บทที่ 3 โรงเรียนของเราน่าอยู่
เช้าวันรุ่งขึ้น
เสียงไก่โก่งคอขันดังลั่นทั่วทั้งหมู่บ้านไม้งาม บ่งบอกว่าเวลานี้พระอาทิตย์ใกล้จะตื่นขึ้นมาสาดความร้อนตลอดทั้งวันแล้ว พ่อศักดิ์ที่ตื่นก่อนเป็นคนแรกเสมอ เพราะต้องมานึ่งข้าวก่อนจะออกไปที่สวน เอาวัวออกจากคอกหากินหญ้าตามทุ่งนา คันนา ครอบครัวของคำแก้วพ่อกับแม่เป็นเกษตรกรตั้งแต่บรรพบุรุษ ช่วงทำนาก็เป็นชาวนา ช่วงเกี่ยวข้าวเสร็จพ่อศักดิ์ก็ต้องไปรับจ้างทำงานก่อสร้างในกรุงเทพฯส่วนแม่บัวเผื่อนมีหน้าที่เลี้ยงวัวอยู่บ้าน
ไม่นานแม่บัวเผื่อนก็ลุกออกจากห้องนอนล้างหน้าแปรงฟัน หาเก็บผัก ซื้อเนื้อหมูในหมู่บ้าน และไก่ย่าง มาทำอาหารในเช้าวันนี้ ลูกสาวสองคนยังไม่ตื่นนางก็ไม่ลืมที่จะปลุกด้วยน้ำเสียงทรงพลัง
“คำแพง คำแก้ว ตื่นได้แล้ว มันสายแล้วลูก จะไปโรงเรียนมั้ยวันนี้นะฮึ!”
เด็กน้อยสองคนเริ่มพลิกตัว ก่อนที่คำแพงจะขยับร่างกายขึ้นมานั่งทั้งที่ตาปิดสนิท ส่วนคำแก้วไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ ทั้งสิ้น
คำแพงเมื่อตื่นเต็มตาก็เตรียมเสื้อผ้า รีดผ้า อาบน้ำ เสร็จเรียบร้อยค่อยเดินไปปลุกน้องสาวจอมขี้เซา
“คำแก้ว ตื่น!” คำแพงทั้งเขย่า ทั้งดึงผ้าห่มออก ก็ไม่มีสัญญาณตอบรับจากน้องสาว จึงใช้ไม้ตายสุดท้าย
“แม่!”
คำแพงยังไม่ได้พูดประโยคถัดไป คำแก้วรีบเด้งตัวออกจากที่นอน แล้วรีบวิ่งลงเข้าห้องน้ำในทันที ไม่บอกก็รู้ว่าพี่สาวของเธอคงนั่งหัวเราะจนท้องแข็ง
อย่าให้ถึงแม่บัวเผื่อนเลย เธอไม่อยากหูชาในตอนเช้าของวันนี้
เมื่อทำอะไรเสร็จเรียบร้อย ทั้งสองนั่งกินข้าวเช้าด้วยกัน วันนี้มีเมนูเด็ด หมูทอดกับข้าวเหนียวร้อน ๆ ส่วนไก่ย่างที่แม่บัวเผื่อนซื้อมาก็คงไม่พ้นเป็นอาหาร ‘ไอ้ดำ’ หมาบ้านที่แม่นำมาเลี้ยงได้เกือบหนึ่งปีแล้ว มันชอบไปนอนที่สวน
กินอิ่มเรียบร้อย ทั้งสองก็ไม่ลืมหยิบเงินออกมาจากกระเป๋าเสื้อให้ลูกสาว คำแพงขึ้นมัธยมได้ไปเงินไปโรงเรียนสามสิบบาท ส่วนคำแก้วยังเรียนชั้นประถมเอาไปแค่สิบบาทก็เพียงพอแล้ว คำแพงกับคำแก้วยกมือไหว้ก่อนรับเงินมา
คำแก้วอยากบอกแม่บัวเผื่อนภายในใจเป็นหมื่นล้านคำ แม่จ๋าเงินที่ให้มามันไม่พอจ้า กินขนมยังไม่อิ่มเลย สิบบาทนี้เธอต้องนำไปฝากกับทางโรงเรียนห้าบาท ส่วนอีกห้าบาทคือส่วนของการกินขนม สมัยนั้นขนมห่อละหนึ่งบาท แต่คำแก้วเป็นคนกินจุ กินเท่าไหร่มันเคยจะอิ่มสักที
แต่ช่างเถอะ อดทนไว้ เดี๋ยวโตขึ้นเราก็มีเองแหละ พยายามมองโลกในแง่ดีเข้าไว้ วันข้างหน้าต้องดีกว่านี้ วันนี้สิบบาทไปก่อน
“สวัสดีจ้ะแม่ ไปก่อนนะจ๊ะ” คำแก้วคำแพงเดินออกไปนอกบ้านแยกย้ายกันคนละทิศละทาง คำแพงเดินไปทางขวามือเพื่อจะนั่งรอรถประจำทางที่ศาลาหน้าหมู่บ้านเพื่อไปเรียนโรงเรียนประจำอำเภอที่ห่างออกไปสองกิโลเมตรส่วนคำแก้วเดินไปทางซ้ายมือเพื่อจะไปโรงเรียนประจำหมู่บ้าน
หมู่บ้านไม้งามของคำแก้วค่อนข้างใหญ่มีประมาณสามร้อยกว่าหลังคาเรือน และยังเป็นหมู่บ้านประจำอำเภอ ชื่อของหมู่บ้านนำไปใช้ตั้งชื่ออำเภอเพราะมีความเก่าแก่ของคนรุ่นเก่าที่ย้ายมาตั้งรกรากแห่งนี้ในสมัยกว่าสองร้อยกว่าปี หมู่บ้านไม้งาม งามสมกับชื่อที่ได้รับเพราะนอกจากจะมีต้นไม้ล้อมรอบหลากหลายชนิด และอุดมสมบูรณ์กลางภูเขาที่สลับซับซ้อน ยังมีโบสถ์เก่าแก่อายุร่วมสองร้อยกว่าปี และยังไม่ศาลหลวงปู่ที่ท่านเป็นพระธุดงค์สายมอญที่คนในหมู่บ้านให้ความเคารพและศรัทธาเป็นอย่างมาก
เมื่อท่านละสังขารจึงมีการหล่อรูปเหมือนไว้ให้ผู้คนได้เคารพกราบไหว้บูชา เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองหมู่บ้านแห่งนี้ไว้ จึงไม่แปลกใจว่าทำไมบ้านไม้งาม จึงถูกยกให้เป็นหมู่บ้านประจำอำเภอแห่งนี้ แต่ยังก็ยังถือว่าเป็นอำเภอเล็ก ๆ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ยังไม่เจริญมากนัก
โรงเรียนของคำแก้วแห่งนี้อยู่ทิศตะวันออกของหมู่บ้านติดกับวัด มีนักเรียนกว่าหนึ่งร้อยคน ระยะทางจากบ้านไปโรงเรียนประมาณสามร้อยเมตรใช้เวลาเดินเท้าห้านาทีก็ถึง
เท้าเล็ก ๆ ก้าวฉับ ๆ ด้วยความรวดเร็ว จนมาหยุดที่หน้าประตูรั้ว ก่อนจะยกมือสวัสดีคุณครูตรงหน้า ก่อนจะนำกระเป๋าสะพายข้างเก็บเข้าที่ให้เรียบร้อย เมื่อคำแก้วมาถึงก็เป็นเวลาประมาณเจ็ดโมงครึ่ง โรงเรียนแห่งนี้มีพื้นที่ประมาณเกือบแปดไร่ติดกับวัดของหมู่บ้าน มีอาคารเรียนขนาดใหญ่สองชั้นด้านซ้ายมือ ถัดไปจะเป็นห้องสมุดเป็นเรือนไม้ ห้องน้ำอยู่ด้านหลัง ถัดไปอีกมีหอประชุม และโรงอาหารขนาดพอดีกับจำนวนนักเรียน ส่วนฝั่งขวามือจะเป็นสนามบอลมีแท่นเสาธงตั้งอยู่ ถัดไปอีกเป็นสระน้ำไว้เลี้ยงปลา ข้างสระมีแปลงนาหนึ่งไร่ไว้ปลูกข้าว
คณะครูรวมผู้อำนวยการบุคลากรทั้งหมดแปดคน ตอนนี้คำแก้วเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่สี่แล้ว การเรียนส่วนมากคุณครูคนเดียวสอนหมดทุกวิชา คุณครูที่นี่ เธอนับถือจากใจจริงและให้ความเคารพเป็นอย่างมาก
ร่างเล็กตัวกระจ้อยเอากระเป๋ามาเก็บที่ใต้โต๊ะเรียนก็เห็นน้ำแข็ง กับแก้มเพื่อนอีกคนมาถึงก่อนแล้ว เราสามคนสนิทกันมาก พวกเราแข่งมาโรงเรียนกันว่าใครจะมาเร็วก่อน แต่คนแรกมักจะเป็นแก้มกับน้ำแข็งเสมอ แต่แก้มมาก่อนนี่ไม่แปลกใจเพราะบ้านอยู่ติดกับโรงเรียน แต่น้ำแข็งนี่สิบ้านติดกันแท้ ๆ ทำไมตื่นเช้าขนาดนั้น คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะเพื่อนหรือญาติคนนี้ชอบตื่นเช้าเป็นกิจวัตรประจำวัน พลังงานเหลือล้นชอบชวนเล่นนั้นเล่นนี่ ส่วนเธอชอบนอนไม่ก็นั่งมองเพื่อน ๆ เล่นกัน
เรื่องแข่งขันมาโรงเรียนเธอขอเป็นคนสุดท้ายละกัน คำแก้วตื่นเช้าไม่ไหวจริง ๆ
“มาช้าอีกแล้วนะคำแก้ว”น้ำแข็งเอ่ยทักคำแก้วทันที
“แฮ่ๆ”
“เราเป็นเวรรีบทำความสะอาดกันเถอะ ใกล้ได้เข้าแถวแล้ว” แก้มรีบชวนทั้งสองคนก่อนจะหมดเวลาในเช้านี้
เวรทำความสะอาดของชั้นปอสี่ เป็นถนนทางเข้าโรงเรียน ใครมาก่อนก็ต้องทำก่อนช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
เมื่อเดินมาถึง เด็ก ๆ ในห้องก็กำลังขะมักเขม้นในการกวาดใบไม้ใบหญ้า บางคนตั้งใจทำ บางคนแหย่กันเล่น ตามประสาเด็กน้อยไม่ประสีประสา เธอก็เป็นคนหนึ่งที่มองภาพตรงหน้าด้วยสีหน้าเปี่ยมล้นไปด้วยความสุข บรรยากาศที่ชอบกลับมาอีกแล้ว
“โอ๊ย!”
แต่แล้วเหตุการณ์ไม่ทันคาดคิดก็เกิดขึ้น มีเด็กหญิงคนหนึ่งคำแก้วจำชื่อไม่ได้นัก พวกเธอสองคนผลัดเล่นขี่หลังกัน แต่คนที่นั่งบนหลังเพื่อนกับนึกสนุกโยกตัวไปมา ทำให้ไม่สามารถทรงตัวได้ จึงล้มหน้าคะมำใส่พื้นคอนกรีตปากแตกเลือดไหลซิบ บวมเป่งน่ากลัวมาก ส่วนคนที่ขี่หลังช็อกกลับเหตุการณ์ตรงหน้ายืนอึ้งทำตัวไม่ถูกทุกคนรอบตัวยืนนิ่งสนิท คำแก้วได้สติก่อนเพื่อนรีบวิ่งไปเรียกคุณครูฉับพลัน
“คุณครูขา เพื่อนปากแตกค่ะ อยู่ทางโน้นค่ะ!”
“ทำไมเป็นอย่างนั้นนะ เกิดอะไรขึ้นจ๊ะ!”
เมื่อคุณครูมาถึงก็ต้องรีบพาเด็กคนนั้นไปโรงพยาบาลทันที ส่วนเด็กผู้หญิงตัวต้นเหตุจำได้คร่าวๆว่าชื่อ ‘เบส’ ยืนร้องไห้ด้วยความรู้สึกผิด
“ฮือ ๆ” เสียงร้องไห้จ้า เธอคงตกใจมาก
“เบส เธอเป็นคนทำเพื่อนเจ็บแท้ ๆ ยังมีหน้ามาร้องไห้เรียกความสงสารอีกเหรอ!”
“เล่นอะไรไม่รู้เรื่องเลยเห็นไหมเพื่อนเจ็บตัวนะ เด็กซนจริงๆ!”
“ทีหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะ!”
ทั้งเพื่อนในห้อง รุ่นพี่ชั้นอื่นๆ ที่ได้ยินข่าวก็รีบมาทับถมความผิดที่ไม่ได้ตั้งใจ รุมล้อมทั้งด่าทั้งว่า จนคำแก้วเริ่มทนไม่ไหว ว่ากันเกินไปแล้ว
“ไม่เป็นไรนะ เบสนะไม่ได้ตั้งใจหรอกใช่มั้ยล่ะ คำแก้วเข้าใจ” คำแก้วเดินแทรกเข้าไปในวง ก่อนจะตบไหล่เบสเบา ๆ
“ทุกคนก็เห็นว่าเบสนะ ไม่ได้ตั้งใจ จะด่าว่าอะไร ก็ห่วงความรู้สึกเบสด้วย เด็กแค่นี้เอง รู้มั้ยว่าเรื่องนี้จะเป็นแผลในใจของคนอื่นขนาดไหน คนพูดไม่รู้หรอกว่าคนฟังจะจำไปถึงวันไหน อาจจะจำไปตลอดชีวิตเลยก็ได้ นี่ก็เหมือนกันเป็นรุ่นพี่ประสาอะไร ไม่รู้จักมีเหตุผล หัดคิดแยกแยะซะบ้าง เฮ้อ! เบื่อเด็กชอบกลั่นแกล้งและชอบพูดว่าร้ายใส่คนอื่นจริง ๆ”
คำแก้วพ่นวาจาออกมาจากความรู้สึกที่เก็บกดมาเนิ่นนาน จนทุกคนยืนช็อก ไม่เว้นมีแต่รุ่นพี่หน้าเจื่อนกันเป็นแถบ คงงงว่าเด็กอายุแค่นี้ทำไมถึงพูดได้เป็นต่อยหอย พอดีกับเสียงออดดังขึ้นทุกคนก็แยกย้ายกันเข้าแถวหน้าเสาธง ก่อนจะเข้าเรียนกันตามปกติ
เหตุการณ์ครั้งนี้คำแก้วจำได้ว่ามันเคยเกิดขึ้นกับเธอมาก่อน ทำไมเธอจะไม่รับรู้ความเจ็บปวดนี้ล่ะ แต่ครั้งนี้มันย้ายไปเกิดกับคนอื่น
พอมันเกิดขึ้นกับคนอื่น และเธอเหมือนช่วยเหลือตัวเองในอดีตปลดปล่อยความทรงจำแย่ ๆ ที่ฝังใจตลอดชีวิต
หลังเลิกเรียนเบสเดินเข้ามาหาคำแก้ว ก่อนจะซื้อขนมมาฝาก
“อ่ะเราให้”
“ทำไมล่ะ”
“ก็คำแก้วปกป้องเรา เราขอบใจมากนะ”
“อื้อ แล้วนี่ดีขึ้นหรือยัง”
“ดีขึ้นแล้ว เบสน่ะไปขอโทษเพื่อนแล้ว เพื่อนให้อภัยไม่โกรธแล้วด้วย”
“จริงเหรอ”
“อ้อ เบสชอบคำแก้วนะ” เบสเอ่ยพร้อมเสียงสดใส
“อื้ม คำแก้วก็ชอบเบส”
เด็กหญิงทั้งสองยิ้มให้กัน ก่อนโบกมือลากันกลับบ้าน น้ำแข็งกับแก้มยืนรอที่หน้าห้องเรียบร้อย
“คำแก้วเก่งจัง”
“คำแก้วสุดยอด” แก้มกับน้ำแข็งยกนิ้วโป้งให้ก่อนที่เราสามคนจะกลับบ้านพร้อมกันมันเป็นความตื่นเต้นแฝงด้วยความเรียบง่าย ว่าแต่พรุ่งนี้จะมีอะไรอีกมั้ยเนี่ย
“เอ่อ ว่าแต่คำแก้ว”
“จ้า”
“คำแก้วไปเอาคำพูดมาจากไหนอ่ะ เหมือนผู้ใหญ่เลย”
“เออ นั่นสิ”
คำแก้วทำหน้าไม่ถูกเลยทีเดียว ยัยเพื่อนเด็กน้อยสองคนนี้จะสังเกตเกินไปแล้วนะ
“ดูละครน่ะ ฮ่าฮ่า ว่าแต่เลิกเรียนไปทำอะไรกันดี ตีแบดฯดีมั้ย”
“หืม ไม่เอาน้ำแข็งอยากเล่นเดินป่า”
“เดินป่าอีกแล้ว!”
โธ่! ชีวิต เด็กสิบขวบสามคนเพื่อนรักเดินกลับบ้านพร้อมโต้เถียงกันเล่น ๆ ไม่จริงจังนัก
เมื่อวานก่อนกลับบ้านคุณครูไก่บอกนักเรียนว่าพรุ่งนี้มีวิชาเกษตร ห้ามลืมเอาจอบหรือเสียมมาด้วย เพราะตอนบ่ายจะทำการปลูกผักกัน คำแก้วก็ไม่ลืมที่จะหยิบเสียมน้อยที่พ่อศักดิ์ทำให้ติดมือไปโรงเรียนด้วยกัน
ถึงโรงเรียนปุ๊บก็ทำกิจวัตรประจำวัน เข้าแถว หลังเลิกแถวก็เดินเรียงตามชั้นเรียนไปดื่มนมโรงเรียนคนละถุงที่ถังน้ำแข็งขนาดใหญ่วางตั้งข้างหอประชุมกินเสร็จทุกคนเตรียมไปเรียนตามวิชาที่คุณครูจะสอน
วันนี้วิชาแรกเป็นคณิตศาสตร์ คุณครูค่อย ๆ อธิบาย คำแก้วก็ฟังบ้างไม่ฟังบ้างตามประสาคนขี้เซา เข้าเรียนทีไรเป็นต้องง่วงนอนทุกที ไม่เหมือนตอนเล่นกับเพื่อน ๆ คุณครูกุ๊กไก่ที่เห็นคำแก้วไม่ค่อยตั้งใจฟังก็ถามโจทย์คณิตฯ เพื่อทดสอบความรู้
“คำแก้วจ๊ะ ครูเห็นว่าเธอไม่ค่อยตั้งใจฟังเลย ลองมาทำโจทย์ข้อนี้หน่อยลูกหนึ่งส่วนสามบวกสามส่วนสามเท่ากับเท่าไหร่เอ่ย?”
แย่แล้ว ยิ่งไม่ค่อยเก่งเลขด้วย ทั้งครูกุ๊กไก่ เด็กน้อยในห้องทุกคนหันขวับมากดดันคำแก้ว มีเพียงสายตาห่วงใยมาจาก น้ำแข็ง แก้ม และเบสที่ลุ้นให้คำแก้วโชคดี เธอตั้งสติก่อนแล้วเริ่มคิดถ้าจำไม่ผิดนะถ้าส่วนเท่ากันก็สามารถบวกกันได้เลย เพราะฉะนั้นคำตอบจะต้องเป็นสี่ส่วนสามแน่ ๆ ว่าแล้วเธอก็หยิบแท่งช็อกสีขาวจากคุณครูมาเขียนคำตอบลงไปในกระดานดำ
“เป็นคำตอบที่ถูกต้องจ๊ะ ปรบมือให้เพื่อนเร็วลูก”
คุณครูกุ๊กไก่เห็นคำตอบก็ต้องแปลกใจเพราะเธอพึ่งสอนเรื่องนี้ครั้งแรก แต่คำแก้วสามารถเข้าใจและรู้เรื่องมาก เด็กคนนี้ไม่ธรรมดา ดีล่ะ ต้องจับไปแข่งขันวิชาการซะแล้ว คุณครูกุ๊กไก่มาดมั่นไว้ในใจ จะเป็นความโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ เพราะเหมือนพัฒนาการวิชาคณิตศาสตร์ของคำแก้วไม่กระเตื้องเลยหลังขึ้นชั้นมัธยม ที่จบมาได้เพราะเพื่อนช่วยและเธอเพิ่งมาขยันช่วงมัธยมปลายล้วน ๆ
“เฮ้อ รอดแล้ว” วันหลังเธอจะพยายามตั้งใจเรียนให้เนียนกว่านี้หน่อย ถึงสมองจะกำลังคิดเรื่องอื่นก็เถอะ
กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง
เรียนวิชาคณิตฯ ต่อด้วยภาษาไทย สังคมศึกษา ครบสามวิชาในตอนเช้าเสียงออดดังขึ้นเพื่อบ่งบอกถึงได้เวลาทานอาหารกลางวันเสียแล้ว ทุกคนทยอยเก็บของลงในช่องใต้โต๊ะแล้วเดินตามกันเป็นระเบียบเพื่อจะไปโรงอาหาร
มาถึงต้องล้างมือให้สะอาด หยิบถาดหลุม ต่อแถวไปรับอาหาร เมนูวันนี้เป็นแกงจืด ข้าวสวย คำแก้วรู้สึกท้อแท้ อาหารรสจืดให้เด็กกินจริง ๆนะ เธออยากกินอาหารเผ็ด ๆ บ้าง
ได้แต่กัดฟันอดทน เดี๋ยวก็ได้กินเผ็ด เดี๋ยวก็โตนะคำแก้ว
ก่อนทานอาหารต้องท่องบทสวดเพื่อขอบคุณพระแม่โพสพเทพนารีแห่งข้าวทุกครั้ง และเมื่อจบค่อยลงมือจัดการเมนูตรงหน้า ทานเสร็จก็ต้องล้างให้สะอาด ระหว่างที่เด็กๆ ตั้งใจทานคุณครูกุ๊กไก่จะพูดขึ้นมาว่า
“ชั้นปอสี่ กินเสร็จไปที่ริมสระน้ำเลยนะลูก”
“ได้ค่า คุณครู” เสียงเด็กชั้นปอสี่ ตอบรับเสียงดังทั่วทั้งโรงอาหาร
เป็นเวลาบ่ายโมงที่เด็กน้อยรวมตัวกันครบ คุณครูกุ๊กไก่จึงเริ่มอธิบายขั้นตอนในการทำแปลงผักขนาดย่อมเยา โดยรอบสระน้ำ แบ่งเป็นสองแปลงตรงข้ามกัน ซ้ายขวา มีทางเดินตรงกลาง
“ครูแบ่งพื้นที่ตามเลขที่แล้วนะจ๊ะ ห้องเรามีทั้งหมดยี่สิบคน ก็เป็นสิบแถว เริ่มทำกันเลย ครูมีเวลาให้ทั้งช่วงบ่ายเสร็จแล้วก็ไปเรียกครูได้ที่ห้องพักครูนะเด็กๆ เริ่มกันเลยจ้ะ”
คุณครูกุ๊กไก่พูดจบก็เดินกลับเข้าอาคารเรียนดังเดิมเพราะมีงานมากมายให้ต้องสะสาง คำแก้ว น้ำแข็งลอบมองหน้ากันแล้วยิ้มแห้ง ก็ทั้งสองไม่ค่อยถนัดการขุดดินเลย อยู่บ้านก็มีหน้าที่แค่รดน้ำผักแค่นั้น ส่วนแก้มและเบสสองคนนี้ทำเป็นเกือบทุกอย่าง
“คำแก้วทำไม่เป็น แฮ่ๆ”
“น้ำแข็งเหมือนกัน”
ลูกพี่ลูกน้องสองคนพูดด้วยเสียงดังฟังชัด ทำแก้มกับเบสหัวเราะทันที
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวเบสกับแก้มจะช่วยทำเอง ไม่ต้องคิดมากหรอก ไม่มีใครเก่งมาตั้งแต่เกิด แค่เราเริ่มลงมือทำ เบสเชื่อว่านะคำแก้วกับน้ำแข็งเดี๋ยวก็ทำเป็น ง่ายๆ”
จึก เหมือนมีหอกแหลมทิ่มเข้ามากลางดวงใจ เจ็บมาก สะเทือนไปทั้งกล่องหัวใจดวงน้อย ๆ เมื่อคราวก่อนเธอจำได้แม่นว่า เธอนั่งเฉย ๆ แล้วจ้างเพื่อนหนึ่งบาททำแปลงผักให้ จนได้คะแนนเต็มแต่มันก็ไม่มีความภาคภูมิใจสักนิด เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่ทำด้วยตัวของเธอเอง
“อื้ม คำแก้วจะลองดู”
“น้ำแข็งก็ด้วย” สองคนแปะมือกันแล้วบูมรวมพลังกันด้วยความสดใส ตัดภาพไปที่คนอื่นๆ ทำจวนจะเสร็จแล้ว
“เร่งมือเร็วพวกเรา!”
แก้มกับเบสทำของตัวเองเสร็จ ก็มาสอนทั้งสองคนด้วยความตั้งใจ
“คำแก้วดูนะ เราต้องเอาจอบมาขุดเป็นกองแบบนี้ก่อน แล้วตากไว้สักพัก ผสมดินกับขี้วัวแห้งคลุกเคล้าให้เข้ากัน ค่อยเกลี่ยดินให้เท่ากัน หว่านเมล็ดผัก ค่อยมารดน้ำ”เบสบอกแล้วทำให้ดูเป็นตัวอย่าง
“อื้อ”
“แล้วคำแก้วจะปลูกผักอะไรเหรอ”
“อ้อ คำแก้วจะปลูกผักขึ้นฉ่ายนะ”
“อื้ม ก็ดีนะ”
“มาทำให้เสร็จกัน”
“ได้เลย!”
15.30 น.
ใกล้จะเลิกเรียนแล้ว เมื่อเห็นว่าเพื่อนในห้องทำแปลงผักเสร็จ หัวหน้าห้องจึงไปเรียกคุณครูกุ๊กไก่เข้ามาตรวจงาน เริ่มจากคนแรกจนมาถึงคนสุดท้าย
“อื้ม เด็ก ๆ เก่งมากจ๊ะ ครูเห็นบางคนทำเสร็จก็มาช่วยเพื่อน นี่คือสิ่งที่ครูอยากให้เด็ก ๆ ทุกคนดูเพื่อนเป็นตัวอย่าง เป็นเพื่อนกันต้องคอยช่วยเหลือดูแลซึ่งกันและกัน โตขึ้นไปจะได้เป็นคนดีของสังคม ครูให้สิบคะแนนเต็มทุกคนเลยนะลูก”
“เย้!” เสียงเด็กน้อยชั้นปอสี่เฮฮาดีอกดีใจกันใหญ่ ที่ได้คะแนนเต็มวิชาปลูกผัก
“แต่อย่าเพิ่งดีใจกัน เหลืออีกสิบคะแนนนะ เหลือการเอาใจใส่ในการปลูกผัก ถ้าทุกคนรดน้ำเช้า-เย็นเป็นประจำ ใส่ปุ๋ยผลที่ได้ก็คือคะแนนที่จะได้เต็มอีกครั้ง ครูกุ๊กไก่จะรอดูนะ กลับบ้านกันได้เลย ครูขอผ.อ.เรียบร้อยแล้วจ้ะ”
“ขอบคุณค่ะ คุณครูกุ๊กไก่” เด็กชั้นปอสี่ ทำความเคารพพร้อมเพรียงกัน จากนั้นก็เก็บอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่นำมาขนกลับบ้าน
เหตุผลที่ต้องกลับบ้านก่อนเวลาก็เพราะทั้งหมดเนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยดิน จึงต้องเลิกเรียนก่อนเวลาจริง เป็นข่าวดีสำหรับวันนี้ ทว่าเธอคงต้องงดการละเล่นประจำวันเสียแล้ว เพราะใช้พลังงานกับการทำแปลงผักไปมากโข เหนื่อยจนลิ้นห้อย สภาพเธอจวนจะไม่ไหวแล้ว
“วันนี้งดเล่น!”
“วันนี้งดเล่น!”
น้ำแข็งกับคำแก้วหันมาพูดพร้อมกันด้วยเสียงอ่อนล้า เดินขาลากกลับบ้านด้วยท่าทางโซซัดโซเซ
ถึงบ้านก็รีบอาบน้ำ พ่อกับแม่อยู่ที่นา ส่วนคำแพงยังไม่เลิกเรียน คำแก้วเลยทำงานบ้านก่อน ล้างจาน กรอกน้ำใส่ตู้เย็น รดน้ำต้นไม้ ดอกไม้หน้าบ้าน และผักสวนครัวหลังบ้าน ส่วนการนำข้าวเหนียวไปอุ่นเป็นหน้าที่ของคำแพง หน้าที่ใครหน้าที่มัน แบ่งกันเรียบร้อยคำแก้วจะไม่เข้าไปก้าวก่ายหรือช่วยเหลือใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่ใช่อะไรหรอก เธอหมั่นไส้พี่สาวที่ชื่นชอบกลั่นแกล้งน้องสาวจนติดเป็นนิสัย หลังจากทำงานบ้านเสร็จคำแพงก็กลับมาพอดี
“น้องคำแก้วมานอนสบายอะไรตรงนี้เหรอจ๊ะ งานบ้านทำยังจ๊ะ”
“เรียบร้อยแล้วจ้าคุณพี่คำแพง”
“โอ้! นี่มันจริงหรือนี่ ไม่น่าเชื่อ” คำแพงทำตาโต อ้าปากกว้างเหมือนตกใจกับคำตอบที่ได้รับก็เล่นหูเล่นตา กวนประสาทจริง ๆ คำแก้วอยากบีบแก้มกลมขาว ๆ นั้นเล่นชะมัด
พี่สาวของเธอนะ เวลาอยู่บ้านมักจะเป็นเด็กจอมกวน แต่เวลาไปเรียนหรืออยู่กับเพื่อนมักจะเป็นคนนิ่ง ๆ ไม่ค่อยพูดจา บุคลิกช่างแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง คีพลุคให้เข้ากับสถานที่เสมอเด็กสาวเคยถามพี่สาวนะว่าทำไมชอบก่อกวนเธอจัง คำแพงตอบกลับด้วยความมั่นใจ มันสนุกดี เหตุผลแค่นี้เอง
เดี๋ยวรอก่อนนะ เจอกันแน่ ฮึ่ม!
บ้านสองคำ
18.00 น.
“ลงมากินข้าวได้แล้ว!”
“จ้าแม่”
คำแพงกับคำแก้วนอนดูทีวีช่วงเย็น ก่อนที่แม่บัวเผื่อนจะทำกับข้าวและตะโกนให้ลงมากินข้าวเย็น พอดีกับพ่อศักดิ์กำลังอาบน้ำ เด็ก ๆ ปิดทีวี ก่อนจะวิ่งลงมาข้างล่าง ในแต่ละวันมื้อเย็นครอบครัวสองคำต้องทานอาหารพร้อมหน้าพร้อมตากันเสมอ เป็นความธรรมเนียมของบ้านหลังนี้
กับข้าวมื้อนี้จะมี แกงขี้เหล็ก ตำแตง ผักบุ้งลวก และป่นปลาช่อนที่พ่อศักดิ์ตกเบ็ดริมห้วยมาได้
“กินเยอะ ๆ นะลูก จะได้โตไว ๆ” พ่อศักดิ์บอกลูกสาวสองคนที่รักยิ่งกว่าสิ่งใดด้วยใบหน้ายิ้มกว้าง พ่อของเธอเป็นคนใจดีและยังใจเย็นเหมือนน้ำ มักจะคอยให้ท้ายลูก ๆ เสมอมา
“พ่อ วันนี้คำแก้วปลูกผักเองด้วย”
“โอ้โห ลูกสาวพ่อทำไมเก่งอย่างนี้ลูก” พ่อศักดิ์กับคำแก้วมักจะพูดคุยหยอกล้อเวลาอยู่ด้วยกัน ตามสำนวนที่ว่า เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย เวลาที่แม่บัวเผื่อนชอบบ่น สองพ่อลูกมักจะทำหน้ารู้ใจกันลับหลังคนเป็นแม่เสมอ
ส่วนคำแพงรายนี้มักจะเข้าฝ่ายแม่บัวเผื่อน แบ่งฝักแบ่งฝ่ายกัน ครอบครัวของเธอช่างสุขสันต์ดีจริง ๆ