ่นหอมหวนนั่นทำให้หยุดนิ่ง มองดูน้องสองใส่เนื้อหมูที่หั่นอย่างสวยงามเกือบเท่ากันทุกชิ้นลงไปผัดใส่ผักปรุงรส และเห็นนางทำต้มจืดไข่น้ำที่แม่เคยทำให้กินแต่ยังเล็ก ซีห่าวท่านพ่อและน้องสามยืดดูด้วยความหวังในอาหารมื้อนี้พร้อมทั้งน้ำลายมุมปากที่ไม่รู้ว่าไหลออกมาตั้งแต่ตอนไหน
เมื่อซีซวนหันกลับมาก็เจอเข้ากับสายตาที่จ้องมองมาทางเธอ ซีซวนที่เนื้อตัวตอนนี้ไม่สบอารมณ์นัก จึงเดินผ่านสายตาสามคู่นั้นออกไปโดยไม่ปริปาก
“ลูก...” คำพูดที่กำลังจะถามไถ่ต้องหยุดนิ่งเมื่อบุตรสาวหยุดเดินและหันกลับมาอย่างกระทันหัน
“ข้าจะไปล้างตัวที่ท่าน้ำข้างๆ นี่สักปะเดี๋ยว ข้าจะรีบกลับมาตั้งโต๊ะอาหารค่ำก่อนพระอาทิตย์จะคล้อย”