4
Chapter 4
“ไม่ใช่ไร่ของนิ่มหรอกจ้ะแพร ไร่ของคุณพ่อต่างหาก คุณพ่อยังไม่ได้ยกให้นิ่มสักหน่อย”
“นิ่มบอกว่าคุณพ่อมีนิ่มคนเดียวนี่ครับ ทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่ย่อมเป็นของนิ่มอยู่แล้ว”
ยศวินรับรู้เรื่องราวชีวิตครอบครัวของนิ่มอนงค์ดีเพราะเธอไม่เคยมีเรื่องปิดบังเขา เธอกับเขาได้เป็นแฟนกันเพราะเขาเคยช่วยชีวิตเธอจากพวกนักเลงอันธพาลที่ฉุดเธอเข้าข้างทางเพื่อจะทำร้ายตอนรถเสีย เขาเห็นนิ่มอนงค์ครั้งแรกก็นึกชอบจึงตามจีบเรื่อยมา จนหญิงสาวใจอ่อนยอมคบหาดูใจ พาเขาไปแนะนำให้น้าเขยและน้าสาวได้รู้จัก
“ไม่มีอะไรแน่นอนหรอกค่ะพี่ยศ” นิ่มอนงค์พูดเสียงเรียบไม่ได้บ่งบอกถึงอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น
“คุณหนู” ลำดวนและสาวใช้อีกหลายคนออกมายืนต้อนรับการกลับมาของนิ่มอนงค์ ทุกคนมองเธอด้วยสายตาที่แปลกไปจนหญิงสาวขมวดคิ้วงุนงง สายตาที่แปลกไปนั้นไม่ใช่เป็นไปในทางที่ไม่ดี แต่ออกจะเป็นไปในทางที่ดูเศร้าสร้อยทุกข์ใจเสียมากกว่า
“สวัสดีค่ะป้าลำดวน” นิ่มอนงค์ทักทายแม่บ้านเก่าแก่ของไพรวัลย์ นางเคยเลี้ยงเธอมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย จึงสนิทกันพอสมควรในตอนนั้น แต่ระยะเวลาหลายปีที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน ทำให้ดูห่างเหินไปมาก
“สวัสดีค่ะคุณๆ พ่อเลี้ยงรอคุณหนูอยู่นะคะ” ลำดวนกล่าวสวัสดีทุกคน รีบบอกนิ่มอนงค์ด้วยสีหน้าเป็นกังวล
นิ่มอนงค์อดจะมองหามารดาเลี้ยงและพี่ชายต่างสายเลือดของเธอไม่ได้ น่าแปลกที่คนทั้งสองไม่มาต้อนรับการกลับมาของเธอ แต่เธอไม่ใคร่จะใส่ใจนัก หญิงสาวยักไหล่ก่อนจะหันไปชวนยศวินแฟนหนุ่มและแพรพิลาศเพื่อนสาวเดินตามนงนภัสเข้าไปในตัวบ้าน
“พี่ยศกับแพรไปกราบคุณพ่อพร้อมกับนิ่มกับน้านงนะคะ” นิ่มอนงค์บอกคนทั้งสองหลังจากสาวใช้ยกกระเป๋าของพวกเขาไปเก็บเรียบร้อยแล้ว
ลำดวนเป็นคนพานงนภัส นิ่มอนงค์ ยศวินและแพรพิลาศไปยังห้องพักของภาณุ พอเปิดประตูเข้าไปเธอก็เห็นมารดาเลี้ยงกำลังติดกระดุมเสื้อให้บิดาอยู่ คงเพิ่งเช็ดตัวเสร็จเพราะเห็นกะละมังใบเล็กวางอยู่ใกล้ๆ
“หนูนิ่มมาแล้ว” ศิริวรรณเอ่ยทักด้วยความดีใจ หันไปมองคนป่วยบนเตียงที่เลื่อนใบหน้าอันซีดเซียวไปมองด้วยความดีใจเช่นกัน
นงนภัสค้อนให้ภรรยาของอดีตพี่เขย แต่ไม่ได้พูดอะไร อดใจหายไม่ได้เมื่อเห็นสภาพของภาณุ ครั้งสุดท้ายที่นางมาเยี่ยมนั้นนานหลายเดือนแล้ว ตอนนั้นปรีชาวัฒน์ผู้เป็นสามีมาด้วย แต่รอบนี้เขางานยุ่งจึงไม่ได้ตามเธอมาด้วยเหมือนเช่นทุกครั้ง
“คุณ... พ่อ” นิ่มอนงค์รู้สึกโหวงในอก ร่างกายแข็งค้างแทบก้าวขาไม่ออก รู้สึกหดหู่ใจยิ่งนักเมื่อเห็นสภาพของท่าน บิดาของเธอตัวผอมแห้งเหลือแต่กระดูก ใบหน้าซีดตอบอ่อนแรง นอนติดอยู่กับเตียง ดวงตาเลื่อนลอยนั้นหันมาหาเธอในคราแรกแห้งแล้งยิ่งนัก แต่เมื่อเห็นหน้าเธอกลับเป็นประกายมีความหวัง
“นิ่ม...ลูกพ่อ” ภาณุเรียกบุตรสาวเสียงแหบโหย เขาพยายามยกมืออ่อนแรงนั้นขึ้น
“คุณพ่อ ป่วยหนักขนาดนี้เลยเหรอคะ” นิ่มอนงค์เดินไปคุกเข่าข้างเตียงจับมือบิดาเอาไว้
“โรคคนแก่น่ะ” ภาณุพยายามปลอบใจบุตรสาวและปลอบใจตัวเองไปด้วย เขาเป็นมะเร็ง โรคร้ายที่เพิ่งตรวจพบในระยะสุดท้าย หลังจากพยายามรักษามาเรื่อยๆ แต่ไร้ผล แค่ประทังชีวิตให้อยู่รอดได้อีกไม่นานเท่านั้น
เขากำลังจะตาย...
“สวัสดีครับคุณพ่อ” ยศวินรีบเดินมาเคียงข้างแฟนสาวก่อนจะยกมือไหว้คนป่วยบนเตียง
“สวัสดีค่ะ” แพรพิลาศรีบไหว้ตามยศวินเช่นกัน เธอก้มหน้าอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว
ส่วนนงนภัสนั้นไหว้อดีตพี่เขยด้วยใบหน้าหดหู่ใจ แม้ไม่ใคร่จะชอบใจคนป่วยนัก แต่ยังเคารพเพราะถือว่าอีกฝ่ายเคยเป็นพี่เขย
“พี่ยศวินค่ะคุณพ่อ เป็นแฟนของหนูเอง นี่แพรพิลาศหลานของแม่บ้านที่ศักดาพงศ์ เธอมาพร้อมกับหนูแล้วก็น้านงค่ะ” นิ่มอนงค์แนะนำแฟนหนุ่มและเพื่อนสาว
ภาณุเงยหน้ามองนงนภัส เลยไปยังเด็กทั้งสอง แม้เขาจะแก่มากแล้ว แต่ไม่ได้เลอะเลือน ยศวินไม่เหมาะสมกับบุตรสาวของเขาโดยประการทั้งปวง
“พ่อขอคุยกับหนูเป็นการส่วนตัวได้ไหม”
“ได้ค่ะคุณพ่อ” นิ่มอนงค์หันไปมองน้าสาว แฟนหนุ่มและเพื่อนสาว
ทุกคนจึงเลี่ยงออกมาเงียบๆ พร้อมกับมารดาเลี้ยงที่เธอไม่ได้ปริปากพูดอะไรกับนางแม้แต่คำเดียว นางเองก็เหมือนจะรู้จึงไม่ได้พยายามพูดอะไรกับเธอเช่นกัน
“พ่อมีเรื่องจะขอลูก” ภาณุพยายามลุกขึ้นเพื่อจะได้นั่งคุยกับบุตรสาวได้ถนัด นิ่มอนงค์รีบประคองจัดท่าให้บิดานั่งพิงหมอน
“คุณพ่อมีอะไรคะ”
“พ่อจะไม่อ้อมค้อมให้มากความ พ่อป่วยหนักคงอยู่ได้อีกไม่นาน”
“คุณพ่อ ทำไมพูดแบบนั้นล่ะคะ” นิ่มอนงค์รู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก ตลอดระยะเวลา ถึงไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่สายสัมพันธ์ของความเป็นพ่อลูกก็ไม่เคยขาด เธอยังคงห่วงใยท่านเหมือนเดิม
“พ่อรู้ตัวเองดี ตอนนี้พ่อเป็นห่วงหนู หนูเป็นลูกสาวคนเดียวของพ่อ ที่พ่อรักมากที่สุด” ภาณุเสียงสั่น แม้นิ่มอนงค์จะเกิดจากความผิดพลาด แต่เขาก็รักบุตรสาวคนนี้ที่สุด
“หนูไม่แน่ใจหรอกค่ะว่าหนูเป็นที่สุดจริงๆ คุณพ่อยังมีคุณศิริวรรณและลูกชายของเธออยู่อีก จำไม่ได้แล้วเหรอคะ” อดไม่ได้ที่จะพูด
นั่นทำให้ภาณุต้องถอนใจหนักหน่วง
“ความรักของพ่อที่มีต่อลูก มันไม่เหมือนความรักที่พ่อมีให้แก่ภรรยาหรือคนอื่นๆ หรอกนะ”
“คุณพ่อจะบอกอะไรหนูก็บอกมาได้เลยค่ะ” เธอตัดบทไม่อยากชวนบิดาทะเลาะเรื่องไร้สาระ เพราะอย่างไรท่านก็กำลังป่วย หากทำให้เครียดไป ดูจะเป็นลูกอกตัญญูนักในเวลาเช่นนี้
“พ่อยากให้หนูแต่งงานกับพี่พฤกษ์โดยเร็วที่สุด”
“คุณพ่อ” นิ่มอนงค์ผุดลุกขึ้นอย่างตกใจ ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินประโยคนี้จากปากของบิดา
“พ่อขอร้อง พี่เขาเป็นคนดีนะลูก หนูแต่งงานกับเขา หนูจะสบายไปตลอดชีวิต พี่พฤกษ์จะดูแลหนูอย่างดี พ่อรับรอง”
“คุณพ่อป่วยจนเลอะเลือนเหรอคะ หนูมีคนรักอยู่แล้วนะคะคุณพ่อก็เห็น หนูไม่มีวันแต่งงานกับลูกกาฝากของคุณพ่อแน่นอน อ้อ...หรือว่าเมียใหม่พ่อขอเอาไว้ก่อนตายเพราะอยากได้สมบัติ” นิ่มอนงค์มองบิดาอย่างผิดหวัง ส่ายหน้าไปมาเพราะคาดไม่ถึง
“อย่าก้าวร้าวน้าวรรณสิลูก นี่เป็นความต้องการของพ่อเอง ไม่เกี่ยวกับใคร”
“แล้วทำไมหนูต้องแต่งงานกับเขาด้วยล่ะคะ” เธอไม่เข้าใจและไม่เห็นความจำเป็นที่ต้องแต่งงานกับพฤกษ์
“ถ้าลูกไม่แต่งงานกับพี่เขา พ่อจะยกทรัพย์สมบัติทั้งหมดให้เขา หนูจะไม่ได้อะไรเลยสักสตางค์แดงเดียวจากที่นี่” ไม่ได้เป็นน้ำเสียงเฉียบขาดเลยสักนิด แต่เป็นเสียงแหบโหยของคนป่วยหนัก
นิ่มอนงค์กลับรู้สึกว่ามันเสียดแทงจิตใจยิ่งนัก เหมือนบิดาจะรักลูกเลี้ยงมากกว่าลูกตัว
“คุณพ่อ! ที่เรียกหนูกลับมานี่ จะพูดเรื่องแค่นี้ใช่ไหมคะ หนูไม่แต่งหรอกค่ะ ยังไงหนูก็รักพี่ยศคนเดียว อีกอย่างน้านงก็มีทรัพย์สมบัติมากมาย คุณพ่อไม่ให้ หนูก็ไม่เอาค่ะ ยังไงก็ไม่อดตาย เมื่อก่อนหนูอยู่กับคุณตาคุณยาย คุณน้ายังอยู่ได้ ตอนนี้ก็อยู่ได้” เธอเชิดหน้าคอแข็ง
“นิ่มทำไมพูดกับพ่อแบบนี้ล่ะลูก” ภาณุรู้สึกเสียใจที่ได้ยินบุตรสาวคนเดียวพูดแบบนี้ แต่เป็นเพราะเขา เขารู้ดีว่าบีบบังคับนิ่มอนงค์จนถึงที่สุด โดยยกเอาทรัพย์สมบัติของตระกูลมาเอ่ยอ้าง
“นิ่มขอโทษค่ะ ไม่ได้ตั้งใจ” เมื่อเห็นอาการของบิดา นิ่มอนงค์รู้สึกใจหาย เธอเอ่ยขอโทษเสียงแผ่ว นั่งลงข้างเตียง ใกล้ๆ กับบิดาอีกรอบ
“พ่อขอเป็นครั้งสุดท้ายก่อนตาย นิ่มทำให้พ่อได้ไหมลูก” ภาณุเสียงแผ่วลง เมื่อเห็นบุตรสาวไม่ยอมอ่อนลง นิ่มอนงค์แค่สำนึกที่ขึ้นเสียงใส่ แต่ไม่ได้ยอมรับข้อเสนอของตนแน่นอน ภาณุรู้ดีเต็มอก ถึงอย่างไรเขายังมีความหวัง คิดอยู่ตลอดเวลาว่าบุตรสาวอาจจะยอมใจอ่อนในวันหนึ่งก่อนเขาสิ้นใจ
“คุณพ่ออย่าเอาเรื่องเจ็บไข้ได้ป่วยมาบีบบังคับหนู สองแม่ลูกนั่นมีอะไรดีคุณพ่อถึงเลือกพวกเขาแล้วมาทำกับหนูแบบนี้ นี่ไม่คิดจะยกทรัพย์สมบัติอะไรให้หนูเลยใช่ไหม คิดจะยกให้พวกเขา ดีที่น้านงพาหนูไปเลี้ยงที่กรุงเทพฯ ถ้าหนูยังอยู่ไพรวัลย์คงช้ำใจตาย”