1.หลี่ชุนเหมย วิญญาณไร้วาสนา
หลี่ชุนเหมยล่องลอยอยู่ภายในวัดหมิงอันมาได้หลายปีแล้ว เป็นเวลาหลายปีที่นางรู้สึกว่าโลกใบนี้ช่างน่าเบื่อยิ่ง ประเดี๋ยวฮูหยินบ้านนี้มาขอบุตรชาย ประเดี๋ยวฮูหยินบ้านโน้นมาร่ำร้องวิงวอนขอให้สามีตนเองไร้อนุ ดวงตามีไว้มองนางแต่เพียงผู้เดียว
หลี่ชุนเหมยแต่ไหนแต่ไรก็เป็นบุตรสาวที่มารดาไม่รัก บิดาชังน้ำหน้า พอต้องมาฟังคนสวดภาวนาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันจึงรู้สึกคล้ายกับสมองจวนเจียนจะระเบิด ความโมโหสุมอยู่ในอกแต่ไร้ที่ระบาย นานวันเข้าก็ค่อย ๆ มอดดับไป เหลือเพียงความเวทนาอยู่ในอก
ฮูหยินพวกนี้ต้องการบุตรชายเพื่อให้ตนเองมีที่ยืนมั่นคงในจวนสามี ส่วนบุตรสาวเช่นพวกนาง วันหน้าอย่างไรก็ต้องแต่งออก โชคดีหน่อยก็อาจจะมีวาสนาสูงส่ง เป็นฮูหยินเอกหรือถึงขั้นเป็นพระชายา แต่วาสนาเหล่านั้นมักจะเป็นของคนงาม สตรีหน้าตาธรรมดาเช่นนางมีหรือจะมีโอกาสปีนสูงถึงเพียงนั้น
หลี่ชุนเหมยลอยอยู่นอกอารามใหญ่ ดวงตาเหม่อมองฮูหยินผู้หนึ่งกำลังโขกศีรษะอยู่ด้านใน สีหน้าของสตรีนางนั้นเต็มไปด้วยความเขินอายทว่ากลับมีกลิ่นอายบริสุทธิ์ฉาบเต็มส่วน
หลี่ชุนเหมยแค่นเสียง “เฮอะ อย่างเมิ่งลู่ซือน่ะหรือบริสุทธิ์ หากเป็นเช่นนั้นเกรงว่าแม้แต่นักโทษต้องโทษประหารก็คงจะบริสุทธิ์ไม่ต่างกัน”
หลี่ชุนเหมยก่อนลมหายใจดับดิ้น นางก็เคยเป็นสตรีผู้หนึ่ง เติบโตในเรือนหลัง มีสหายสนิทไม่มาก ยามที่เมืองเล็ก ๆ อย่างเมืองถังมีเทศกาลใหญ่โตก็มักจะแอบออกไปด้านนอกเสมอ นางไม่เหมือนพี่หญิงใหญ่หลี่ชุนอานที่เกิดจากท้องแม่ใหญ่ ไม่เหมือนพี่ชายใหญ่หลี่ชุนอ้าย ที่เป็นถึงขุนนางขั้นเจ็ด สร้างความภาคภูมิใจให้บิดาที่เป็นนายอำเภอเล็ก ๆ อยู่แถบชายแดนเมืองถัง
นางเป็นแค่ลูกอนุที่อี๋เหนียงเกลียดชังเนื่องด้วยไม่ใช่บุตรชาย เป็นน้องสาวที่พี่ชายไม่เห็นอยู่ในสายตา เป็นน้องคนเล็กที่พี่สาวจงใจกดหัวไม่ต่างจากบ่าวไพร่ผู้หนึ่ง เป็นบุตรีที่บิดาชิงชัง
หลี่ชุนเหมยขมวดคิ้ว ถึงนางจะบริภาษตนเองอยู่บ่อย ๆ ว่าไร้ความงามแต่แท้จริงแล้วนางก็ใช่ว่าจะดูไม่ได้ไปเสียทีเดียว เพียงแต่ความงามของนางนั้นไม่ใช่ความงามในแบบที่บุรุษชมชอบ เมื่อกวาดตามองผ่านกลุ่มคน หลี่ชุนเหมยจึงดูจืดจางไปโดยปริยาย
หลี่ชุนเหมยมีสหายสนิทอยู่คนหนึ่งชื่อว่าเมิ่งลู่ซือ ทั้งนางและสหายต่างมีหนึ่งอย่างที่เหมือนกัน คือเป็นเพียงลูกอนุ ชาตินี้ทั้งชาติไม่มีวันโงหัวจากตมที่ตนเองกำเนิดได้ แต่หลี่ชุนเหมยก็ไม่ได้สนใจอันใดมากนัก นางคิดไปว่ามีชีวิตเช่นนี้ก็ดีไม่น้อย แม้บิดาจะรังเกียจ มารดาไม่มองหน้าแต่อย่างน้อยนางก็ยังมีสหายที่เข้าอกเข้าใจกันดี ถึงขั้นมีคนรักกับเขาด้วยผู้หนึ่ง
ใช่แล้ว หลี่ชุนเหมยผู้นี้มีชายคนรัก
ชายชั่วที่หักหลังนาง ไปคบกับเมิ่งลู่ซือผู้แสนบอบบางคนนั้นอย่างไรเล่า
ฝ่ามือบอบบางกำเข้าหากันแน่น หลี่ชุนเหมยไม่แน่ใจนักว่าเพราะอารมณ์ในจิตใจตนเองหรือไม่ ตายมาหลายปี ความรู้สึกต่าง ๆ เฉกเช่นมนุษย์ของนางหายไปหมดแล้ว แต่วันนี้ไม่รู้เพราะเหตุใด นางถึงได้รู้สึกว่าขอบตาตนเองร้อนผ่าว ทั้งร่างกายยังสั่นเทิ้มด้วยแรงโกรธแค้นในใจ
วันที่นางได้รู้ความจริง วันที่นางเห็นสตรีชั่วและชายเลวกกกอดกันภายใต้โคมนับร้อยนับพันดวง เสียงทุ้มต่ำแว่วหวานสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะแต่งสตรีสกุลเมิ่งเป็นภรรยาเอก ทั้ง ๆ ที่เขาเองก็เคยให้คำมั่นกับนางเช่นกัน
หลี่ชุนเหมยในวัยสิบหกไม่ค่อยได้เจอโลกภายนอกมากนัก วันนั้นนางเสียใจจนเกือบจะปลิดชีพตนเองด้วยความอับอาย แต่หลังจากลังเลใจหลี่ชุนเหมยก็ปัดความคิดนั้นทิ้งด้วยไม่อาจจบชีวิตตนเองได้ ใครเลยจะรู้ว่าโชคชะตาจะเล่นตลกนัก คนอยากตายกลับไม่ให้ตาย คนตั้งใจมีชีวิตกลับผลักตกสู่ขุมนรก
มันเป็นวันที่ฝนตกหนักที่สุดในรอบสิบปี สองข้างทางแทบจะมองไม่เห็นสิ่งใด แม้จะยื่นมือออกไปสุดหล้าแต่กลับเห็นเพียงต้นแขนรำไร ถึงจะไม่อาจกล่าวได้ว่านางรู้จักทุกซอกทุกมุมของเมืองถังประหนึ่งหลังมือของตนเอง แต่อย่างน้อยเส้นทางสำคัญหลี่ชุนเหมยย่อมจำได้แน่
แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด วันนั้นขณะที่นางกำลังวิ่งฝ่าฝนกลับเรือน บนทางที่ไร้ผู้คน นางถึงได้รู้สึกราวท้องฟ้ากลับหัวกลับหาง แผ่นดินสั่นสะเทือนปานพื้นแยก หลี่ชุนเหมยคล้ายสัมผัสได้ถึงมวลน้ำมหาศาลโอบล้อมรอบกาย นางกระเสือกกระสนอย่างหนัก สุดท้ายก็ไม่พ้นเงื้อมมือความตายที่เพรียกหา
หลี่ชุนเหมยปิดเปลือกตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน เมื่อลืมตาอีกครั้ง นางก็มาอยู่ในวัดหมิงอันแห่งนี้แล้ว น่าแปลกนัก วิญญาณนางลอยล่องไปมานับหมื่นนับพันครั้งแต่กลับไม่มีนักพรตคนไหนสังเกตเห็น หลี่ชุนเหมยนับวันจนเลิกนับไปแล้ว อารมณ์นางบ้างพุ่งขึ้นสูงอย่างโกรธเกรี้ยว บ้างดำดิ่งด้วยความโศกศัลย์ ผ่านมานานหลายปี กระทั่งหลี่ชุนเหมยคิดว่าตนเองปล่อยวางได้อย่างสมบูรณ์ แต่เมื่อเห็นเมิ่งลู่ซืออยู่ภายในระยะสายตา นางก็เริ่มควบคุมตนเองไม่ได้อีกครั้ง
ถือดีอันใดพวกมันทั้งสองคนถึงได้มีความสุขอยู่เบื้องหลังนาง
ถือดีอันใดพวกมันถึงได้ทำกับนางประหนึ่งคนโง่ไร้สมอง
หลี่ชุนเหมยดวงตาแสบร้อน หยดน้ำจวนเจียนจะร่วงหล่นอยู่รอมร่อ
แล้วเป็นเพราะเหตุใด บิดามารดาถึงได้เกลียดชัง พี่น้องไม่มองหน้า บ่าวไพร่ยังกล้าเหยียบหัว แท้จริงแล้วนางไปล่วงเกินใครไว้ ถึงได้มีชีวิตอดสูเช่นนี้
“เจ้าคิดว่าไม่ยุติธรรมหรือ”
หลี่ชุนเหมยสะดุ้งสุดตัว นางหันไปด้านหลัง เห็นหลวงจีนผู้หนึ่งในชุดผ้าคลุมสีซีด มือประคองลูกประคำไม้กฤษณาไว้ ดวงตาทั้งสองข้างปิดลงแต่ไม่อาจปิดบังความรู้สึกเสียดแทงนั้นได้เลย
หลี่ชุนเหมยตะลึงตะลาน นางอยู่มาหลายปี เหตุไฉนถึงไม่เคยพบหลวงจีนผู้นี้เลย
หลี่ชุนเหมยหันซ้ายหันขวาด้วยความงุนงง ก่อนจะเอ่ยปากอย่างไม่แน่ใจนักว่า “ท่านพูดกับข้าหรือ”
หลวงจีนผู้นั้นเปิดเปลือกตาขึ้น ท่าทางสงบอย่างน่าประหลาด ไม่เหมือนคนที่กำลังยืนพูดกับวิญญาณแม้แต่น้อย “ใช่ ข้าพูดกับเจ้า”
น้ำเสียงหลวงจีนราบเรียบไร้อารมณ์ความรู้สึกแต่ยิ่งทำให้หลี่ชุนเหมยวางตัวไม่ถูกไปกันใหญ่ ดวงตานางเบิกกว้าง ในใจรู้สึกตื่นเต้นปะปนไปด้วยความหวาดกลัว นานแล้วที่นางมักจะพูดอยู่คนเดียวไร้คนตอบกลับ เมื่อมีคนให้พูดคุยด้วย จะยังควบคุมน้ำเสียงได้อย่างไร
“ข้าไม่รู้ว่าท่านหมายถึงอะไร”
ดวงตาฝ้าฟางเหลือบไปด้านในเล็กน้อย มือขยับลูกประคำจนได้ยินเสียงไม้กระทบดังก้องอยู่ในหู
“เจ้าเองก็รู้ดีว่าข้าพูดถึงเรื่องอันใด”
หลี่ชุนเหมยใบหน้าแดงก่ำ มิคาดคิดว่าจะมีคนล่วงรู้ความในใจของตน ถึงอย่างนั้นนางก็ยังไม่เอ่ยปากยอมรับ แต่ดวงตาที่ทอดมองมานั้นก็ราวกับจะมองทะลุไปถึงแก่นวิญญาณนาง
“ข้ารู้ดีแล้วอย่างไร รู้แล้วเปลี่ยนอันใดได้”
“แม่นางน้อย อย่าได้เสียใจไปเลย” หลวงจีนชรามุมปากยกขึ้นสูง ทำให้สีหน้าเขาดูมีเมตตามากกว่าเดิมไม่น้อยเลย
“นั่นไม่ใช่วาสนาของเจ้า”
หลี่ชุนเหมยเป็นเด็กสาวขี้สงสัย ได้ยินเช่นนั้นนางก็อดใจไม่อยู่ “แล้วอย่างไรถึงจะเป็นวาสนาของข้า แต่ท่านนักพรต ท่านดูเอาเถิด ข้ากลายเป็นวิญญาณไปแล้ว จะยังมีวาสนาอันใดได้อีก”
“แล้วผู้ใดบอกว่าวาสนาของเจ้ามาในตอนที่เป็นวิญญาณ”
หลี่ชุนเหมยงุนงงจนถึงขั้นขบคิดไม่ทัน นางกำลังจะอ้าปากถาม ก็เห็นหลวงจีนผู้นั้นโบกมือทั้งยังทำปากขมุบขมิบอ่านไม่ออก หลี่ชุนเหมยรู้สึกร่างกายหมุนวน คล้ายกับย้อนกลับไปในวันนั้น ความหวาดกลัวที่พุ่งพรวดเข้ามาทำให้นางขยับมืออย่างต้องการจะไขว่คว้าหาที่พึ่งพิง
สายตาวิงวอนถูกส่งไปยังบุคคลที่ยืนอยู่ตรงหน้า หลี่ชุนเหมยเบิกตากว้าง มองหลวงจีนหายลับไปจากสายตา ทิ้งไว้เพียงประโยคหนึ่งในหู
“นั่นไม่ใช่วาสนาเจ้า อีกทั้งบุตรชายก็ไม่ใช่วาสนาของนางเช่นกัน เช่นนี้ก็คงจะคลายความแค้นในใจได้แล้วกระมัง”
หลี่ชุนเหมยปิดเปลือกตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน เมิ่งลู่ซือไร้บุตรชายชั่วชีวิต? เช่นนั้นก็ดียิ่ง อยู่ในจวนที่แม่สามีดุร้ายปานนางเสือแต่กลับไร้บุตรชายให้พึ่งพิง เพียงแค่ปิดตามองก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายจะต้องไม่มีชีวิตที่ดีอย่างแน่นอน
หลี่ชุนเหมยยกยิ้มอย่างเป็นสุข ในช่วงเวลาสุดท้าย คล้ายกับว่าสิ่งที่กดทับในใจมานานหลายปีได้ผ่อนคลายลง