บทที่ 2 เริ่มต้นใหม่
ใครจะคาดคิดล่ะว่าในโลกนี้จะยังมีเหตุการณ์ย้อนเวลาอะไรแบบนี้ นึกว่าจะมีแค่ในหนังหรือนิยาย พอเจอกับตัวเองจริง ๆเธอแอบกังวลเล็กน้อย ภาวนาอย่างเดียวขอให้การมาในครั้งนี้พบเจอแต่สิ่งที่ดี คำแก้วคนนี้พร้อมจะเรียนรู้อดีตเพื่อทำปัจจุบันให้ดีขึ้น
แต่ก่อนอื่นเธอต้องรีบเก็บผักให้แม่ก่อน
“ลัลล้า ลัล…ล้า” เสียงฮัมเพลงด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มมีความสุข แต่แล้วก็ต้องหยุดชะงักลงเมื่อมีคนมาขัดจังหวะอารมณ์สุนทรีย์นี้
“เสร็จหรือยัง! แม่รออยู่จ้า” พี่สาวจอมกวนเดินเข้ามาพร้อมทำเสียงที่น่าหมั่นไส้ทุกครั้ง
“ยังจ้า เก็บอยู่จ้า ถ้าอยากให้เร็วมาช่วยกันจ้า” คำแก้วตอบด้วยน้ำเสียงแซะกลับ
“ไม่จ้า ไม่ใช่ธุระจ้า” คำแพงพูดจบก็เดินกลับเข้าบ้านพร้อมหัวเราะเสียงดัง พี่สาวของเธอไม่เปลี่ยนไปเลย ตั้งแต่เล็กจนโต นิสัยชอบแซะชอบกวนเล่นของเธอกับคำแพงน่ะ และอีกเรื่องนะเธอไม่มีทางยอมเรียกพี่สาวว่า ‘พี่คำแพงเด็ดขาด!’ ก็ดูมันสิชอบกวนโมโหอยู่เรื่อย นี่เธอต้องกลับมาปะทะคารมกับยัยพี่สาวจอมจุ้นอีกแล้วเหรอเนี่ย แค่คิดก็ปวดหัวเสียแล้ว เค้าลางความวุ่นวายเริ่มมาเยือน
เก็บผักบุ้งเสร็จก็นำมาให้แม่บัวเผื่อนทันที ระหว่างที่แม่ทำอาหาร คำแก้วก็รีบไปอาบน้ำแต่งตัว
“คำแก้ว! ลงมากินข้าวเร็ว”
“จ้า แต่งตัวก่อนแม่” ลูกสาวคนเล็กตอบกลับเสียงดังเจื้อยแจ้ว ทำสองแม่ลูกมองหน้ากันอย่างฉงน
“แม่ คำแก้วมันอาบน้ำด้วยเหรอ เห็นทุกวันหยุด น้ำไม่เคยอยากจะอาบ” คำแพงถามแม่บัวเผื่อนด้วยความสงสัย ซึ่งมันเป็นเรื่องผิดปกติสำหรับทุกคนเป็นอย่างมาก ก็เมื่อก่อนน้องสาวตาดำ ๆ ของเธอเคยอาบน้ำซะที่ไหนกัน ตื่นขึ้นมาล้างหน้าแปรงฟันก็เสร็จเรียบร้อย
“มาแล้วจ้า อ้าวแม่ พ่อไปไหนอ่ะ” คำแก้วลงมาจากด้านบนก็เอ่ยถามถึงพ่อศักดิ์
“ไปนาตั้งแต่เช้าแล้ว รีบกินสิแม่จะได้เอาข้าวไปให้พ่อเอ็ง”
“จ้า” สามคนแม่ลูกรับประทานอย่างเอร็ดอร่อยเพราะวันนี้มีแกงหน่อไม้หอม ๆ ลวกผัก และที่ขาดไม่ได้เมนูโปรดของครอบครัวนี้นั่นก็คือ ส้มตำรสเด็ดของแม่บัวเผื่อนที่ฝีมือจัดจ้านไม่ธรรมดา
“อื้ม อร่อย” คำแก้วเอ่ยชมแม่บัวเผื่อนทุกครั้งที่ทำอาหารให้กิน คำแพงมองมาพร้อมเบ๊ปากใส่แรง มาอีกแล้วหนึ่งดอก เดี๋ยวเจอกันแน่
“อร่อยก็กินเยอะๆ ลูก” บัวเผื่อนยิ้มด้วยสีหน้ามีความสุขเมื่อลูกสาวเอ่ยชมขณะนั่งกินข้าวด้วยกัน
เมื่อทานอาหารเสร็จก็เก็บสำรับอาหาร และนำฝาชีมาครอบปิดก่อนจะแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตัวเอง บัวเผื่อนต้องรีบนำอาหารไปให้พ่อศักดิ์ที่ทุ่งนาเนื่องจากตอนนี้สามีนางคงกำลังรอกินข้าวเช้า วันนี้ต้องขนขี้วัวหรือมูลสัตว์ไปกองที่ทุ่งนาสิบกว่าไร่ ของครอบครัวสองคำ ‘คำแพงและคำแก้ว’
ส่วนคำแพงตอนนี้เรียนอยู่มัธยมศึกษาปีที่หนึ่งมีงานกลุ่มวิชาภาษาอังกฤษต้องนัดกันไปทำที่โรงเรียนประจำอำเภอที่เธอกำลังเรียนอยู่ และคนสุดท้ายคำแก้วลูกสาวคนเล็กที่น่ารักต้องอยู่เฝ้าบ้านคนเดียว แต่นี่แหละโอกาสที่ดีที่เธอจะหาทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ที่สุด
“เฝ้าบ้านดี ๆล่ะ แม่ไปก่อนนะ” บัวเผื่อนบอกลูกเสร็จสรรพก็ขับมอเตอร์ไซต์คู่ใจออกไปทันที
“ไม่ใช่ว่าหนีไปเล่นนะ กลับมาจะฟ้องแม่แน่ หุหุ” เสียงคำแพงกระซิบที่ใบหูเธอช้า ๆก่อนจะหัวเราะสะใจ ก่อนจะเดินขึ้นไปนั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซต์ของเพื่อนที่มารับ ทว่าระหว่างที่รถเคลื่อนผ่านสายตา คำแพงก็ไม่ลืมใช้มือปิดปากหัวเราะเงียบ ๆคนเดียว
พี่สาวเธอเหมือนคนเป็นคนบ้าเข้าไปทุกวัน เด็กหนอเด็ก
คำแก้วไม่เก็บมาใส่ใจมากนัก ก็เราพี่น้องหยอกล้อกันเป็นประจำ คู่กัดสาขาพี่น้องจอมแก่น แม่ยังตั้งฉายาให้เลย ‘พี่น้องสองคำ’ ชื่อนี้ไม่ได้มาเล่น ๆ
“คำแก้ว คำแก้ว!” เสียงแหลมเล็กของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเอ่ยเรียกเสียงดังลั่น เธอเดินออกมาจากซอกทางเล็ก ๆข้างบ้าน ไม่ใช่ใครที่ไหนเป็น ‘น้ำแข็ง’ ลูกพี่ลูกน้องที่สนิทที่สุดของคำแก้วนั่นเอง
เธอลอบมองคนตรงหน้าช้า ๆ ชัด ๆ ตอนเด็กทำไมขาว จ้ำม่ำน่ารักขนาดนี้นะ มันเขี้ยวจัง คำแก้วมองน้ำแข็งด้วยสีหน้าอึ้งปนทึ่ง
“ว่าไงหยอ” คำแก้วทำเสียงเล็กเสียงน้อยตามประสาเด็กน้อย เดี๋ยวจะไม่เนียนเอา
“ไปเล่นเดินป่ากันปะ?”
“ที่ไหน”
“บ้านย่ากาดไง ”
“อ้อ” บ้านย่ากาดเป็นบ้านใกล้เรือนเคียงของทั้งสองคน อยู่ตรงข้ามบ้านน้ำแข็ง ซึ่งบ้านของน้ำแข็งอยู่ซ้ายมือของบ้านคำแก้ว บ้านของคำแก้วมีพื้นที่ไม่กว้างมากและมีสวนด้านหลังบ้าน ลักษณะของบ้านเป็นเรือนไม้ยกสูง ใต้ถุนบ้านโล่งเตียน ห้องน้ำอยู่นอกบ้าน แต่พื้นที่เล่นตามประสาเด็กคงไม่เหมาะเท่าไรนัก สถานที่ประจำสำหรับเด็กอย่างพวกเธอคงมีที่เดียวในช่วงวันหยุด เพราะบ้านย่ากาด มีพื้นที่มากกว่าบ้านของเธอสามถึงสี่เท่า มีสวนใหญ่มากสำหรับเดินป่า การละเล่นของเด็กวัยสิบขวบแบบพวกเธอมีมากมายแล้วแต่จะยกมาเล่นเฉพาะวันหยุด ไม่ว่าจะเป็น หมากเก็บ โดดยาง ตีเมรุ ยิงนก(การนำลูกบอลมาโยนใส่กัน) ซ่อนแอบและอีกมากมาย
ถ้าจำไม่ผิดสาเหตุที่น้ำแข็งมาชวนเล่นเดินป่าก็คงไม่พ้นเมื่อคืนคงจะดูละครเรื่องหนึ่งที่ตัวละครจะต้องเดินป่า ย่างไก่ พักค้างคืนในป่า ละครที่โด่งดังมากที่สุดในตอนนี้
“จะดีเหรอ แม่คำแก้วให้เฝ้าบ้านอ่ะ”คำแก้วกังขาว่าจะไปดีหรือไม่ เพราะยังอยากสำรวจบ้านในวัยสิบขวบทั้งที่ความจริงเธอจะอายุยี่สิบห้าแล้วก็เถอะ แต่ดูจากสีหน้าน้ำแข็งแล้วต้องมีอ้อนวอนหาเหตุและผลมาตะล่อมให้เธอคล้อยตามเหมือนทุกครั้งแน่นอน
“ก็นี่ไง เราเล่นเดินป่าตรงโน้นแต่สามารถมองมาที่บ้านคำแก้วได้ตลอดเลยนะ คำแก้วจะไม่เฝ้าบ้านตรงไหนกัน น้ำแข็งงงแล้วนะ ไปเล่นกันเถอะนะๆ” น้ำแข็งทั้งออดอ้อนทั้งเกาะแขนเว้าวอนจนคำแก้วในร่างเด็กน้อยยอมตามไป ก็เราสองคนเป็นญาติสนิทกันพ่อของคำแก้วเป็นพี่ชายของแม่น้ำแข็ง ชื่อว่า แม่ตอง ความจริงเธอควรเรียกว่า อาตองมากกว่า แต่ท่านบอกให้เรียกแม่ตองดีกว่าค่อยสนิทสนมกันมากขึ้นและด้วยความที่พ่อกับแม่ของน้ำแข็งเอ็นดูเราเหมือนลูกหลานของท่านด้วย นับจากนั้นเธอจึงเรียกพ่อกับแม่ของน้ำแข็งว่า พ่อพรกับแม่ตองตามระเบียบ พวกผู้ใหญ่บอกไว้ว่าเกิดมาเดือนเดียวกัน ปีเดียวกัน ต้องรักใคร่กลมเกลียวกันไว้ก็เพราะเราคือครอบครัวเดียวกัน
ไม่รู้เพราะแก้มอวบ ๆ น่ารักของน้ำแข็งหรือเพราะอะไรทำเธอต้องยอมเด็กสาวตรงหน้า
“อื้อ คำแก้วไปเล่นด้วยก็ได้ ว่าแต่วันนี้เราจะห่ออะไรเป็นเสบียงล่ะ ในครัวไม่มีอาหารเลย” คำแก้วขมวดคิ้วคิดจริงจัง ต้องเล่นตามน้ำไปก่อน เผื่อน้ำแข็งจะล้มเลิก
“ไม่ต้องเป็นห่วง บ้านของน้ำแข็งนะมีหมูทอด เดี๋ยวน้ำแข็งแบ่งให้คำแก้ว”
“จริงหยอ”
“จริงสิ แยกย้ายกันไปแต่งตัวกับเตรียมห่อข้าวด้วยนะ”
“ได้ๆ” คำแก้วรับคำก่อนจะขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าข้างบนบ้าน ทุกอย่างต้องเริ่มใหม่หมด เธอจะเล่นตามบทที่หลวงปู่ให้โอกาสในชีวิตใหม่ต่อให้ต้องทำอะไรอีกครั้ง กี่รอบก็ต้องยอมโชคชะตาทั้งหมด ขอเล่นตามประสาเด็กน้อยสิบขวบก่อนนะคะหลวงปู่
เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดเสื้อยืดกางเกงวอร์มพร้อมทั้งใส่เสื้อแขนยาวทับอีกชั้นหนึ่ง ก็เดินลงมาข้างล่างเตรียมห่อข้าวเหนียว ในเรื่องมันต้องห่อข้าวเหนียวใส่ใบตอง ว่าแล้วเด็กหญิงก็เดินเข้าไปในสวนหลังบ้านเพื่อเด็ดใบตองมาทำเป็นห่อข้าวแล้วมัดด้วยเชือกฟาง เหลือแค่อาวุธประจำกาย สิ่งนั้นก็คือปืนไว้ป้องกันตัวเวลาออกเดินป่า
“เอ๊ะอยู่ไหนกันนะ” คำแก้วเข้าไปนั่งเลือกและมองหากองฟืนข้างเตา ที่รูปร่างใกล้เคียงปืนที่สุด หยิบขึ้นมาหนึ่งกระบอกหาเชือกฟางผูกไว้สองข้างเพื่อห้อยคอไว้
เมื่อจัดของเสร็จเธอก็ขึ้นไปล็อกประตูข้างบนบ้าน ส่วนลูกกุญแจใส่ไว้ที่เสื้อแขนยาวตรงราวตากผ้าที่ประจำของบ้านสองคำ แค่นี้ก็เรียบร้อยสามารถออกไปเล่นข้างนอกบ้านได้อย่างสบายใจ เป็นเด็กก็ดีนะตื่นขึ้นมากินข้าว แล้วก็ไปหาอะไร ทำสนุก ๆชีวิตในวัยเด็กดีที่สุดแล้ว ไม่ต้องคิดอะไรมากมายเหมือนตอนเป็นผู้ใหญ่
คำแก้วเดินผ่านทางซอกเล็ก ๆข้างบ้านเพื่อไปหาน้ำแข็งที่บ้าน ก็เห็นเด็กสาวกำลังง่วนอยู่กับการเตรียมห่อข้าว จึงนั่งรอที่โต๊ะใต้ถุนบ้าน
“แล้วมีใครเล่นบ้างอ่ะ”
“ก็จะมีน้ำแข็ง คำแก้ว แล้วก็น้องเจม สามคนเหมือนเดิมไง” น้ำแข็งเอ่ยจบก็มาหยุดยืนที่หน้าเธอ ก่อนจะพยักหน้าให้รีบลุกเพื่อจะไปบ้านย่ากาด
“ไปกันเถอะ”
“อื้อ”
เดินไม่ถึงนาทีก็ถึงบ้านย่ากาด เจ้าของบ้านไปนาตั้งแต่เช้า แต่ก็เหมือนเดิมท่านมักจะอนุญาตให้เข้ามาเล่นภายในบริเวณบ้านตลอด ไม่รู้เพราะเอ็นดูหรือสงสารเด็กน้อยไม่มีที่เล่นอย่างพวกเธอกัน พอกลับมาคิดเธอก็นับถือน้ำใจย่ากาดอยู่นะ พวกเธอมักมาเล่นบ้านท่านทุกวันหยุดตลอด แต่ท่านก็ไม่ดุด่า ปล่อยให้เล่นตามสบาย นี่ขนาดไม่ใช่ญาติเป็นแค่เพื่อนบ้านกันธรรมดา ย่ากาดเป็นผู้ใหญ่ที่ใจดีคนหนึ่งสำหรับคำแก้วเลย
“มาแล้วเหรอ” น้องเจมเป็นน้องชายที่สนิทกันคนหนึ่งจึงมักมาร่วมเดินทางกันในครั้งนี้ด้วย
“เราจะเริ่มเดินจากตรงไหนก่อนดี” คำแก้วถามทั้งสองคน
“น้ำแข็งว่าเราเดินตรงด้านขวามือก่อน แล้วเราก็หยุดพักตรงโน้น สลับกันเฝ้ายามกันดีมั้ย”
“ได้เลย”
“เริ่มออกเดินทางกัน” คำแก้วและน้องเจมตอบตกลงถึงความคิดเห็นของน้ำแข็ง ก็เริ่มเดินป่ากัน เดินไม่ถึงสิบก้าวก็ต้องแวะพัก ทานอาหาร นอน เฝ้ายาม เดินต่อ วนเวียนอยู่อย่างนั้นเกือบชั่วโมง
“น้องเจมเหนื่อยแล้วอ่ะ หยุดเล่นกันไหม”
“ตอนสุดท้ายแล้ว นั่นไงพวกมันอยู่นั่น ยิงเร็ว!” ทันทีที่น้ำแข็งเอ่ยจบก็ชี้ปืนปลอมที่ได้มาจากกองฟืนทำทีเป็นเห็นศัตรูแล้วเล็งเป้าเพื่อยิงเป้าหมาย
“ปัง ปัง ปัง!” คำแก้วยิงปืนปลอมพร้อมเสียงประกอบอาวุธคู่ใจ
“เรียบร้อย!” น้ำแข็ง คำแก้ว และน้องเจมทำภารกิจสำเร็จ ศัตรูไม่เหลือรอดสักราย ทั้งสามพูดพร้อมกันก่อนบูมพลังให้กำลังใจก่อนจบการเล่นกิจกรรมเดินป่า
“แยกย้ายกันเถอะ เจอกันพรุ่งนี้นะ”
“ได้สิ บ๊ายบาย”
“เจอกัน” เด็กน้อยสามคนโบกมือลากลับบ้านใครบ้านมัน เดินมาถึงบ้านไม่นาน ท้องก็ร้องเสียงดัง ใช้พลังงานไปค่อนข้างเยอะ เธอหิวข้าวเสียแล้ว แม่ทำอะไรไว้กินไหมนะ คำแก้วในร่างเด็กน้อยเปิดดูฝาชี กับข้าวเมื่อเช้าพร้อมไข่เจียวหนึ่งจาน เธอกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย กินเสร็จก็เก็บไปล้าง ก่อนจะขึ้นไปข้างบนบ้านหาอะไรทำระหว่างวัน ว่าแต่วันนี้เป็นวันเสาร์ หรืออาทิตย์เนี่ย คำแก้วเริ่มมึนหัวก่อนจะงีบนอนกลางวัน
นอนหลับไปนานเท่าไรไม่รู้ก็รู้สึกถึงอากาศที่ร้อนอบอ้าว หันไปเห็นกองผ้าเต็มตะกร้า เธอคิดหาอะไรทำระหว่างรอพ่อกับแม่ได้แล้วล่ะ ซักเสื้อผ้าที่เต็มเกือบล้นตะกร้าให้เสร็จก็คงเย็นพอดี ค่อย ๆ ซักแล้วตาก พ่อกับแม่ก็คงจะกลับมาพอดี เธอเหลือบมองดูนาฬิกาติดผนังฝาบ้าน ตอนนี้เป็นเวลา บ่ายสามโมง ซักผ้าสักชั่วโมงคงเสร็จพอดี จากนั้นก็คงเก็บกวาดข้างบนบ้านให้เรียบร้อย ไหนจะของวางไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยอีก เมื่อก่อนตอนยังเป็นเด็กไม่รู้ความก็ไม่เห็นถึงสภาพความเป็นอยู่ภายในบ้านหรอก แต่เมื่อโตขึ้นก็ค้นพบว่ามันค่อนข้างรกเลยทีเดียว
ภายในข้างบนบ้านไม้จะมีบันไดเก้าชั้น เดินขึ้นไปจะมีห้องนอนสองห้องติดกัน คือห้องพ่อแม่อยู่ทิศตะวันตกด้านขวาเป็นห้องลูกสาวสองคนนอนด้วยกันตั้งแต่เด็ก ถัดมาก็จะมีแท่นพระ ส่วนทีวีกับที่นอนสำหรับนอนดูทีวีอยู่ด้านขวามือติดกับบันได ตู้เสื้อผ้าต่างๆ อยู่ด้านซ้าย แต่เสื้อผ้าก็กินพื้นที่ไปมากโข ยังมีราวตากผ้าด้านล่างอีก มันก็เลยเป็นความเคยชินที่เหมือนมีแต่ข้าวของเครื่องใช้เต็มบ้าน
วันนี้คำแก้วขอเป็นยัยแจ๋วทำความสะอาดบ้านหนึ่งวัน
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป
“ฟู่ว” เสียงเป่าลมจากริมฝีปากเล็ก ๆ หลังจากทำภารกิจทำความสะอาดบ้าน ไม่ว่าจะซักผ้า ปัด กวาด เช็ด และถูพื้น แม่บัวเผื่อนกลับมาเจอจะต้องมีชมเธอบ้างล่ะ
และแล้ววันนี้ก็จบลงด้วยความอ่อนเพลีย คนที่บ้านงงเป็นไก่ตาแตก ลูกสาวคนเล็กของบ้านเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ขยันขึ้น พ่อกับแม่ชมเธอต่อหน้าคำแพง คำแก้วฉีกยิ้มกว้างราวกับมีความสุขมากในวันนี้
ทว่าสายตาเคลือบแคลงระคนสงสัยจากพี่สาวจอมจับผิดเท่านั้นที่มองคำแก้วว่าทำตัวมีพิรุธ ทำความสะอาดบ้านครั้งนี้ต้องมีจุดประสงค์อะไรแน่นอน แต่เรื่องอะไรเธอจะบอกล่ะ ว่าตอนนี้คำแก้วไม่ใช่น้องสาวคนเก่าแต่กลับเป็นน้องสาวคนใหม่ในร่างเด็กน้อยและขยันขึ้นกว่าเดิมมาก
ปล่อยให้งงไปเลย น้องคำแก้วคนนี้จะไม่ยอมบอกเด็ดขาด
เธอถามแม่บัวเผื่อนว่าวันนี้เป็นอะไร แม่บัวเผื่อนส่ายหน้าระอาแต่ก็ยอมบอกแต่โดยดี
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ซึ่งพรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียน แย่แล้วคำแก้ว เธอยังไม่เตรียมตัวเลย ท่องไว้ในใจต้องทำตัวให้เนียนที่สุดเท่าที่จะทำได้!
เจอกันพรุ่งนี้นะจ๊ะ โรงเรียนจ๋า คำแก้วจะไปป่วนแล้ว