2. เกิดอันใดขึ้น
“เซียนเอ๋อร์ เซียนเอ๋อร์ ฟื้นเถอะนะลูก”
หลี่ชุนเหมยขมวดคิ้วแน่นด้วยความไม่ชอบใจ นางพลิกตัวไปอีกด้านหนึ่งหวังจะหลบเสียงน่ารำคาญเหล่านั้น คาดไม่ถึงว่าแม้จะพลิกตัวไปมาก็ยังได้ยินเสียงอยู่ข้างหู ซ้ำยังดังมากขึ้นเรื่อย ๆ หลี่ชุนเหมยสุดท้ายทนไม่ไหว นางกระชากผ้าห่มเนื้อลื่นออกจากตัว เบิกตาโพลงปากเปิดอ้าตั้งใจด่าเต็มที่ทว่าเสียงกลับไม่หลุดออกมาแม้แต่น้อย
นะ...นี่เกิดอะไรขึ้น
เหตุใดนางถึงพูดไม่ได้กัน?
คล้ายกับว่ากลุ่มคนตรงหน้าเริ่มสังเกตเห็นท่าทางแปลกประหลาดของหญิงสาวบนเตียงแล้ว ทางหนึ่งก็วิ่งวุ่นไปตามหมอ อีกทางหนึ่งก็กุลีกุจอรีบหยิบกาน้ำชาด้านข้างรินใส่จอกชาหยกชั้นดีประคองส่งให้ถึงปาก หลี่ชุนเหมยรับมาด้วยความงุนงง นางดื่มชาตามการประคองโดยไม่รู้ตัว กว่าจะได้สติ คนที่ล้อมอยู่ตรงหน้านางก็เริ่มร้องไห้อีกครั้งแล้ว
เรียวคิ้วขมวดมุ่น หลี่ชุนเหมยนึกอยากจะด่าจริง ๆ ท่านป้าผู้นี้สติดีหรือไม่ เหตุใดถึงได้มานั่งร่ำร้องอยู่ข้างเตียงนาง ประเดี๋ยวผ้าห่มพวกนี้ก็เปื้อนหมดเสียหรอก
“เซียนเอ๋อร์ เซียนเอ๋อร์ของแม่ เจ้าฟื้นแล้ว” อันที่จริงหญิงนางนั้นยังไม่ใช่ท่านป้าเสียทีเดียว แม้จะมีอายุอานามไม่น้อยแต่กลับดูแลตนเองมาตั้งแต่วัยสาว ทำให้เมื่อเข้าสู่วัยสามสิบกว่า นางก็ยังดูสง่างามไม่แตกต่างจากหญิงสาวที่เพิ่งแต่งงานสักนิดเดียว
หลี่ชุนเหมยยิ่งงุนงงเข้าไปใหญ่ เซียนเอ๋อร์อันใด นางชื่อหลี่ชุนเหมยต่างหาก ถึงจะเรียกอย่างเอื้อเอ็นดู ก็ควรจะเป็นเหมยเจี่ย หาใช่เซียนเอ๋อร์
ประเดี๋ยวก่อน...
หลี่ชุนเหมยที่กำลังนั่งพร่ำคำพูดในใจพลันรู้สึกว่ามีอันใดไม่ถูกต้อง เรื่องหนึ่ง นางตายไปนานแล้ว ปกติไม่มีทางที่มนุษย์จะเห็นวิญญาณนางเป็นอันขาด เรื่องที่สอง นางตายไปนานถึงเพียงนั้น เหตุใดยังมีผ้าห่มคลุมร่างอยู่อีก?
อารามตกใจทำเอาคนไร้สติ หลี่ชุนเหมยพลิกกายลงจากเตียง วิ่งตึงตังไปยังหน้าคันฉ่องทองเหลืองบานใหญ่มุมห้อง ไม่สนใจว่าตนเองจะทำให้คนด้านหลังตกใจมากมายเพียงใด หญิงสาวดวงตาเบิกกว้าง คิดเพียงว่าในเรือนแห่งนี้ ไม่มีใครตกใจไปมากกว่านางอีกแล้ว
ปิดเปลือกตาลง นางยังเป็นเพียงวิญญาณเร่ร่อนผู้หนึ่ง แต่เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง นางกลับเป็นหญิงสาวหน้าตางดงามไปได้เสียนี่!
หญิงวัยกลางคนนางนั้นรีบซอยเท้าตามมา สีหน้ากังวลเหลือแสนทั้งยังมีบุรุษสูงใหญ่อีกสองคนที่นางไม่รู้จักและไม่คุ้นหน้าคุ้นตา แต่เมื่อพิศมองเค้าลางที่ตกทอด หลี่ชุนเหมยมั่นใจอย่างมากว่าบุรุษผู้มีไหล่กว้าง ผิวสีน้ำตาลคล้ำแดดจะต้องเป็นบิดาของนางแน่นอน
ส่วนบุรุษรูปร่างสูงโปร่งผู้นั้น หากมิใช่พี่ชายก็ต้องเป็นน้องชายเป็นแน่แท้
“เซียนเอ๋อร์ เป็นอันใดไปลูก รู้สึกไม่ดีที่ตรงไหนหรือ”
ท่านป้าขยับเท้าเข้าใกล้ ฝ่ามือบอบบางนุ่มนิ่มแตะลงบนท่อนแขนเรียวบางทำเอาหลี่ชุนเหมยถึงขั้นหลุบสายตาลงมองตาม ครั้นเห็นแล้วก็อยากจะกู่ร้องให้ดังเสียดฟ้า เป็นคุณหนูเฉกเช่นเดียวกัน เหตุใดร่างคุณหนูนางนี้ถึงได้ผิวพรรณเนียนละเอียดเช่นนี้ เหตุไฉนมันถึงได้ผุดผ่องประหนึ่งเนื้อหยกชั้นเลิศ แตกต่างจากร่างเดิมของนางถึงปานนั้น!
ท่านป้าคนงามเห็นคนไม่ตอบก็ยิ่งร่ำไห้ ใบหน้าขาวซีดไร้สีเลือด แม้จะมีหยดน้ำตาร่วงรินไม่ขาดสายแต่ก็หาได้ทำลายความงามของนางไม่ กลับยิ่งเพิ่มพูนความบอบบางทั้งยังดูอ่อนแอมากขึ้นไปอีก หลี่ชุนเหมยยืนมองดุจคนโง่งม นางมั่นใจมากว่าตั้งแต่เกิดยันตายมาได้หลายปี นางไม่เคยพบเห็นผู้ใดที่งามล้ำเช่นนี้มาก่อน
“ท่านพี่ เซียนเอ๋อร์ เซียนเอ๋อร์นางเป็นอันใดไปแล้ว นางเสียใจมากเกินไปหรือไม่ ท่านรีบส่งคนไปตามท่านหมอเร็ว ๆ เถิด”
มาถึงตรงนี้ก็คล้ายกับว่าบุรุษรูปร่างสูงโปร่งด้านข้างจะทนไม่ไหวแล้ว เขาหมุนกายไปทางผู้ใหญ่ทั้งสอง เอ่ยด้วยสุ้มเสียงอ่อนโยนว่า
“ท่านพ่อพาท่านแม่ไปพักเถิดขอรับ แต่ไหนแต่ไรมาเซียนเอ๋อร์ก็ไม่ใช่สตรีที่มักจะเปิดเผยความในใจ นางอาจจะรู้สึกผิดมากจนไม่กล้าเปิดปากพูด อย่างไรให้ข้าคุยกับนางเถิดขอรับ”
ไม่นานภายในห้องนอนชั้นในก็เหลือเพียงหนึ่งสตรีและหนึ่งบุรุษ เสียงร้องไห้และเสียงปลอบโยนดังอยู่ภายในห้องด้านข้าง หลี่ชุนเหมยอ้ำอึ้ง ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดีทั้งไม่รู้ว่าควรจะบอกว่านางไม่ใช่เซียนเอ๋อร์อันใดนั่นดีหรือไม่ สีหน้าที่แสดงออกมาจึงดูแปลกพิกลไม่น้อย
บุรุษผู้นั้นยืนจนแน่ใจว่าทั้งบิดาและมารดาเดินออกไปไกลแล้วถึงได้หมุนกายกลับมา ดวงตาคู่คมมีประกายล้ำลึกที่หลี่ชุนเหมยมองไม่ออก แต่เพียงเขาปรายตามาที่นาง ก็ทำให้รู้สึกตัวสั่นขึ้นมาได้แล้ว หลี่ชุนเหมยสับเท้าถอยออกไปอย่างงุ่นง่านจิตใจ แม้นางจะเคยมีพี่ชาย แต่พี่ชายใหญ่ไม่เคยมองนางด้วยสายตาเช่นนี้มาก่อน อันที่จริง เขาไม่เคยมองนางสักครั้งหนึ่ง พอโดนคนจับจ้องเช่นนี้ หลี่ชุนเหมยก็ไม่รู้ว่าตนเองควรจะวางตัวเช่นไร
“เจ้าไม่มีอันใดจะพูดหน่อยหรือ”
หลี่ชุนเหมยดวงตาล่อกแล่ก ตอบอย่างระมัดระวังว่า “ข้าต้องพูดอันใด”
บุรุษผู้นั้นที่น่าจะเป็นพี่ชายของร่างใหม่ถอนหายใจเล็กน้อย “เซียนเอ๋อร์ เรื่องที่เจ้ากระโดดน้ำหวังปลิดชีพนั้น... แม้จะมีคนรู้ไม่มาก ถือว่าเป็นโชคดีของจวนเราอย่างหนึ่ง ถ้าหากมีคนรู้ว่าเจ้าจงใจปลิดชีพตนเองเพื่อหนีสมรสที่ฮ่องเต้พระราชทานให้ ต่อให้ท่านพ่อมีความดียิ่งใหญ่เพียงใด จวนสกุลเฉินแห่งนี้ก็คงมิวายต้องโทษตกตายไปตามเจ้าแล้ว”
หลี่ชุนเหมยอ้าปากค้าง นางตะลึงตะลานจนไม่อาจคิดสิ่งใดได้อีกต่อไป ร่างเดิมกระโดดน้ำแต่ไม่ตายก็แล้วไปเถิด เหตุใดยังต้องทิ้งเรื่องราวมากมายถึงเพียงนี้ไว้ให้นางด้วย! อันใดคือสมรสพระราชทาน ตอนที่นางเป็นคุณหนูจวนนายอำเภอ แม้แต่ขุนนางขั้นห้ายังไม่เคยพบหน้าด้วยซ้ำไป!
“ขะ...ข้า”
พี่ชายโบกมือปัด เขาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยกระนั้นก็ยังแฝงไปด้วยความรักใคร่สงสารอยู่หลายส่วน “เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ได้รับความกระทบกระเทือนจิตใจถึงเพียงนั้นก็อย่าได้ฝืนร่างกาย ไปนอนพักผ่อนเถิด ประเดี๋ยวพี่จะออกไปพูดกับท่านพ่อท่านแม่เอง”
ไม่รอให้น้องสาวตอบกลับ พี่ชายผู้แสนดีก็ก้าวเท้าออกไปก่อนแล้ว หลี่ชุนเหมยเดินอย่างเหม่อลอยกลับไปยังตั่งเตียงกว้าง นางนั่งลงช้า ๆ ฝ่ามือสัมผัสได้ถึงผ้าไหมลื่นนุ่มมือ เป็นผ้าไหมในแบบที่พี่หญิงใหญ่ชื่นชอบ ส่วนนางนั้นไม่เคยมีโอกาสได้แตะต้องอย่างแน่นอน แล้วเหตุใดชาตินี้นางถึงได้ครอบครองเล่า?
หรือจะเป็นเพราะคำหลวงจีนผู้นั้น?
หลี่ชุนเหมยยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องราว นั่งเหม่อลอยอยู่ไม่นานก็เห็นหญิงสาวนางหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ก่อนหมอบอยู่แทบเท้า ใบหน้ากลมกลึงมีหยาดน้ำตาเปรอะเปื้อนอยู่เต็มใบหน้า ทำเอาคนที่รังเกียจน้ำตาอย่างหลี่ชุนเหมยถึงกับถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย
เหตุใดจวนนี้ถึงได้มีน้ำตามากมายเพียงนี้กันหนอ
“คุณหนู อย่าได้ทำเช่นนั้นอีกนะเจ้าคะ บ่าวตกใจแทบแย่ ถ้าหาก...ถ้าหากคุณหนูเป็นอันใดขึ้นมาจริง ๆ บ่าวก็ไม่มีหน้าไปพบนายท่านกับฮูหยินแล้วเจ้าค่ะ!”
หลี่ชุนเหมยได้โอกาสก็รีบเอ่ยปากขัดเสียงคร่ำครวญขอความเห็นใจทันที “เอาล่ะๆ ข้าก็ไม่เป็นอันใดแล้ว จะร้องไห้ไปใย” นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งค่อยตัดสินใจหลอกถาม
“เกิดเรื่องอันใดขึ้น เล่ามาให้ข้าฟังทั้งหมด”