ตกดึก
ตกดึกคืนเดียวกันนั้นเอง หวางเสี่ยวเหยา สตรีที่ควรอาบน้ำนอนพักผ่อนอยู่ที่เรือนหลังน้อยของตนกลับมายืนด้อมๆมองๆอยู่แถวเรือนหลังใหญ่ข้างหน้าสุดของจวนซึ่งเป็นด้านตรงข้ามกับเรือนของนางโดยสิ้นเชิง
หญิงสาวไม่ได้มายืนลับๆล่อๆมือเปล่า สองมือของนางถือถาดไม้ซึ่งด้านบนมีกาน้ำชา ถ้วยชาวางอยู่และพื้นที่ข้างๆมีจานบรรจุขนมหน้าตาน่ารับประทานอีกหนึ่งอย่าง
แสงสว่างจากตะเกียงจุดไฟส่องจ้าออกมาจากเรือนหลังใหญ่
“จริงอย่างที่พวกสาวใช้ขั้นหนึ่งที่นี่บอก หวงเสี่ยวหานเป็นบุรุษบ้างาน วันๆหากไม่ได้รับมอบหมายให้เข้าวังก็จะนั่งทำงานที่ห้อง ไม่เคยออกไปเที่ยวที่ใดเหมือนบุรุษอื่นเขาสักเท่าไหร่
ตามนิสัยของคนบ้างานจนสามารถเลื่อนขั้นจนเป็นขุนนางขั้นหนึ่งได้ตั้งแต่อายุยี่สิบห้าหนาวแสดงว่าจะต้องจัดอยู่ในหมู่คนบ้างานขั้นสุด กลางคืนไม่แคล้วทำงานจนเสร็จก่อนจึงค่อยเข้านอน”
หวางเสี่ยวเหยาจึงหมายใช้โอกาสนี้เข้าไปปรนนิบัติรับใช้สามีเสียหน่อย
นางเคยอ่านบทความในอินเตอร์เน็ตผ่านตา เขาบอกว่าวิธีจีบผู้ชายบ้างานคือต้องแสดงความห่วงใย ชวนคุยเรื่องสบายๆไม่หนักสมอง และที่ดีที่สุดคือนางควรเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนกายผ่อนคลายของพวกผู้ชายประเภทนี้
คิดวางแผนได้ดังนั้นนางจึงลุกขึ้นมาทำของว่างพวกนี้แล้วเดินเอามาให้เขาถึงเรือน
เวรยามผู้คุ้มกันหน้าเรือนใหญ่ไม่แน่นหนาอย่างที่คิด มีเพียงหนึ่งคนเฝ้าประตูทางเข้าเรือนและอีกไม่ถึงหนึ่งถ้วยน้ำชาก็จะถึงเวลาผลัดเปลี่ยนเวรยาม หวางเสี่ยวเหยาจึงยืนรอเวลาสักครู่หนึ่งอย่างใจเย็น
สาม สอง หนึ่ง
นางใช้โอกาสที่ผู้คุ้มกันเดินเปลี่ยนเวรยามผลุบตัวเดินเร่งฝีเท้าเข้าไปด้านในเรือนใหญ่อย่างง่ายดาย
ก๊อก ก๊อก
“ใคร มีอันใดรึ”
แอ๊ด~
หวางเสี่ยวเหยาไม่เอ่ยตอบเสียงเจ้าของห้องที่ดังออกมาจากด้านในอยู่แล้ว ขืนตอบไปมีหวังโดนไล่ตะเพิดออกมาตั้งแต่ยังไม่ได้เห็นหน้ากันเป็นแน่
ดังนั้นหญิงสาวจึงเปิดประตูห้องก่อนค่อยตอบ
“เหยาเอ๋อร์เองเจ้าคะท่านพี่” ดวงตาของนางแพรวพราวด้วยรอยยิ้มหวานล้ำ
ดวงตาสีดำสนิทของหวงจื่อหานจ้องนางครู่ใหญ่ ตอนแรกมุมปากหยักเหมือนเป็นรอยยิ้มจางๆประดับอยู่บนดวงหน้าหล่อเหลาคมคายของชายหนุ่มกว่าพอเห็นว่าคนเข้ามาเป็นใครอีกฝ่ายก็หน้าบึ้งไม่สบอารมณ์ทันทีทันใด
ผู้ชายคนนี้หล่ออย่าบอกใครเชียวแหละ หากเขาอยู่ในยุคของนางคงทำอาชีพเป็นดาราท่านหนึ่งได้ไม่ยาก
รังสีเย็นชาแผ่ออกมาอย่างต่อเนื่องทำให้สตรีผู้มาใหม่รู้สึกร้อนๆหนาวๆ
“ข้าเห็นว่าดึกป่านนี้แล้วท่านพี่ยังคงทำงานหนักเพื่อเลี้ยงปากท้องครอบครัวเช่นนี้จึงอดมิได้ที่จะนำของว่างมาให้ท่านพี่เจ้าค่ะ อย่างน้อยก็เป็นการตอบแทนที่ตั้งใจทำงานเพื่อครอบครัวของเรา”
มือบางวางถาดไม้ลงบนโต๊ะทำงานที่ยังว่างอยู่แผ่วเบา ไม่รอให้ใครอนุญาตหวางเสี่ยวเหยาหยิบถ้วยชาหงายขึ้นมาเพื่อรินชาร้อนๆใส่ถ้วยบริการสามี
“ชานี้คือชาขนขาวเข็มเงินเจ้าค่ะท่านพี่ เห็นเถ้าแก่ที่ร้านบอกว่าเป็นชาขาวชั้นดีจากต่างแคว้นคัดสรรค์พิเศษ ปีหนึ่งมีไม่ถึงสิบชั่ง ที่ข้าซื้อมาจากร้านเป็นส่วนสุดท้ายพอดี ท่านพี่ลองชิมหน่อยดีหรือไม่เจ้าคะ....ดื่มชาขาวจะทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น ช่วยผ่อนคลายและลดความเครียดเจ้าค่ะ”
“....”
เงียบเกิ๊น
หวงจื่อหานไม่แม้ชายตามองถ้วยชาที่หวางเสี่ยวเหยากำลังยกยื่นให้เขา ดังนั้นเวลานี้นางจึงเหมือนกำลังยกถ้วยชาค้างกลางอากาศรอเก้ออยู่เช่นนั้น
หวางเสี่ยวเหยายิ้มแห้งทว่านางไม่ยอมแพ้จึงเลื่อนขนมสีขาวในจานให้อีกฝ่ายแทน
“ส่วนอันนี้เป็นขนมโก๋ไส้พุทราแดงเจ้าค่ะ เหยาเอ๋อร์ทำเป็นรูปทรงดอกกุหลาบ เพราะข้าชื่นชอบความหมายของดอกกุหลาบสีขาวยิ่งนัก.....ดอกกุหลาบสีขาวหมายถึงความรักที่บริสุทธิ์และสง่างาม”
“....”
รอยยิ้มของหวางเสี่ยวเหยากระตุกยิกๆเมื่อนางเริ่มไม่พอใจกับปฏิกิริยาเย็นชาของสามีนางผู้นี้
เย็นชากับภรรยาเกินไปหรือไม่ แม้ว่านางเดาว่าเขาดูไม่ได้เต็มใจรับนางมาเป็นอนุภรรยาก็ตามทว่าจำเป็นต้องเฉยชาทำร้ายจิตใจสตรีของตนเองเช่นนี้เลยหรือ
อืม ดูท่าจุดเริ่มต้นของร่างนี้และหวงจื่อหานจะแย่กว่าที่นางคิดไว้เสียแล้ว
พรุ่งคงต้องไปเค้นความจริงจากปากพวกคนใช้เสียแล้วว่าสรุปแล้วนางเข้ามาเป็นอนุได้เพราะเหตุผลใด
ครั้นในช่วงเวลาที่หวางเสี่ยวเหยาคิดจะถอยกลับไปตั้งหลักเสียก่อนเพื่อหาเหตุผลของความเย็นชาของสามีทว่าดูจะสายเกินไปเสียแล้วเมื่อในขณะที่หญิงสาวกำลังจะลุกขึ้นจากเก้าอี้เพื่อออกจากเรือนไป เหน็บดันมากินที่เท้าของนางกระทันหันส่งผลให้ร่างบางเซล้มลงมาพอเหมาะพอเจาะบนตักของหวงจื่อหาน
“....”
“....”
ความเงียบและความเหน็บหนาวสุดขั้วหัวใจเข้าครอบคลุมทั่วบริเวณ หวางเสี่ยวเหยารู้สึกไม่ค่อยปลอดภัยกับบรรยากาศน่าอึดอัดแบบนี้ยิ่งนักทว่าเท้าถูกเหน็บกินทั้งสองข้างจึงไม่มีแรงเหยียบพื้นดินลุกขึ้นยืน
สาวเจ้าเค้นรอยยิ้มแหยออกมา “แหะๆ ข้าขออภัย เท้าข้าไร้เรี่ยวแรงจะเดินตอนนี้จริงๆเจ้าค่ะ”
ดวงตาสีดำจากคนหล่อกลับไม่ปรานีนางเลยสักนิด ดวงตาเขาเข้มขึ้นอย่างน่ากลัวและเต็มไปด้วยไอสังหารยิ่งกว่านักฆ่าที่นางเคยเจอในชาติที่แล้วเสียอีก
“สันดานเยี่ยงสตรีในหอนางโลมเช่นนี้มิเคยเปลี่ยนจริงๆ ในเมืองหลวงนี้มิให้ค่ากับสตรีที่วันๆคิดแต่จะใช้งานร่างกายเย้ายวนชายหนุ่มเช่นเจ้าหรอกนะ” คนพูดกัดฟันกรอด “หากยังประพฤติตัวดุจสตรีชั้นต่ำเช่นนี้ ข้าจะส่งเจ้าไปยังหอนางโลมเสีย....อย่าคิดว่าข้าจะเกรงใจบิดาเจ้าอีกต่อไป!”
“.....”
สมองของหวางเสี่ยวเหยาขาวโพลนไปชั่วขณะจากนั้นเรื่องราวก็ผ่านไปรวดเร็ว นางรู้ตัวอีกทีก็ถูกจับโยนออกมาข้างนอกเรือนเสียแล้ว
ตุ้บ!
ใช้คำมิผิด นางถูกหวงจื่อหานจับโยนออกมาอย่างไร้ความปรานี ดีที่พื้นดินข้างหน้าเรือนเป็นสนามหญ้าจึงลดความเจ็บจากการที่ก้นนางกระแทกกับพื้นข้างล่างได้ไม่น้อย
หญิงสาวมึนเบลอยิ่งนักนางยังคงมองกลับไปที่บานประตูที่เพิ่งถูกกระแทกปิดสนิทตาปริบๆ
ปากบุรุษผู้นี้ร้ายกาจยิ่งนัก
นางถูกด่าทีหนึ่งเจ็บไปถึงไขกระดูกเชียว
