ตอนที่ 3 ขวากหนามความรัก
ภาพบุตรสาวกำลังเดินกอดแขนและเอาศีรษะซบไหล่ผู้ชายที่นางรงรองเห็นเพียงข้างหลัง โดยไม่สนใจสายตาของผู้คน ทำให้นางลมแทบจับ
“ยายมิ้น!” นางรงรองก้าวฉับๆ ตรงไปหาคู่หนุ่มสาวที่กำลังเดินคลอเคลียกันอย่างมีความสุข แล้วกระชากต้นแขนกลมกลึงของบุตรสาวจากด้านหลังสุดแรง
“คุณแม่!” มินรญาอุทานเสียงหลง ใบหน้าสวยที่ถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางเพียงบางๆ ซีดเผือด เนื้อตัวเย็นวาบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
“กลับบ้านเดี๋ยวนี้” นางรงรองตะคอกบอกพลางกระชากบุตรสาวเข้าหาตัว และเมื่อยิ่งเห็นหน้าตาผู้ชายที่ลูกสาวคลอเคลียแบบชัดๆ แล้วนางก็ลมแทบจับรอบสอง ก่อนจะหันไปมองลูกสาว “เรามีเรื่องต้องคุยกันยาว กล้ามากที่ออกมาพบผู้ชายนอกบ้าน” นางบอกเสียงลอดไรฟัน
“ผมผิดเองที่ขอร้องให้มิ้นออกมาพบ” คูเปอร์พยายามจะปกป้องแฟนสาว แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือสายตาพิฆาตที่เหมือนจะฆ่าเขาให้ตายเดี๋ยวนั้น
นางรงรองมองชายหนุ่มลูกครึ่งหน้าตาดีแต่ไม่มีคุณสมบัติพอที่จะคู่ควรกับบุตรสาวของตนตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าแล้วทำเสียงฮึในลำคอพร้อมกับยิ้มเหยียด
“ใช่แกผิด ผิดตั้งแต่ที่คิดจะเป็นแฟนกับลูกสาวฉัน ช่างไม่เจียมกะลาหัวเอาเสียเลย”
“แต่เราสองคนรักกันนะครับ” คูเปอร์บอกขณะเดินตามแฟนสาวที่ถูกมารดาเดินลากออกจากห้าง
“ใช่ค่ะ เราสองคนรักกัน รักมานานแล้วด้วยค่ะ” มินรญารีบเอ่ยเสริมแฟนหนุ่มหวังให้มารดาเห็นใจ แต่ไม่เลย ผลมันกลับตรงกันข้าม เพราะทันทีที่ได้ยินคำสารภาพอกมาอย่างนั้น นางรงรองถึงกับกัดฟันกรอด บีบต้นแขนเล็กของบุตรสาวจนเจ้าตัวถึงกับร้องเตือน นางรงรองสูดลมหายใจเข้าออกลึกๆ อย่างพยายามสกัดกั้นอารมณ์ไม่ให้ระเบิดออกมา
“กลับบ้าน!” นางกระชากบุตรสาว โดยไม่คิดจะพูดอะไรต่อ
“เดี๋ยวสิครับคุณนาย...”
“อย่ามายุ่งกับลูกสาวฉัน เพราะมองแวบเดียวก็รู้ว่าลูกแม่ค้าจนๆ อย่างแกคบกับยายมิ้นเพราะอะไร ถ้าไม่ใช่เพราะ...เงิน!”
“คุณแม่!” มินรญาเรียกมารดาเสียงดังพร้อมกับมองหน้าท่านอย่างผิดหวัง ก่อนหันไปมองแฟนหนุ่มที่กัดฟันยืนกำมือแน่นอย่างขอลุขอโทษ “เราสองคนรักกันจากใจนะคะ”
“แกรักมันจากใจ แล้วมันล่ะรักแกจากใจหรือเปล่า ถ้าลองแกไม่ใช่ลูกสาวเจ้าของตลาดอย่างฉันมีหรือมันจะชายตาแล”
“ผมรักมิ้นจากใจจริงๆ นะครับ” คูเปอร์สะกดความโกรธที่โดนดูถูกเอาไว้ แล้วบอกถึงความจริงใจที่มีต่อมินรญาผ่านคำพูดที่หนักแน่นให้นางรงรองได้รู้
“ฉันจะเชื่อ...”
คำพูดนี้ทำให้หนุ่มสาวยิ้มออก พร้อมกับหันมามองหน้ากันอย่างมีความหวัง ทว่าแค่เสี้ยวนาทีความหวังเล็กๆ นั้นก็ถูกทำลายลงอย่างไม่เหลือชิ้นดี “แต่ก็ต่อเมื่อแกมีทุกอย่างเพียบพร้อมเทียบเท่าหรือไม่ก็เหนือกว่าลูกสาวฉัน จำเอาไว้!” พูดจบนางรงรองก็ลากบุตรสาวตรงไปที่รถ พร้อมกับชี้หน้าปรามไม่ให้ชายหนุ่มตามไป
“ทำไม...คำพูดของคนจนมันเชื่อไม่ได้อย่างนั้นเหรอ” คูเปอร์ครางถามตัวเองอย่างเจ็บปวดและเจ็บใจ
ความเงียบเป็นอะไรที่น่ากลัวกว่าอะไรทั้งหมด มันเหมือนคลื่นใต้น้ำที่เป็นสัญญาณบอกเหตุว่าจะเกิดพายุลูกใหญ่ และพายุลูกนั้นก็คือพายุอารมณ์ของมารดาที่มินรญาก็ไม่อาจจะคาดเดาได้ว่ามันจะรุนแรงปานใด
มินรญาที่โดนลากเข้าบ้านถูกเหวี่ยงอย่างแรงจนล้มไปที่โซฟาส่งเสียงครวญคราง “โอ๊ย! หนูเจ็บนะคะแม่”
“เจ็บเหรอ นี่ยังน้อยไปด้วยซ้ำ กับการกระทำเลวๆ ของแก ไปเดินอี๋อ๋อกอดผู้ชายกลางห้าง แกทำไปได้ยังไงยายมิ้น...ใครสั่งใครสอนให้แกทำเรื่องน่าอายแบบนั้น” นางรงรองทั้งด่าทั้งขว้างหมอนอิงที่วางอยู่บนโซฟาใส่บุตรสาวอย่างโมโห
มินรญาที่ทั้งยกแขนและยกขาขึ้นมาป้องกันหมอนที่ปลิวมากระทบเข้าที่ตัว ลดเท้าลงนั่งยืดตัวตรง ช้อนสายตามองมารดาที่ยืนเหนื่อยหอบเล็กน้อยแล้วก้มหน้าใช้ความเงียบเป็นคำตอบ
“ฉันไม่รู้หรอกนะว่าแกจะคบกับไอ้ลูกแม่ค้าขายผักนั้นมากี่ปีดีดัก แต่ฉันขอสั่งให้แกเลิกคบกับมันซะ!”
“คุณแม่!” มินรญาเรียกมารดาเสียงหลงไม่คิดว่ามารดาจะตัดสินใจแบบนี้ทั้งที่ยังไม่ได้พูดคุยหรือสอบถามเรื่องราวของเธอกับแฟนหนุ่มเลยสักนิด
“ไม่...มิ้นไม่เลิก” เธอให้คำตอบมารดาเสียงหนักแน่น
“แต่ฉันสั่ง”
“แม่ไม่มีเหตุผลเลย ทำไมมิ้นจะคบกับพี่คู้ปไม่ได้” มินรญาที่ก่อนหน้าพยายามนิ่งเงียบลุกขึ้นมาโวยวาย เมื่อเห็นว่ามารดาไม่ได้ให้ความยุติธรรมกับเธอเลย
“เพราะมันเป็นลูกแม่ค้าขายผักจนๆ ไง ลำพังจะเลี้ยงปากมันกับแม่ยังลำบาก แล้วมันจะเอาอะไรมาเลี้ยงแก”
“พี่คู้ปเขาขยันจะตาย เขาไม่ปล่อยให้มิ้นอดหรอกค่ะ และเชื่อเถอะค่ะว่าไม่นานพี่เขาก็ตั้งตัวได้” มินรญาพูดโน้มน้าวพลางเดินมาทรุดตัวลงนั่งข้างๆ มารดา
“ตั้งตัวได้กี่ปีกี่ชาติล่ะ” นางรงรองถามบุตรสาวเสียงเยาะ
“พี่คู้ปเพิ่งจะเรียนจบ ให้โอกาสพี่เขาหน่อยนะคะแม่” หญิงสาวอ้อนวอนมารดา
“ฮึ เรียนก็เพิ่งจบ งานจะหาได้เมื่อไหร่ก็ยังไม่รู้ ไร้ซึ่งอนาคต” นางรงรองบอกเสียงสะบัด เบ้ปากอย่างไม่คิดว่าแฟนหนุ่มของบุตรสาวจะมีอนาคตที่ดีกว่าคนที่นางมองไว้ให้
“โธ่แม่”
“จริงไหมล่ะ งานจะหาได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ และถ้าหาได้เงินเดือนมันจะเท่าไหร่กันเชียว ที่นี้แกลองมาเปรียบเทียบกับเสี่ยนิติสิ เขามีพร้อมทุกอย่างไม่ต้องเสียเวลาไปตั้งตัว” นางรงรองพูดถึงผู้ชายอีกคนอย่างชื่นชม
“พี่คู้ปเพิ่งจะยี่สิบหก แล้วเสี่ยนิติของแม่อายุปาเข้าไปเท่าไหร่แล้วคะ”
“จะยี่สิบหกหรือสิบหกเสี่ยนิติเขาก็มีเงินมีทองมีอันจะกินกว่าไอ้ลูกแม่ค้าขายผักอยู่แล้ว” นางรงรองพูดและฉีกยิ้มอย่างรู้สึกเป็นต่อ ก่อนจะรอยยิ้มนั้นจะหุบฉับ หันมามองบุตรสาวอย่างสงสัย “เอะ! ว่าแต่ลูกชายแม่จินมันอายุยี่สิบหกแล้วเหรอนึกว่าอายุเท่าแก เห็นว่าเพิ่งเรียนจบ เรียนช้าเหรอ เกเรละสิ” นางรงรองเดาเสียงเยาะพลางเบ้ปาก
“เปล่าคะ พี่คู้ปเรียนช้าเพราะทางครอบครัวมีปัญหาเรื่องเงิน เลยต้องช่วยแม่ทำงานหาเงินค่ะ” มินรญารีบแก้ต่างให้แฟนหนุ่ม และหวังเป็นย่างยิ่งว่ามารดาจะมองเห็นความขยันและกตัญญูของชายหนุ่ม
“แล้วไง แกจะให้แม่สงสารแล้วยอมรับเรื่องแกกับมันเหรอ ไม่มีทาง”
“ขอแค่โอกาสให้พี่คู้ปได้พิสูจน์บ้างเท่านั้นเอง”
“เสียเวลาเปล่า คนจนยังไงมันก็จนอยู่วันยังค่ำ มีงานหาเงินได้แล้วไง มันก็แค่มนุษย์เงินเดือน ไหนเลยจะสู้คนที่มีกิจการ มีธุรกิจเป็นของตัวเอง ฟังแม่” นางรงรองลดน้ำเสียงที่เกรี้ยวกราดลง “ไม่มีใครที่เหมาะสมกับลูกของแม่เท่าเสี่ยนิติอีกแล้ว”
“แม่...” มินรญามองมารดาด้วยสายตาผิดหวัง “เสี่ยนิตินี่รุ่นราวคราวพ่อของมิ้นเลยนะคะ”
“แปลกอะไร สมัยนี้ผู้หญิงผู้ชายอายุห่างกันยี่สิบสามสิบปีธรรมดาจะตาย แกก็เห็นว่าเสี่ยนิติยังดูหนุ่มฟ้อหล่อเฟี้ยวอยู่เลย ดูเด็กกว่าอายุตั้งเยอะ”
“ปัญหามันไม่ได้อยู่ตรงนั้นนะคะ มันอยู่ที่มิ้นไม่ได้รักเสี่ยนิติ มิ้นรักพี่คู้ปคนเดียว” มินรญาเน้นคำพูดท้ายประโยคช้าๆ ชัดๆ
“แต่ฉันไม่อนุญาตให้แกรักผู้ชายหน้าไหนทั้งนั้น ยกเว้นเสี่ยนิติจำเอาไว้ เลิกติดต่อกับไอ้ผู้ชายคนนั้นซะ” นางรงรองสั่งเสียงเด็ดขาด
“ไม่ค่ะ ถ้าแม่นิยมชมชอบเสี่ยนิติขนาดนั้นทำไมแม่ไม่เก็บไว้เองไปเลยละคะ มิ้นยกให้” พูดจบมินรญาก็ลุกขึ้นกึ่งเดินกึ่งวิ่งขึ้นห้อง
“ยายมิ้น! ยายลูกไม่รักดี แกพูดอย่างนี้ได้ยังไงกลับมาคุยกันให้รู้เรื่องเดี๋ยวนี้นะ” นางรงรองลุกขึ้นตะโกนตามหลังบุตรสาว ก่อนจะถอนหายใจทิ้งตัวลงนั่ง เมื่อได้ยินเสียงประตูห้องของบุตรสาวถูกปิดลงอย่างแรง นางเบนสายตาขึ้นมองเล็กน้อยพร้อมกับเม้มริมฝีปาก ดวงตาที่ดูเหนื่อยอ่อนกับบุตรสาวก่อนหน้าวาวโรจน์ขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อนึกวิธีที่จะแยกบุตรสาวให้ออกจากแฟนหนุ่มขึ้นมาได้
บอกเลยงานนี้นางขอทุ่มสุดตัว...จัดหนัก...จัดเต็ม
นางจินตนาที่ถือของสดของแห้งพะรุงพะรังหยุดยืนหน้าตึกเช่า เมื่อหางตาแลเห็นว่ามีคนเดินตาม และเมื่อหันไปมองก็เห็นร่างสูงของบุตรชายเดินไหล่ลู่คอตกกลับมา
“คู้ป...”
เสียงเรียกทำให้ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมามองเล็กน้อย และเมื่อเห็นว่าคนคนนั้นเป็นใครไหล่ที่ลู่คอที่ตกก็ยืดขึ้น ใบหน้าที่ตึงเครียดก็มีรอยยิ้มมาประดับแทบจะทันที
“ครับแม่” ชายหนุ่มขานรับพลางเดินเข้าไปช่วยมารดาถือของ แล้วเดินนำท่านเข้าไปที่ห้องพัก
“ไหนว่านัดกับเพื่อนและจะกลับดึกไง” นางจินตนาถามพลางเอียงศีรษะมองบุตรชายที่ดูเหมือนจะเครียดๆ
คูเปอร์ที่ก้มหน้าหลบสายตามารดาอึกอักเล็กน้อยก่อนจะตอบพร้อมกับเอาของในมือไปจัดเก็บ “เอ่อ...พอดีเพื่อนมันมีธุระด่วนนะครับ เลยยกเลิกนัด”
“เพื่อนที่ว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายนะ ทำไมแค่ยกเลิกนัดเราถึงดูเครียดจังเลย” นางจินตนาถามเสียงติดตลกกระเซ้าบุตรชาย
คูเปอร์เงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะเปิดตู้เย็นยัดผักคะน้าเก็บเอาไว้แล้วปิด หมุนตัวมามองมารดาสลับกับมองพื้นอย่างคนกำลังชั่งใจ
“แม่ครับ คำพูดของคนจนนี้มันเชื่อถือไม่ได้เลยใช่ไหมครับ” เขาเลือกที่จะไม่ตอบคำถามของมารดา แต่ถามไปเรื่องอื่นที่ตัวเองยังข้องใจอยู่
“จะจนหรือรวยมันก็มีเชื่อถือได้และไม่ได้เหมือนกันนั่นแหละ มันก็แล้วแต่คน ว่าแต่เราถามทำไม” นางจินตนาที่ตอนนี้เปิดทีวีดูหันมาถามบุตรชายอย่างสงสัย
“แล้วอย่างผมนี้น่าเชื่อถือไหมครับ”
ได้ยินอย่างนั้นนางจินตนาก็หัวเราะน้อยๆ วางรีโมทในมือลงแล้วเรียกบุตรชายเข้ามาหา “ลูกของแม่เชื่อถือได้กว่าใครทั้งหมด”
“แล้วถ้าผมบอกว่าสักวันผมจะสร้างตัวได้ไม่น้อยหน้าใคร แม่จะเชื่อไหมครับ”
“คู้ปเป็นคนดีและขยัน แม่เชื่อว่าวันนั้นจะมาถึงแน่นอน” นางบอกอย่างเชื่อมั่นในตัวบุตรชาย ใช่จะเป็นเพียงแค่คำปลอบโยน
“เมื่อไหร่ล่ะครับ”
“เมื่อถึงเวลา ทุกอย่างมันก็มีช่วงมีจังหวะของมัน อย่าทะเยอทะยานและรีบเร่งจนสามารถเหยียบหัวคนอื่นให้จมดินเพื่อให้ตัวเองไปถึงจุดหมาย นั่นไม่ใช่เรื่องที่ดี ถามอย่างนี้มีอะไรหรือเปล่าลูก”
“เปล่าหรอกครับ แค่รู้สึกว่าคนรวยบางคนก็เห็นคนหาเช้ากินค่ำอย่างเราต้อยต่ำเสียเหลือเกิน” คูเปอร์ตัดพ้อ
“อย่าไปใส่ใจนักเลย คนเราไม่แน่ไม่นอนหรอก จนแล้วรวย รวยแล้วจน มีให้เห็นถมไป”
“ครับ ผมจะจำเอาไว้”
“นั่นแกจะไปไหน”
เสียงตะคอกถามทำให้มินรญาที่พยายามเดินอย่างเบาเท้าแต่ไวต้องสะดุ้งสุดตัว ก่อนจะหันมามองมารดาพร้อมกับถอนหายใจ
“ไปข้างนอกค่ะ”
“แม่ไม่อนุญาต”
“แม่ขังมิ้นให้อยู่แต่ในบ้านเป็นอาทิตย์แล้วนะคะ” หญิงสาวบอกมารดาอย่างหงุดหงิด
“จะออกก็ได้ แต่ต้องให้แม่หรือไม่ก็เสี่ยนิติไปด้วย”
มันเป็นเงื่อนไขที่บ้าที่สุด มารดาทำเหมือนเธอเป็นนักโทษ “แม่...” เธอครางอย่างขอความเห็นใจ
“ไม่มีข้อต่อรอง”
“งั้นมิ้นขอโทรศัพท์คืน” หญิงสาวแบมือขอ นางรงรองปรายตามองแล้วยิ้มเหยียดก่อนจะส่ายหน้า “นี่ก็ไม่ได้”
“ตกลงนี่มิ้นเป็นลูกแม่หรือนักโทษกันแน่คะ โน้นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้” หญิงสาวเริ่มออกอาการโวยวายเสียงดังอย่างลืมตัว เมื่อโดนกดดัน
“จนกว่าแกจะหมั้นกับเสี่ยนิติ”
“หมั้น!!!” มินรญาอุทานเสียงหลง ใจหล่นไปอยู่ตาตุ่ม เธอส่ายหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“ใช่ อีกหนึ่งอาทิตย์ เตรียมตัวไว้ให้ดีละ...”
“เดี๋ยวสิคะ” มินรญาวิ่งไปดักหน้ามารดา “แม่จะมัดมือชกอย่างนี้ไม่ได้นะคะ”
“ฉันเป็นแม่แก” นางรงรองย้ำสถานะให้คนเป็นลูกได้สำนึก
“แต่หนูไม่ได้รักเสี่ยนิติ...แม่ก็รู้” หญิงสาวค้านคนเป็นแม่เสียงอ่อนติดจะอ้อนเล็กๆ หวังอาจจะได้รับความเห็นใจ แต่เปล่าเลย
“เพราะรู้ไง ฉันถึงต้องรีบจัดการดึงแกขึ้นมาจากขุมนรกนั่นก่อนไอ้ปลิงดูดเลือดมันจะสูบแกไปจนหมดตัว”
“แม่ทำอย่างนี้ไม่ได้นะคะ...”
“กลับเข้าบ้านไป ถ้าฉันไม่อนุญาตแกห้ามออกจากบ้านเด็ดขาด” นางรงรองสั่งเสียงเฉียบขาด ไม่เท่านั้นยังหันไปกำชับเด็กรับในบ้านให้คอยเป็นหูเป็นตาให้อีกแรง
มินรญาหมุนตัวเดินกลับมาทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟาพลางเม้มปาก ดวงตากลมโตกลอกไปมาอย่างใช้ความคิด
เธอไม่ยอม...ไม่ยอม...ไม่ยอมเด็ดขาด คูเปอร์จะต้องรู้เรื่องนี้ แล้วจะทำยังไงล่ะ ในเมื่อตอนนี้ติดต่อชายหนุ่มไม่ได้เลย เธอถูกตัดขาดจากโลกภายนอกแบบเด็ดขาด
“คุณมิ้นจะไปไหนคะ” เสียงคนรับใช้ทัก เมื่อเห็นมินรญาลุกขึ้นพลางกระชับกระเป๋า
หญิงสาวถอนหายใจก่อนจะตอบกลับเสียงเหนื่อยหน่าย “ขึ้นห้อง จะตามไปด้วยไหม”
อีกฝ่ายส่ายหน้าหวือ ก้มศีรษะให้เล็กน้อยแล้วเดินเลี่ยงออกไป มินรญามองตามแผ่นหลังนั้นไปก่อนจะหันกลับมาอีกด้าน เมื่อรู้สึกถึงการจับจ้อง...
“ไม่มีอะไรทำกันหรือไงคะ” เพียงเท่านั้นลุงคนขับรถก็รีบหลบ “จะบ้าตาย” มินรญาบ่นพึมพำอย่างหัวเสีย ขืนบุ่มบ่ามดันทุรังออกจากบ้านไปตอนนี้ยังไงก็ไม่รอดโดนจับได้แน่
แต่ยังไงวันนี้หรืออย่างช้าก็พรุ่งนี้เธอต้องหาทางติดต่อคูเปอร์ให้ได้
กลางดึกที่เงียบสงัดทุกคนในบ้านหลับใหลทว่ามีเพียงหนึ่งที่รอโอกาสนี้มาทั้งวัน มินรญาค่อยๆ ย่องลงบันไดพลางกวาดสายตาไปทั่วบริเวณตลอดอย่างกลัวว่าใครจะตื่นมาเจอ หญิงสาวมองซ้ายมองขวาก่อนจะกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกจากบ้านด้วยใจที่เต้นโครมคราม เกิดมายังไม่เคยหนีออกจากบ้านยามวิกาลเช่นนี้ แต่ทำอย่างไรได้ ในเมื่อมันคือวิธีเดียวที่จะทำให้เธอได้เจอคนรัก
มันน่ากลัวกว่าที่คิด มินรญากลื่นน้ำลายลงคอแล้วกลั้นใจวิ่งฝ่าความมืดตรงไปหาตู้โทรศัพท์สาธารณะที่อยู่หน้าปากซอย ใช้เวลาหลายสิบนาทีร่างบางก็มายืนเหนื่อยหอบเกาะตู้โทรศัพท์
ทั้งเหนื่อยทั้งกลัวแต่สุดท้ายเธอก็มาถึงที่หมายอย่างปลอดภัย แต่ก็ยังวางใจไม่ได้ ถึงแม้ถนนเส้นนี้จะมีรถวิ่งอยู่ทั้งคืนแต่ผู้หญิงตัวคนเดียวมายืนอยู่แบบนี้มันก็ยังอันตรายอยู่ดี คิดได้ดังนั้นมินรญาก็รีบเข้าตู้โทรศัพท์ยกหูแล้วล้วงเศษเหรียญที่เตรียมเอาไว้ในกระเป๋ากางเกงมาหยอดต่อสายหาคนรัก
“พี่คู้ป” ทันทีที่อีกฝ่ายรับสายมินรญาก็เรียกชื่อคนรักอย่างดีใจ ซึ่งไม่ต่างกับคูเปอร์ที่ถึงกับลุกขึ้นจากที่นอน “มิ้น”
“ค่ะ มิ้นเอง”
“มิ้น เป็นยังไงบ้าง หลังจากวันนั้นพี่ติดต่อมิ้นไม่ได้เลย ไปหาที่บ้านก็โดนไล่...” ชายหนุ่มไม่ได้พูดต่อหรอกว่านอกจากไล่แล้วยังโดนขู่ ลำพังตัวเขาเองไม่กลัวหรอกแต่ที่เป็นห่วงคือคนเป็นแม่ต่างหาก เพราะทุกวันนี้เหมือนครอบครัวของเขายังต้องพึ่งคุณนายรงรองทั้งที่อยู่และที่ทำมาค้าขาย แม้ไม่ได้อยู่ฟรีๆ ก็เถอะ “แต่ช่างมันเถอะมิ้นไม่โดนคุณนายลงโทษอะไรรุนแรงใช่ไหม” เขาถามอย่างเป็นห่วง
“ไม่หรอกค่ะแค่โดนกักตัวให้อยู่แต่ในบ้านและยึดมือถือกับคอม ไม่ให้ติดต่อกับพี่คู้ปนั่นแหละค่ะ” หญิงสาวบอกอย่างเซ็งๆ
“อ้าว แล้วตอนนี้โทร.มาได้ไง”
“มิ้นแอบหนีออกมา พี่คู้ปมาหามิ้นหน่อยสิคะที่หน้าปากซอยบ้านมิ้น”
“นี่อย่าบอกว่าตอนนี้มิ้นอยู่หน้าปากซอยนะ” คูเปอร์ถามเสียงดังตกใจหนักกว่าเดิม
“ค่ะ” แต่คนตอบกลับตอบอย่างไม่ทุกข์ร้อน
“ยายเด็กบ้า!”
เสียงตะโกนด่ามาตามสายทำให้มินรญาถึงกับต้องยกหูโทรศัพท์ออกห่างพลางย่นคอ
“รู้ไหมมันอันตราย รอพี่อยู่ตรงนั้นน่ะอย่าไปไหน แต่ถ้าเจอคนไม่น่าไว้ใจรีบไปที่มีคนเยอะๆ นะเข้าใจไหม”
“ค่ะ” หญิงสาวรับคำเสียงอ่อยอย่างรู้สึกผิด
“น่าตีจริงๆ เลย”
แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยิ้มได้กับคำบ่นที่แฝงไปด้วยความห่วงใย มินรญาเกี่ยวหูโทรศัพท์กลับที่เดิมแล้วเดินออกมายืนรอแฟนหนุ่มด้านนอกด้วยหัวใจอิ่มเอิบ แล้วอย่างนี้จะให้เธอไปหมั้นกับคนอื่นได้อย่างไร...หัวใจเธอได้ขาดรอน
ด้วยความเป็นห่วงใช้เวลาไม่กี่นาทีคูเปอร์ก็มาถึงหน้าปากซอยบ้านคนรัก ชายหนุ่มกระโดดลงจากวินมอเตอร์ไซค์ล้วงเงินจ่ายค่าโดยสารแล้วรีบสอดส่ายสายตาหาคนรัก แล้วเขาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นหญิงสาวยืนพิงตู้โทรศัพท์รออยู่
“พี่คู้ป” ร่างบางวิ่งถลาเข้าไปกอดร่างสูงของคนรักอย่างดีใจ “คิดถึงจังเลย”
“อย่าบอกนะว่าหนีออกจากบ้านมาเพราะคิดถึงพี่น่ะ” ถามพลางดันร่างบางออกเล็กน้อย
หญิงสาวพยักหน้าพลางอมยิ้ม “แต่มันดึกแล้วพี่ว่ามิ้นรีบกลับบ้านก่อนเถอะ ถ้าเกิดคุณนายจับได้มีหวังโดนกักบริเวณยาวแน่”
“มิ้นไม่กลับ”
“อย่างอแงสิครับ เดี๋ยวพี่จะหาวิธีทำให้คุณนายยอมรับให้ได้” พูดไปอย่างนั้น แม้ตอนนี้จะยังมองไม่เห็นทางเลย เพราะทางเดียวที่คุณนายรงรองจะยอมรับเขาคือต้องรวย แล้วความรวยมันได้มาง่ายๆ ที่ไหนล่ะ ทำงานทั้งชีวิตไม่รู้จะมีเงินได้ครึ่งหนึ่งของเสี่ยนิติ ผู้ชายที่คุณนายรงรองหมายตาจะเอาเป็นลูกเขยหรือเปล่าก็ไม่รู้
“กว่าพี่คู้ปจะหาวิธีได้มิ้นคงถูกใส่พานถวายให้เสี่ยนิติไปแล้วละคะ”
“มันยังพอมีเวลามั้ง”
“อาทิตย์หน้าแม่จะให้มิ้นหมั้นกับเสี่ยนิติ”
“มิ้นล้อพี่เล่นใช่ไหม” ชายหนุ่มถามกลั้วหัวเราะ แต่เป็นหัวเราะที่แสนจะฝืด แม้จะฝืนยิ้มรอคำตอบแต่ตอนนี้หัวใจเขาถูกบีบคั้นเสียเหลือเกิน
“ถ้ามันเป็นเรื่องล้อเล่นก็ดีสิคะ” พูดจบมิรญาก็โผล่เข้ากอดคนรักแน่น “ มิ้นรักพี่ อย่าไล่มิ้นกลับนะคะ มิ้นไม่อยากเป็นของคนอื่น” หญิงสาวบอกเสียงสะอื้น คูเปอร์ที่ตอนนี้ก็ยังมืดแปดด้านได้แต่กอดกระชับร่างบางเอาไว้อย่างแสนรัก เขาเองก็คงทนไม่ได้เหมือนกันที่จะให้คนรักตกไปเป็นของชายอื่น
“เราลองไปขอร้องคุณนายอีกครั้งดูดีไหม เผื่อท่านจะเห็นใจ”
มินรญาส่ายหน้า ดันตัวเองออกจากอ้อมกอดของแฟนหนุ่ม “แม่ไม่มีทางยอมรับพี่หรอก ตราบใดที่พี่ยังด้อยกว่าเสี่ยนิติ เราหนีไปอยู่ด้วยกันดีไหม ยังไงเราก็เรียนจบกันแล้ว อยู่ด้วยกันช่วยกันทำงานเก็บเงิน สักสองสามปีเราค่อยกลับมา ถึงตอนนั้นคงไม่มีใครขัดขว้างพวกเราหรอกจริงไหมคะ” มินรญาวางแผนเป็นตุเป็นตะ เงยหน้ามองคนรักด้วยดวงตาเป็นประกายที่เต็มไปด้วยความหวัง
แต่คูเปอร์กลับคิดหนัก เขาไม่อยากให้มินรญาลำบาก แต่ก็ไม่อยากเสียเธอไป ทว่าตอนนี้กลับคิดอะไรไม่ออกเลย
“เอาไว้ค่อยคิดดีกว่า วันนี้ดึกแล้วเราจะนอนที่ไหนกันดี บ้านพี่คงไม่ได้ แม่ยังไม่นอนเห็นคงได้ไล่ให้พี่ไปส่งมิ้นกลับบ้าน”
“ที่ไหนก็ได้ขอแค่มีพี่ มิ้นไปหมดแหละคะ”
คูเปอร์ยิ้มพลางยกมือขึ้นโยกศีรษะได้รูปของแฟนสาวที่ช่างเจรจาเอาใจ สุดท้ายชายหนุ่มก็ตัดสินใจเรียกแท๊กซี่ไปโรงแรมคุ้นเคยที่เขาและมินรญามักใช่เป็นที่พลอดรักกัน