4. ข้านั้นมีคู่หมั้น
“ฮูหยิน คุณหนูมาแล้วเจ้าค่ะ”
อันซื่อได้ยินเช่นนั้นก็จัดการใบหน้าตนเองให้ไร้คราบน้ำตา ตอนที่นางลุกขึ้นยืนเตรียมออกไปรับบุตรสาว เฉินลี่เซียนก็เดินเข้ามาด้านในห้องแล้ว หญิงสาวย่อกายคารวะมารดา เอ่ยเสียงอ่อนหวาน
“ท่านแม่ ทำให้ท่านต้องเป็นห่วงจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ ลูกอกตัญญูแล้วเจ้าค่ะ”
อันซื่อแทบจะสะกดกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ นางสาวเท้าขึ้นหน้า เป็นฝ่ายดึงรั้งร่างบอบบางของบุตรสาวให้ลุกขึ้นยืนพลางพูดว่า
“อกตัญญูอันใดกัน เซียนเอ๋อร์ เรื่องที่ผ่านมาแม่ไม่เคยโทษเจ้าแม้แต่น้อย หวังว่าเจ้าคงจะไม่โทษตนเองเช่นกัน”
เฉินลี่เซียนลุกขึ้นยืนเชื่องช้า อากัปกิริยาสง่างามเป็นที่สุด เรียกสายตาชื่นชมจากท่านแม่และบรรดาสาวใช้ในเรือนใหญ่ได้เป็นอย่างดี แต่ใครจะรู้ว่าเบื้องหลังท่าทางเหล่านี้นางต้องแอบหลันหลันฝึกซ้อมในเรือนเกือบทั้งคืน ตอนนี้นางเจ็บหลังทั้งยังปวดเข่าไปหมด อยากจะทิ้งตัวนั่งเสียเดี๋ยวนี้เลย
แต่แสดงแล้วก็ย่อมต้องแสดงต่อให้จบ เฉินลี่เซียนแย้มยิ้มบาง
“ท่านแม่ เรื่องนั้นเป็นข้าที่คิดไม่รอบคอบจึงกระทำลงไปโดยขาดความยับยั้งชั่งใจ ท่านแม่ไม่โกรธเคืองที่ข้าไม่รักดียังให้อภัยข้าอีก เช่นนี้ข้าก็ซาบซึ้งใจจนไม่รู้จะพูดอย่างไรแล้วเจ้าค่ะ”
อันซื่อได้ยินถ้อยคำหวานหูของบุตรสาวก็รู้สึกชุ่มชื่นจิตใจไม่น้อย ไม่ทันได้เฉลียวใจนึกว่าบุตรสาวนางอย่างเฉินลี่เซียนพูดคำหวานเช่นนี้เป็นเสียที่ไหน เพราะสามีอย่างเฉินลั่วเป็นอาจารย์ใหญ่เขาจึงเข้มงวดกับบุตรสาวและบุตรชายมากกว่าจวนอื่น ๆ อยู่สองส่วน เฉินลี่เซียนแม้เป็นหญิงแต่ก็ถูกสอนสั่งไม่ต่างจากบุตรชาย หมากล้อม พิณ อักษร ภาพวาดนางล้วนแตกฉาน ซ้ำยังชมชอบการอ่านตำราเป็นที่สุด
แต่ไหนแต่ไรมาเฉินลี่เซียนหากไม่อยู่ในเรือนตนเองก็มักจะไปนั่งสนทนาเรื่องต่าง ๆ กับบิดา ไม่มีทางพูดจาอ่อนหวานเคลือบน้ำผึ้งอย่างแน่นอน ทว่าในใจมารดาอย่างไรก็ชมชอบบุตรสาวขี้อ้อนมากกว่า อันซื่อจึงปัดความรู้สึกตงิดในใจทิ้งไปโดยสิ้นเชิง
อันซื่อพาบุตรสาวมายังตั่งกว้างริมหน้าต่าง ลมอ่อนพัดโชยเข้ามาเป็นระยะ พาให้กลิ่นกำยานที่จุดไว้ฟุ้งกระจายทั่วห้อง ดับอารมณ์หวาดหวั่นในใจของเฉินลี่เซียนได้ชะงัก นัยน์ตาหงส์หลุบลงมองฝ่ามือที่ประสานอยู่บนตัก หูก็ยังฟังมารดาพูดเรื่อยเปื่อยแต่ไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก เฉินลี่เซียนกำลังนึกถึงเรื่องหนึ่งในหัว
ตอนนั้นเพราะตกลงไปในแม่น้ำเย็นเฉียบถึงได้ชีวิตดับดิ้น ยามนี้กลับมามีชีวิตอีกครั้งนางก็อยากจะรู้ว่าคนรักเก่าและครอบครัวเป็นเช่นไรบ้าง ที่อยากรู้หาใช่เพราะความคะนึงหาแต่เป็นความอยากสมน้ำหน้าในใจต่างหาก นางยังจำได้ดีว่าก่อนลืมตาตื่นในร่างคนเป็น หลวงจีนผู้นั้นกล่าวว่าเมิ่งลู่ซือไร้วาสนาบุตรชาย ภายในจวนที่มีคนมากมายเช่นนั้น นางไหนเลยยังจะมีชีวิตที่ดีได้อีก
คิดมาถึงตรงนี้ริมฝีปากงามพลันบิดขึ้นเป็นรอยยิ้มกว้างขวาง อันซื่อที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ยังเผลอคิดไปว่าบุตรสาวเห็นด้วยกับเรื่องที่ตนเองพูดจึงดีใจจนใบหน้าแดงก่ำ รีบร้องบอก
“ฮุ่ยมามา เจ้าไปบอกนายท่านกับคุณชายที่เรือนหน้า บอกให้พวกเขาจัดการตามเห็นสมควรได้เลย”
เฉินลี่เซียนถูกเสียงนั้นดึงสติกลับคืน นางสีหน้าเหลอหลา มองมารดาด้วยสายตาไม่เข้าใจนัก “ท่านแม่ จัดการเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ เหตุใดต้องให้ท่านพ่อกับพี่ใหญ่จัดการด้วย”
อันซื่อแย้มยิ้มบาง แววตาวิบวับดูหยอกล้ออย่างผิดวิสัยไม่น้อย นางยื่นมือมากุมฝ่ามือบอบบางของบุตรสาว เอ่ยเสียงอ่อน
“เซียนเอ๋อร์ เรื่องพวกนี้จวนของเราหาได้ยึดติดถึงเพียงนั้น ถึงเจ้าจะเคยเจอคู่หมั้นมาแล้วเมื่อสมัยยังเด็กแต่เขาจากไปทำการค้าแถบชายแดนนานถึงเพียงนั้น ไหนเลยจะยังเป็นพี่รองหลงของเจ้าอีก เช่นนั้นก็ใช้โอกาสนี้พูดคุยกับเขาให้มากหน่อยเถิด แต่งเข้าไปจะได้ไม่เขินอายมากเกินไปนัก”
เฉินลี่เซียนอ้าปากค้าง ต้าโจวในยุคสมัยฮ่องเต้ฉิงหมิงหาได้เคร่งครัดในกฎธรรมเนียมเช่นกาลก่อนก็จริง แต่ยังมีจวนชนชั้นสูงบางแห่งยึดถือคำที่ว่าชายหญิงไม่อาจพบหน้าหากมิใช่คนในครอบครัวเป็นสำคัญ สตรีบางคนสูงศักดิ์หาใดเปรียบแต่ทั้งชีวิตล้วนถูกขังอยู่ภายในเรือนหลัง มิเคยออกมาเจอโลกกว้างสักครา เฉินลี่เซียนเคยได้ยินเรื่องเหล่านี้มาบ้าง ตอนนี้นางกลายเป็นคุณหนูสกุลเฉิน แม้จะไม่ได้สูงส่งปานนั้นแต่ก็นึกอยู่ในใจว่าต้องถือธรรมเนียมปฏิบัติไม่น้อยแน่
แต่นี่เหยียบย่างเข้าเรือนใหญ่ไม่เท่าไหร่ ท่านแม่ก็จัดการนัดดูตัวให้นางกับคู่หมั้นสมรสพระราชทานผู้นั้นเสร็จสรรพ เรื่องเช่นนี้แม้แต่ตอนที่นางอยู่อำเภอห่างไกลก็ยังไม่เคยพบเคยเจอ จึงรู้สึกแตกตื่นอยู่บ้าง อีกทั้งนางยังมิรู้ว่าบุรุษผู้นั้นนิสัยใจคอเป็นอย่างไรแต่ฟังจากคำอันซื่อแล้วเขาจะต้องเคยพบหน้านางมาก่อนแน่ เป็นเช่นนี้หากนางหลุดกิริยาแปลกประหลาดออกไป มิใช่ว่าเขาจะจับได้เลยหรือ
เฉินลี่เซียนส่ายศีรษะ “ท่านแม่ ข้าไม่-”
“เรื่องพวกนี้เจ้าไม่ต้องพูดไป แม่รู้แจ้งแก่ใจดี อย่างไรก็จะไม่ให้เอิกเกริกเกินไปนัก” อันซื่อตบฝ่ามือบางเบา ๆ เป็นการปลอบใจ
“พี่หลงของเจ้าผู้นั้นแม้จะไม่ได้มีตำแหน่งขุนนางให้เชิดหน้าชูตาเหมือนผู้อื่น แต่เจ้าอย่าลืมว่าบิดาเขามีตำแหน่งเป็นถึงกั๋วกง วันข้างหน้ายังจะต้องส่งต่อตำแหน่งนี้ให้กับบุตรชายคนเดียวอย่างเขาอีก ถึงจะเป็นตำแหน่งลอยไร้อำนาจแต่เขาเป็นสหายสนิทกับองค์รัชทายาท
อีกทั้งพี่ชายใหญ่ของเจ้าก็อยู่ในราชสำนัก เป็นกุนซือคนสำคัญของกองทัพ คนมีตาก็รู้ว่าจวนสกุลหยางแตะต้องไม่ได้ ต่อไปนี้เจ้าก็ใช้ชีวิตอยู่ในจวนใหญ่ให้สบายใจเถิด”
พูดมาถึงตรงนี้คล้ายกับว่าอันซื่อจะติดลมแล้ว นางไล่เรียงสรรพคุณว่าที่บุตรเขยออกมาอย่างช่ำชอง ออกจะชัดเจนยิ่งกว่าพวกแม่สื่อเสียอีก
“พี่หลงของเจ้าคิดไปแล้วก็ดียิ่ง เขาไม่อยู่ในราชสำนัก ห่างไกลเรื่องอันตรายพวกนั้นเช่นนี้ก็ทำให้ข้าวางใจ วันข้างหน้าเขาจะไม่ถูกใส่ร้ายจนทำให้เจ้าพลอยเดือดร้อนไปด้วยแน่นอน อีกทั้งในเรือนเขาไร้สาวใช้อุ่นเตียงแม้แต่อนุสักคนก็ยังไม่มี เจ้าแต่งเข้าไปถือว่าเป็นสตรีเพียงผู้เดียวในเรือนหลังของเขา เช่นนี้ยิ่งดีเข้าไปใหญ่”
เฉินลี่เซียนถูกเรื่องของคุณชายสกุลหยางผู้นี้ตีใส่หัวจนมึนงงไปหมด สุดท้ายจำได้เพียงว่าเขาสกุลหยาง ชื่อสองพยางค์ว่า คุนหลง ครั้นอันซื่อพูดจบแล้วก็มีบ่าวจากเรือนหน้ามาบอกว่าเรื่องทุกอย่างเตรียมพร้อมเสร็จสรรพ ขอเพียงฮูหยินกับคุณหนูออกไปด้านหน้าก็เป็นอันใช้ได้ เฉินลี่เซียนถึงได้ถูกมารดากึ่งบังคับกึ่งปลอบโยน พาไปยังเรือนหน้าด้วยกัน
เฉินลั่วนั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะกลางศาลารับลม ใบหน้าเขาแดงก่ำมาดว่าคงดื่มสุราเข้าไปไม่น้อย เฉินเจิ้งพี่ชายนั่งอยู่ฝั่งขวาส่วนฝั่งตรงข้ามมีบุรุษผู้หนึ่งในชุดคลุมสีน้ำเงินเข้มนั่งถือจอกยิ้มบางอยู่ เฉินลี่เซียนรู้สึกฝีเท้าสะดุด เพียงมองเห็นเสี้ยวหน้าหล่อเหลาของเขาก็อยากจะวิ่งหนีไปเสียเดี๋ยวนั้นด้วยอับอายที่ตนเองอัปลักษณ์เกินกว่าจะยืนอยู่ตรงหน้าเขาได้
เฉินลั่วเป็นคนสายตาเฉียบแหลม เห็นอาการของบุตรสาวก็รู้ว่าต้องตารูปโฉมคุณชายหยางผู้นี้เข้าแล้วสีหน้าถึงได้มืดครึ้ม อย่างไรก็เป็นบุตรสาวของตนเอง ชุบเลี้ยงมาตั้งแต่เด็กจนโต อีกทั้งตลอดมาเฉินลี่เซียนก็มักจะแสดงความกตัญญูต่อบิดาเช่นเขาเสมอ อย่างนี้แล้วจะตัดใจปล่อยให้แต่งออกไปอยู่ในจวนสกุลหยางได้อย่างไรเล่า