ตอนที่ 10 นี่คืออะไร
ด้วยไม้ที่ยาวเพียง100เซนติเมตร และความเร็วในการส่งมันออกไป ความแม่นยำนั่นได้รับการฝึกมาหลายปีแม้ร่างกายนี้จะอ่อนแออยู่บ้างแต่ก็ไม่สามารถขัดขวางการใช้แรงอันทรงพลังของเธอได้
ผ่านไปไม่นานนักเธอได้ปลาตัวเล็กใหญ่มาสี่ห้าตัว และนำเถาวัลย์มาร้อยมัดปลาทั้งห้าตัวโดยร้อยจากทางเหงือกออกมาทางปาก ด้วยไม้ที่ใช้แทงปลานั้นไม่ใหญ่นักบาดแผลของปลาแต่ล่ะตัวเลยไม่มาก ลำธารในตอนนี้มีกลิ่นคาวเลือดอยู่ไม่น้อย
ตอนที่เธอถอดรองเท้าพับขากางเกงลงไปยืนในน้ำนั้นปลากลับเข้ามาลุมรอบๆ ขาขาวเรียวเล็กของเธอ คงเพราะไม่มีใครเคยมาทำร้ายมัน ปลาพวกนี้เลยไม่กลัวการลุกล้ำจากซีซวนเลยแม้แต่น้อยเธอจึงรีบโจมตีปลาเหล่านั้นอย่างรวดเร็ว ก่อนที่มันจะหนีไปไกลและขึ้นจากลำธารที่มีน้ำสูงไม่ถึงเข่า คาดว่าครั้งหน้าเธอคงจะจับปลาพวกนี้ได้ยากขึ้นเสียแล้ว เมื่อใส่รองเท้าและร้อยปลาเสร็จแล้วก็วางมันลงในตะกร้า เธอหันหลังให้ป่าลึกแล้วเดินกลับบ้านพร้อมแสงแรกของรุ่งอรุณ
เมื่อกลับมาถึงบ้านแสงพระอาทิตย์เริ่มสาดส่องขึ้นมาบ้างแล้ว ซีซวนตักน้ำด้วยกระบวนไม้ไผ่มาล้างหน้าล้างตาแล้วนั่งพักสักครู่
“ทำไมฉันต้องมาทำอะไรแบบนี้”
ถ้าไม่ทำแน่นอนว่าเธอต้องกินอาหารห่วยๆ ฝีมือพี่ชายของร่างนี้ เธอคงกินไม่ลง
เมื่อพักจนหายเหนื่อยแล้วเธอก็เข้าครัวจัดการปลากับหน่อไม้ และหั่นหน่อไม้เป็นขนาดพอดีคำไม่หนาและบางจนเกินไป นำปลาทำความสะอาดควักล้างเคื่องในทิ้งและหั่นให้เป็นรอยกากบากพองามบนตัวปลาทั้งสองด้าน นำปลาสามตัวคลุกเกลือเล็กน้อยแล้วพักไว้ อีกสามตัวต้มในน้ำร้อนและใส่หน่อไม้ลงไปลงประมาณสองหน่อปรุงรสด้วยเกลือ อีกเตาทำข้าวต้มโจ๊ก เมื่อเสร็จจึงยกหม้อลงและปิดฝาไว้ นำกระทะมาตั้งบนเตาไว้ใส่น้ำมันและลงมือทอดปลาทีละตัวที่หมักไว้โดยใช้ไฟกลางๆ อีกเตาหั่นหมูที่แขวนตากลมมาเล็กน้อย ใส่กระเทียมที่ทุบแบบลวกๆ ใส่ลงในกะทะจนเกิดเสียง ซ่า ซ่า และส่งกลิ่นหอมตลบอบอวนไปทั่วบริเวณบ้านใกล้เรือนเคียง จากนั้นใส่หมูผัดพอประมาณและใส่หน่อไม้อีกหน่อที่ไม่เล็กไม่ใหญ่ผัดให้สุกปรงรสเป็นอันเสร็จสิ้น
กลิ่นหอมของปลาทอด ช่วยปลุกทุกคนเป็นอย่างดี
เมื่อเธอเดินเข้าไปในบ้านได้พบว่าพี่น้องคู่นั้นและท่านพ่อตื่นขึ้นมาแล้ว กำลังล้างหน้าป้วนปากและหันมาทางเธอแบบงงๆ
(นี่ลูกสาวข้าตื่นแต่เช้าขนาดนี้ไปทำอะไรมานะ) ความคิดท่านพ่อ
“ท่านพี่ตื่นเช้าเพราะกลิ่นหอมนั่นใช่หรือไม่ ข้าก็เช่นกัน”
เจ้าเล็กเอามือลูปท้ายทอยด้วยความเขินอายพร้อมเสียงหัวเราะแหะๆ
“อืม ทำอาหารเสร็จแล้ว” เธอตอบสั้นๆ ใจได้ใจความ
ทุกคนหันน้ามองนางโดยพร้อมเพียง ห๊ะ ทำกับข้าวเสร็จแล้วหรือ คงไม่ใช่ที่เราได้กลิ่นหอมๆ หรอกนะ เมื่อได้ยินเช่นนั้นนางตอบรับทันที ตอนนี้น่าจะหกโมงเช้าใกล้จะเจ็ดโมง (ยามเหม่า) เธอเลยถามว่าหิวหรือยังจะได้ตั้งโต๊ะ ทุกคนพยักหน้า หลังจากจัดโต๊ะก็เริ่มทานอาหารโดยท่านแม่ถูกพยุงออกมาเช่นเคย เมื่อกินอาหารเช้าเสร็จอย่างอิ่มหน่ำสำราญ ท่านพ่อก็ถามเกี่ยวปลาและหน่อไม้ว่าเอามาจากไหน เมื่อได้รับคำตอบเขาเกือบหยุดหายใจ ลูกสาวเขาตื่นเช้าเข้าป่าและหาปลามาได้อย่างไรกัน นี่ไม่ปกติเสียแล้ว
“ข้าหายดีแล้ว และแข็งแรงกว่าเดิมมากนัก” เมื่อเห็นท่านพ่อทำท่าทางเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างเธอถึงเอ่ยปากไป
“ข้าเก็บถ้วยพวกนี้เอง เจ้าพักเถอะ” พี่ใหญ่อาสานำถ้วยจานไปล้างพร้อมกับน้องเล็กและเก็บเข้าที่อย่างเรียบร้อย
เมื่อพี่ใหญ่เดินออกไปแล้วนางถึงได้บอกว่าตอนที่นางสลบไปได้เรียนรู้หลายอย่างในตอนนั้น ท่านพยายมฑูตที่ตัวใหญ่ มีสีแดงทั้งตัวได้บอกว่าเอามาผิดตัวจึงชดเชยให้นางโดยมอบความรู้และทักษะต่างๆ ให้นางมาด้วย
ท่านพ่อ ท่านแม่ที่เคยได้ยินเรื่องเล่าขานนี้มาจากปู่ย่า ตายายนับแต่อดีต แต่ทว่าไม่เคยบอกเล่านางและลูกอีกสองคนฟังในเรื่องนี้เลยว่ามีพยายมฑูต และเรื่องต่างๆ ในนรกที่มีเสียงคนร้องโหยหวนอยู่มากมายลูกเล่ามาเป็นตุเป็นตะได้อย่างไร นี่ลูกไปเจออะไรมากันแน่ลูกยังเล็กอยู่แท้ๆ แต่ด้วยเรื่องเล่าสืบทอดกันมานานโขท่านพ่อท่านแม่จึงเชื่อหมดใจว่าลูกได้รับความรู้มากมายมาจากที่นั่น
ท่านแม่ที่ฟังจบต้องกอดลูกรักด้วยกลัวว่าปล่อยนางไปอาจมีใครมาพลากลูกไปจากนาง สามพ่อแม่ลูกกอดกันร้องให้สะอึกสะอื่น
และเข้าใจที่ลูกสาวเปลี่ยนไปเพาะเหตุนี้นี่เอง
(ฉันกลัวว่าพวกเขาจะจับได้ในสักวัน จึงแต่งเรื่องขึ้นมาเพื่อให้พวกเขาสบายใจเพียงเท่านั้น ใครจะคิดว่าที่นี่มีความเชื่อเช่นนี้อยู่ ถึงอย่างไรฉันก็ตายแล้วครั้งนึงจริงๆ) รอดตัวไปต้องขอบคุณความเชื่อนี้ ต่อไปนี้จะทำอะไรก็จะสะดวกขึ้น รอยยิ้มมุมปากเกิดขึ้นเมื่อขอแยกตัวจากพ่อแม่เพื่อพักผ่อนเนื่องจากเธอตื่นเช้าเกินไป และเหนื่อยจากการเดินทาง