บทที่ 1 ย้อนอดีต
“เฮ้อ! เสร็จซะที กลับบ้านกันพี่แก้ว” เพื่อนร่วมงานรุ่นน้องที่สนิทกันเหยียดขี้เกียจและหันมามองรุ่นพี่สาวที่กำลังนั่งนิ่งหลังตรงกำลังจริงจังกับงานตรงหน้า เธอปิดคอมเก็บของใส่กระเป๋าส่วนตัวแล้วเตรียมตัวจะกลับบ้าน หลังจากทำงานเคลียร์งานเสร็จสิ้น
“กลับก่อนเลยจ้ะ เดี๋ยวพี่ขอเรียบเรียงข้อมูล และเคลียร์งานให้คุณภพอีกแป๊บนึง”
“แหม คุณภพรักตายเลยนะได้เลขาขยันและยังเก่งอย่างพี่แก้ว”
“ก็พูดไปเรื่อยนะ” หญิงสาวส่ายหน้ากับคำเยินยอของสาวรุ่นน้องที่เกินจริงไปหน่อย มันเป็นเรื่องปกติที่แก้วหรือ ‘คำแก้ว’ ตั้งใจทำงานมาก นอกจากนี้ คนส่วนมากที่ไม่รู้จักมักจะคิดว่าหุ่นผอมบางหน้าคม ผิวสีน้ำผึ้ง แต่บุคลิกค่อนข้างเป็นคนใจเย็น กลับทำงานรวดเร็ว กระฉับกระเฉง จริงจัง และขยัน ไม่แปลกใจถ้าเจ้านายจะพึงพอใจในการทำงานของหญิงสาว
เพื่อนร่วมงานที่นี่จึงเข้าหาเธอได้ง่าย และทุกคนรักใคร่กลมเกลียวกันเหมือนครอบครัว(ต่อหน้าน่ะนะ) ทุกวันศุกร์เหมือนวันนี้ในแผนกจึงมีการนัดกันกินเลี้ยงเป็นประจำ และทุกครั้งแก้วก็ไม่เคยพลาด เหนื่อยมานานก็อยากปลดปล่อยเป็นธรรมดาของสาวโสด
“แล้วนี่น้องนิดจะไปต่อเลยมั้ย”แก้วถามขณะนั่งพิมพ์งานต่อ
“แหะ ๆวันนี้หนูขอบายละกันคะพี่แก้ว พอดีมีนัดกับแฟน ไปก่อนนะคะเจอกันวันจันทร์ค่ะ”
“เจอกันจ้ะ” แก้วเอ่ยจบก็นั่งทำงาน ตรวจเช็กรายละเอียดจนครบทุกหน้า เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วโมง ตอนนี้เป็นเวลาทุ่มครึ่ง งานที่ค้างคาก็เสร็จเรียบร้อย เธอยืนขึ้นเพื่อยืดเส้นยืดสายก่อนจะบันทึกไฟล์งาน ปิดหน้าต่างไฟล์ต่าง ๆ ปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ เช็กความเรียบร้อยของโต๊ะ หยิบกระเป๋าคู่ใจที่เพิ่งซื้อมาใหม่เพื่อให้รางวัลแก่ตนเอง
ร่างเล็กเดินออกมาจากแผนกก็ไม่ลืมปิดไฟ ยกแขนขึ้นดูนาฬิกาข้อมือข้างซ้ายและคำนวณเวลาในใจ กับการเดินทางไปดื่มสังสรรค์กับเพื่อนร่วมงาน ชีวิตสาวโสดอายุยี่สิบห้าก็คงมีแค่นี้ ทำงาน ดื่ม เที่ยว ช้อปปิ้ง มีกินมีใช้ไม่เดือดร้อนครอบครัว ที่ไม่รู้ว่าตอนนี้ทางนั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง
ครืด ครืด ครืด
เสียงสมาร์ตโฟนราคาแพงที่สั่นเสียงดังบ่งบอกว่ามีคนโทรเข้ามา ทำแก้วที่ยืนเหม่อลอยหน้าออฟฟิศสะดุ้งนิดหน่อย
‘คำแพง is Calling’
พี่สาวของเธอโทรมาหาทำไมกัน มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่านะ แก้วรับสาย ก่อนจะยกขึ้นแนบหู
“ว่า?”
“ยังไม่คิดอยากกลับตอนนี้ มีเรื่องอะไรรึเปล่า”
“อืม แค่นี้นะจะไปดื่มต่อ”
“อืม” รับคำเสร็จก็วางสายและโบกแท็กซี่เพื่อไปยังผับประจำของที่ทำงาน แท้จริงแล้วเธอมีชื่อเล่นที่ครอบครัวมักเรียกเสมอว่า ‘คำแก้ว’ ส่วนพี่สาวที่อายุห่างกันสามปีนั้นชื่อ ‘คำแพง’ เมื่อโตขึ้นก็ไม่ใคร่อยากให้คนอื่นเรียกชื่อนี้เท่าไรนัก เธออาย กลัวว่าทุกคนจะล้อเลียน จึงบอกคนอื่นว่า ชื่อแก้วตลอดที่เข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ จนกระทั่งได้ทำงานดีก็เริ่มปลีกตัวออกห่างจากบ้านไม่กลับไปอีกเลย
เรื่องอะไรที่เธอจะหันหลังกลับไปในที่ที่ไม่อบอุ่นเหมือนเดิม แค่นึกถึงก็มีแต่ความเจ็บปวด
เป็นเวลาเกือบแปดปีที่เธอไม่ยอมกลับบ้าน สังคมหล่อหลอมให้คนแข็งแกร่งด้วยตัวเอง จากเด็กร่าเริงสดใสจากบ้านนอก มาถึงทุกวันนี้ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆทำไมเธอจะต้องกลับไปบ้านหลังนั้นที่มีแต่ความว่างเปล่าด้วย
เฮ้อ! ไปดื่มเพื่อปลดปล่อยร่างกายเหนื่อยล้าตลอดสัปดาห์นี้ดีกว่า เธอบอกกับตัวเองหลังจากครุ่นคิดตลอดทาง ร่างบางรีบลงจากรถแท็กซี่มาหยุดยืนที่หน้าร้านอาหารกึ่งผับ เธอรีบเดินเข้าข้างในทันทีก่อนที่ทุกคนจะโทรเร่ง
“มาแล้ววว แม่เลขาดีเด่นของบริษัท” พี่แอนหนึ่งในเพื่อนร่วมงานเอ่ยแซวหลังจากเห็นเธอนั่งลงข้างกาย โต๊ะที่เธอนั่งจะอยู่ทางด้านซ้ายมือของร้าน บรรยากาศภายในก็มีโต๊ะยาวสำหรับลูกค้ากลุ่มใหญ่ มีเวทีดนตรีสด ดีเจ บาร์เครื่องดื่ม แสง สี เสียงครบครัน และที่แห่งนี้เป้นประจำของพนักงานบริษัทอย่างพวกเธอ
“ผสมมาเลย วันนี้แก้วจัดเต็มจ้า” คำแก้วบอกมือชงของกลุ่มผสมเหล้าให้ด้วยน้ำเสียงท่าทางราวกับคนละคน จะกล่าวว่าเธอเป็นคนหลากหลายบุคลิก หญิงสาวก็ยอมรับด้วยความเต็มใจ อยู่ที่ทำงานนิ่งเงียบ มาปาร์ตี้สังสรรค์เปลี่ยนเป็นผู้หญิงสนุกสนาน ทุกคนคงชินเสียแล้ว ก็หญิงสาวน่ารักและเป็นตัวเองแค่นี้ก็เพียงพอ ใครจะกล้ามาว่าคนอื่นที่ไม่สนิทสนมล่ะ โลกนี้มันก็มีแค่นี้ เธออยากทำอะไรก็ได้ที่ไม่ต้องเดือดร้อนคนอื่น
ดื่มไปสักพักร่างกายเริ่มเข้าที่แอลกอฮอล์เริ่มซึมซับเข้าสู่ร่างกาย ทำศีรษะมึนเมาเล็กน้อย มีหรือที่เธอจะนั่งดื่มเฉย ๆ คำแก้วคนนี้จัดเต็ม
ลุกขึ้นโชว์ลีลาอย่างไม่สนใจใคร โยกซ้าย โยกขวา ส่ายเอวไปมา ชูมือขึ้นเมื่อถึงเพลงมันส์ ๆ พี่ในกลุ่มก็เริ่มตามเธอมาเต้นสนุกสนานเสมอเมื่อมีแอลกอฮอล์เป็นตัวนำขับเคลื่อนอารมณ์ความรู้สึก
“ฮู้ว เฮ้ โย่ววววว!” เสียงเฮฮาดังสนั่นลั่นร้าน จนเริ่มดึกดื่นต่างคนต่างก็เริ่มแยกย้ายกันกลับบ้าน เหลือแค่เธอกับพี่แอน วันนี้พี่แอนไม่ดื่มจึงอาสาไปส่งเธอ มันเป็นเรื่องปกติของเราสองคนที่ต้องผลัดเปลี่ยนกัน เป็นผู้หญิงก็ต้องระวังตัวกันธรรมดา สมัยนี้มีข่าวอาชญากรรมทุกวันและโลกนี้น่ากลัวขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก
“เดินไหวปะเนี่ย”
“ไหวดิพี่ แก้วไม่เมาสักหน่อย แค่นี้สบายย” เธอยิ้มหน้าแดงแจ๋ แต่บอกสาวรุ่นพี่ว่าตัวเองไม่เมา ใครจะเชื่อกัน
“เออๆ ฝันดีนะ”
“ฝันดีจ้า”
พี่แอนมาส่งที่หน้าคอนโดเสร็จก็ขับรถออกไปทันที คำแก้วเดินเซไปมากว่าจะหาคีย์การ์ดกดลิฟต์ก็ใช้เวลาปาไปเกือบครึ่งชั่วโมง
“มาแล้ว มาแล้วจ้า ลัลล้า” เสียงฮัมเพลงดังลั่นเมื่อเปิดประตูห้องได้เรียบร้อยหญิงสาวรีบถอดรองเท้า ปลดกระเป๋าออกวางที่โซฟาหน้าทีวี เดินเลี้ยวหายเข้าไปในห้องนอน ล้มตัวนอนหงาย เหม่อมองเพดานสีขาวด้วยสีหน้าครุ่นคิด และกลับมาคิดเรื่องที่พี่สาวเธอโทรมา ติดใจอยู่เรื่องเดียว
ทำไมแม่เพิ่งจะถามถึงกัน เกิดอะไรขึ้นกับพ่อกับแม่หรือเปล่า?
แต่อีกใจหนึ่งเธอก็ขบคิดเรื่องราวที่ผ่านมา เพราะอะไรกันแน่เธอถึงไม่ยอมกลับบ้านสักที
เธอหลงแสง สี เสียง ในเมืองกรุงอย่างที่ในละครหลังข่าวกล่าวอ้างหรือเปล่า ได้ดีแล้วลืมถิ่น คำนี้ติดอยู่ในห้วงความคิดทุกครั้ง
แต่ทว่า มันก็เป็นสิทธิ์ของเธอไม่ใช่หรือ?
ไม่กลับบ้านแต่ก็ยังส่งเงินให้ทางบ้านนี่นา คงพอแล้วสำหรับคำว่ากตัญญูรู้คุณ
บาปที่ทำให้พ่อแม่ทุกข์ใจคำนี้มักได้ยินเสมอ
แล้วเวลาพ่อแม่ทำให้เราทุกข์ใจล่ะ?
อยู่ดีน้ำตาก็ไหลลงมาช้า ๆ หญิงสาวปล่อยให้มันไหลและซึมหายไปเอง อย่างทุกครั้งที่คิดถึงครอบครัวที่จากมาแสนนาน กลับตัวก็ไม่ได้ ให้เดินกลับไปก็ไปไม่ถึง สถานการณ์ของเธอคงเป็นประมาณนี้
คิดถึงทุกวัน คิดถึงวันเก่าๆ ภาพความทรงจำมากมายเหมือนม้วนฟิล์มที่หลั่งไหลเข้ามากระหน่ำกลางดวงใจน้อย ๆ
มีเงินแล้วอย่างไร หญิงสาวบ้านนาค้นพบมันมานานแล้ว มันซื้อความสุขได้จริง แต่เวลาผ่านไปความสุขที่ได้รับก็เริ่มเป็นความชินและจางหายไปเอง
เธอพบคำตอบที่ได้รับว่าความสุขที่อยากได้มาตลอดเมื่อครั้งยังเป็นเด็กคือหาเงินให้พ่อกับแม่ ทั้งสองจะได้สบาย
แต่เมื่อได้มาอยู่จุดนี้ เธอกลับไม่อยากมีมันแล้ว หญิงสาวเหนื่อยล้าเหมือนอยู่ตัวคนเดียวโดดเดี่ยวทุกครั้งที่กลับห้อง
ไม่มีใครเฝ้ารอตอนเลิกงาน
ไม่มีเสียงหัวเราะของครอบครัว
ไม่มีกิจกรรมยามว่างที่ทำร่วมกันอย่างสนุกสนาน
ไม่มีความอบอุ่นที่ได้รับจากพ่อหรือแม่
ไม่มี…ไม่มีเลย มีแต่ความว่างเปล่า
ร่างกายที่ใช้งานหนักตลอดทั้งวัน คงถึงเวลาที่ต้องพักผ่อนเสียแล้ว จิตเริ่มสงบ ดวงตาเริ่มอ่อนล้าเธอค่อย ๆ เคลิ้มหลับ ลมหายใจแผ่วเบา จนสุดท้ายก็หยุดลง ขณะจิตก็ย้ำคิดแต่เรื่องในอดีตที่ผ่านมา
‘อยากกลับบ้าน คำแก้วคิดถึงบ้านจัง’
หญิงสาวคิดอยู่ภายในใจ ทว่าอยู่ดี ๆ เหมือนมีแรงมหาศาลผลักร่างกายเธอให้ออกจากตรงนี้
‘โอ๊ย! นี่มันอะไรกัน’ ร่างน้อยหยุดยืนที่ปลายเตียง แต่ก็แทบตื่นตกใจเพราะสิ่งที่เห็นตรงหน้ามันคือตัวเธอที่นอนหลับสบายอยู่ตรงนั้น
แล้วร่างนี้ล่ะ?
มันก็คือ ตัวเธอเองนี่นา!
ไม่นะ ไม่จริง! เธอตายแล้วหรือ?
‘ยังไม่อยากตาย ฮือ แม่จ๋าพ่อจ๋าช่วยลูกด้วย’ คำแก้วร้องไห้โฮด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนกและหวาดกลัวกับสิ่งที่ได้เจอ
ทันใดนั้นก็มีแสงเรืองรองออกมาจากประตูหน้าห้องนอน ทำให้เธอรีบหันขวับกลับไปมองโดยทันที
พระภิกษุสงฆ์รูปหนึ่งอายุอานามน่าจะเทียบเท่ารุ่นคุณปู่ ใบหน้าเรียบนิ่ง น่าเลื่อมใส ยิ่งมองยิ่งทำให้จิตใจสงบอย่างน่าประหลาดใจ
คำแก้วรีบนั่งลงพนมมือขึ้นแล้วกราบลงไปสามที
“ถึงเวลาแล้วล่ะ มาสิโยมคำแก้ว ทุกคนรออยู่” หลวงปู่เอ่ยจบก็เดินออกไปทางหน้าประตูห้องพักและหายวับไปกับตา คำแก้วเห็นอย่างนั้นจึงรีบวิ่งตามไปให้ทัน
วิญญาณของเธอหายวับไปพร้อมกับหลวงปู่ ตอนนี้เหมือนเธอหลุดมายังอีกมิติหนึ่ง พายุที่หมุนรอบตัว เหมือนมีแรงลมเข้าพัดร่างและถูกดึงไปยังที่ที่หนึ่ง โดยที่ตัวเธอไม่สามารถรู้ได้เลยว่ามันจะไปสิ้นสุดลงที่ใด
“จงใช้เวลาให้คุ้มค่านะโยม แล้วอาตมาจะกลับมาอีกครั้งในยามที่โยมคำแก้วต้องตัดสินใจเลือก”
เสียงแว่วมาแต่ไกลของหลวงปู่ ทำเอาหญิงสาวมึนงงกับคำพูดของท่าน
ใช้เวลา?
ตัดสินใจเลือก?
นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย!
มวลมหาศาลเริ่มสงบนิ่งเหลือเพียงพื้นที่โล่งเตียนแห่งหนึ่ง ทั้งว่างเปล่า แต่ร่างกายของเธอนี่สิกลับถูกกักขังอยู่ภายในพื้นที่วงกลมที่มีกระจกใสล้อมรอบ
ภาพความทรงจำมากมายเริ่มดำเนินตามเรื่องราวที่มีแต่เธอ
มันคือสิ่งบันทึกเรื่องราวในชีวิตของคำแก้ว
ภาพสี่เหลี่ยมหลายภาพดำเนินไปเรื่อย ๆ เหมือนในละครหลังข่าว ตั้งแต่เกิดจนถึงปัจจุบันภาพสุดท้ายที่คำแก้วนอนที่เตียงนอนก่อนจนหลับโดยไม่ตื่นอีกตลอดชีวิต
‘ยินดีต้อนรับสู่ห้วงเวลา เมื่อท่านเข้ามาแล้ว ไม่สามารถกลับไปอีกได้ คุณคำแก้วสวัสดีค่ะ’ เสียงผู้หญิงพูดขึ้นแต่ไม่มีเห็นใครแม้แต่คนเดียวเอ่ยขึ้นทักทายหญิงสาว
‘นี่มันคืออะไร คุณเป็นใครอีกเนี่ย ฉันตายแล้วเหรอเนี่ย ฉันตกนรกแน่เลย โอ๊ย!’
‘ใจเย็น ๆ นะคะ คุณคำแก้วดิฉันได้ตรวจเช็กประวัติดูแล้ว คุณคำแก้วเป็นคนค่อนข้างดีเลยทีเดียว รู้จักกตัญญูรู้คุณ แต่เสียอย่างเดียวดวงความรักไม่ค่อยจะมี มาตายในตอนที่ยังไม่ได้เคลียร์ความสัมพันธ์กับครอบครัวเลย แย่จริง’
‘แล้วยังไง ฉันต้องทำยังไงถึงจะฟื้นกลับเป็นเหมือน ฉันยังไม่อยากตาย’
‘คุณคำแก้วต้องเลือกค่ะ ว่าอยากจะย้อนอดีตไปในช่วงไหน’
‘อะไรนะ! ย้อนอดีตเหรอ’
‘ใช่ค่ะ คุณคำแก้วจะได้ย้อนอดีตไปแก้ไขเรื่องราวต่างๆได้ แต่เรามีเงื่อนไขนั่นก็คือ เมื่อไปยังช่วงเวลานั้นแล้ว คุณคำแก้วจะไม่สามารถจดจำเรื่องราวที่ผ่านมาได้ นั่นก็คือ จะไม่สามารถจำเรื่องราวเหตุการณ์ตอนนี้ได้ และข้อสุดท้ายเมื่อถึงเวลาคุณคำแก้วก็จะได้รับรู้ความจริงเอง’ เธอลองคิดถึงสิ่งที่ได้รับ ไหน ๆก็ตายแล้ว ลองกลับไปใช้เวลาในอดีตก็ไม่เสียหายอะไร
‘ก็ได้ค่ะ ฉันตกลง’
‘เลือกมาเลยค่ะ อยากจะย้อนในช่วงวัยไหนมากที่สุด’ คำแก้วตัดสินใจย้อนเวลาเพื่ออยากแก้ไขอดีตที่ผ่านมา เธออยากกลับไปกอดแม่ ยืนตัดสินใจอยู่นานจึงเลือกตอนอายุสิบขวบ เพราะเหมือนเธอจำเรื่องราวได้คลับคล้ายคลับคลา
‘เมื่อเลือกแล้ว ไม่สามารถย้อนกลับมาแก้ไขได้อีกแล้วนะคะ จงใช้ชีวิตให้ดี หลับตาลงและลาก่อนค่ะคุณคำแก้ว’
‘ขอบคุณค่ะ’ คำแก้วหลับตาและยืนลุ้นอยู่เป็นเวลานาน ศีรษะเหมือนมีใครเอาค้อนมาทุบ ทั้งปวดและทรมานจนในที่สุดภาพในหัวก็มืดดับลง
“โอ๊ย ปวดหัว” คำแก้วกุมขมับแน่นก่อนจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้นช้า ๆ เมื่อสายตาปรับเข้ากับแสงแดดที่ลอดเข้ามาในห้อง เธอสำรวจภาพตรงหน้า ภายในห้องนอนที่คุ้นเคย มุ้ง พัดลม หน้าต่างไม้ที่คุ้นตา
เป็นบ้านไม้ที่รักของเธอเอง!
เธอย้อนอดีต ย้อนเวลา โอ้แม่เจ้า! ไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง ขยี้ตาอีกสักกี่รอบภาพตรงหน้าก็ไม่หายไป มันคือเรื่องจริง!
ความทรงจำล่าสุดที่เธอจำได้แม่นยำคือ คุยกับหลวงปู่ และเธอตายไปแล้ว!
หรือนี่จะเป็นความฝันกันแน่ ไม่รู้ล่ะ ลองนอนหลับไปอีกครั้งดีกว่า ยังไม่ทันได้หลับตาเสียงดังมาจากใต้ถุนบ้านก็ลอดเข้ามา
“คำแก้วตื่นยังลูก จะนอนกินบ้านกินเมืองไปถึงไหนจ๊ะ”
เสียงสวรรค์ที่ประชดประชันในทุก ๆ วันลอยเข้ามา นี่มันไม่ใช่ฝัน แม่ตัวจริงเสียงจริง พร้อมลำคอได้ยินไปแปดบ้าน ‘แม่บัวเผื่อนของคำแก้ว’ คำแก้วรีบวิ่งลงไปด้านล่างใต้ถุนบ้านทันที เห็นร่างเจ้าเนื้อของแม่ยืนก้มทำกับข้าวด้วยท่าทางที่คุ้นตา
“แม่จ๋า” คำแก้วรีบวิ่งไปกอดด้านหลังทันที ทำเอาบัวเผื่อนยืนงงเป็นเวลาชั่ววินาที แปลกใจกับกิริยาท่าทางของลูกสาวตัวน้อย
“จะมากอดอะไรฮึ จะอ้อนอะไรอีก วันนั้นก็อ้อนขอซื้อหนังสือภาษาอังกฤษให้ แม่ก็ซื้อให้แล้วไง” บัวเผื่อนมองตาลูกที่ยืนกอดแน่นกลมดิกไม่ให้เธอขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย
“ก็คิดถึงนี่นาไม่เห็นตั้งนาน”
“อะไรนะ ไม่เห็นอะไร”
“เปล่าจ้า ก็คำแก้วดีใจที่แม่บัวเผื่อนใจดีซื้อหนังสือให้ลูกนี่จ๊ะ”
“พอเลยๆ ไปเก็บผักที่สวนหลังบ้านให้แม่ด้วย แม่จะลวกผักเร็ว ๆ” บัวเผื่อนรีบบอกทันทีก่อนที่จะทำกับข้าวต่อ
“แม่ คำแพงล่ะ ไม่ใช้มันเก็บ”
“ก็พี่สาวเอ็งมันอาบน้ำอยู่ไง ไปเก็บมาให้แม่เร็ว อย่างอแง”
“จ้า” เธอรับคำพร้อมบ่นพึมพำตลอดทางเดินเข้าสวนผักน้อย แม่บัวเผื่อนเป็นแบบนี้ตลอด ไหว้วานให้เธอตลอด ไม่เคยคิดจะใช้พี่สาวสุดที่รักหรอก แต่ในใจทั้งสุขใจที่ได้กลับบ้านอีกครั้ง
ครั้งนี้เธอจะตั้งใจกับทุกสิ่งที่อยากทำแต่ก็ไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนแปลงได้มากน้อยแค่ไหน แต่คำแก้วคนนี้จะพยายามทำให้ได้