EP 2
อุดมส่งเสียงนุ่มเนิบตามแบบฉบับ ซึ่งเขารู้ว่านั่นคือสไตล์ของพ่อที่มักจะทำเสมอมา และเป็นบ่อเกิดปัญหานั่นนี่ต้องตามแก้ไม่เคยจบ แต่กับเขาจะไม่อย่างนั้น นิ้วไหนไม่ดี เขาจะตัดทิ้งแบบไม่แยแสสักนิด และทุกคนในบริษัทรู้ดี เพราะสโลแกนของบริษัทคือ ‘จริงใจให้บริการ’
“ทุกคนว่าไงครับ” ดรณ์ละสายตาจากแฟ้ม เงยหน้ามองทุกคนรอบโต๊ะ
“ผมว่าอย่างท่านที่ปรึกษาบอกก็น่าจะเข็ดแล้วนะครับ” ผู้จัดการฝ่ายการตลาดเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ท่าทีนอบน้อม
“ผมว่าพักงานแล้วเอามาอบรมใหม่ ส่วนหักเงินเดือนอย่าเลยครับ เด็กมันมีลูกเล็กๆ เมียก็ไม่ได้ทำงาน มันจะเอาอะไรกิน”
นั่นพลอยทำให้คนหลายคนหันไปคุยกัน และต่างมีข้อสรุปที่ไม่ตรงกันบ้าง
“แล้วคุณดรณ์จะเอายังไงครับ” ลุงของเขามักจะให้เกียรติเสมอเวลาอยู่ในที่ทำงาน
“ขอบคุณทุกคนนะครับที่เสนอแนะหลายๆ ทางออก แต่ผมมีเพียงมาตรการเดียว สำหรับคนที่ไม่ทำตามกฎ นั่นคือไล่ออก ฝ่ายเอชอาร์ช่วยร่างจดหมายขอโทษลูกค้าออกสื่อมาให้ผมดูหลังจากประชุมเสร็จ ฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ช่วยไปขอโทษลูกค้าด้วยตัวเอง เอาไอ้เจ้านั่นไปขอโทษด้วย อย่าลืมถ่ายคลิปลงโซเชียลด้วย เอากระเช้าดอกไม้กับอะไรก็ได้ไปด้วย ยื่นข้อเสนอให้ใช้บริการของบริษัทเราฟรีหนึ่งปี และจัดอบรมพนักงานทุกสาขาอย่างเข้มงวด เน้นย้ำถึงสโลแกนของบริษัทเราคือ ‘จริงใจในบริการ’ บ่อยๆ จนเข้าใจดีกับคำว่าจริงใจ นั่นหมายถึงย่อมไม่ทำอะไรที่จะทำให้ลูกค้าเกิดความเสียหายทั้งเรื่องสินค้า จิตใจหรือชื่อเสียง และผมจะย้ำอีกทีว่า...”
ทุกคนในห้องต่างอึ้งไปตามๆ กัน กับคำตัดสินที่ไม่สนใจจะฟังใครของเจ้านายใหญ่ ด้วยลึกๆ แล้วทุกคนต่างรู้ดีว่าผลลัพธ์จะออกมาแนวๆ นี้ แต่ก็ยังแอบคิดว่าเผื่อเจ้านายใจดี ยอมหยวนให้บ้างอยู่
“ผมขอย้ำอีกครั้งนะครับ ถ้าใครรักจะทำงานกับผม หรือกับดีดีกรุป ให้รู้ไว้ว่าผมเกลียดความไม่จริงใจ เกลียดการโกหก เกลียดการหลอกลวง เกลียดการเอาเปรียบ เกลียดการแทงข้างหลัง เกลียดความไม่โปร่งใส ถ้าเราไม่มีคุณสมบัติพวกนี้ ก็ยากที่จะโต ยากที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง เฉพาะฉะนั้น ผมจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาทำให้ชื่อเสียงของดีดีกรุปต้องมัวหมองเป็นอันขาดและถ้ามี ผมก็จะไม่เอาไว้แน่ๆ และไม่มีข้อยกเว้นด้วย อย่างรายนี้ ถ้าตัวเองอยู่ในภาวะไม่มั่นคงในหน้าที่การงานและการเงิน ก็ต้องระมัดระวังตัว คิดอะไรให้รอบคอบและไม่ทำผิดกฎ ชัดเจนนะครับ เชิญเรื่องต่อไปได้...”
บรรยากาศในห้องถึงกับเงียบสงัดราวกับไม่มีผู้คนอยู่ในนั้น เครื่องปรับอากาศที่เย็นนิดๆ บัดนี้กลายเป็นเย็นเฉียบขึ้นมาทันควัน เล่นเอาแต่ละคนหนาวไปถึงกระดูกเลยทีเดียว สมกับที่ต่างตั้งชื่อว่า ‘ห้องเย็น’ โดยแท้
“ไอ้ดรณ์! เอ๊ย! คิดอะไรอยู่วะ มึงฟังกูอยู่หรือเปล่าวะ!”
คนนั่งเหม่อถึงกับสะดุ้ง เมื่อมีมือเพื่อนมาเขย่าแขนแรงๆ จนต้องหันไปหา แล้วด่าออกไปทันควัน
“ได้ยิน! มึงจะเรียกอะไรนักหนาวะ”
“อ้าวไอ้ห่า! แล้วมึงจะเสียงดังทำไมวะ กูก็แค่เรียกเพราะเห็นมึงนั่งเหม่ออยู่เป็นนานสองนาน อย่าบอกนะว่าข่าวนี้ทำมึงช็อกจนพูดไม่ออก” วรวัชรบุ้ยหน้าไปหาแฟ้มในมือเพื่อน
“ถ้าเป็นมึงล่ะ จะหัวเราะออกเหรอ กูถามหน่อยซิ”
เขากระแทกเสียงกลับด้วยความโกรธ แม้จะพยายามควบคุมตัวเองเอาไว้แต่ก็ไม่ค่อยมิด
“เอ่อๆๆ กูเข้าใจ เป็นกูก็คงไม่ต่างจากมึง หรืออาจจะหนักกว่าก็ได้ แล้วนี่จะเอายังไง เดินหน้าหรือว่าถอยหลัง แต่ต้องรีบนะ”
ดรณ์มองแฟ้มในมืออีกรอบ ยิ่งดูซ้ำ อารมณ์ขุ่นเคืองหรือจะเรียกว่าโกรธแค้นก็ยิ่งมีมากขึ้นตามไปด้วย ในที่สุดเขาก็ลุกพรวดพราดขึ้น
“เอ๊ย! ไอ้ห่า! กูตกใจหมด แล้วมึงจะไปไหนวะ” วรวัชรถึงกับผงะ
“ก็จะไปจัดการกับคนที่บังอาจมาเล่นของสูงอย่างกูให้จบๆ ไง หรือเป็นมึงจะปล่อยไว้”
เขาแค่นเสียงอย่างคนโกรธจัด
“ไม่รู้เหมือนกัน ยังไงก็อย่าแผลงฤทธิ์เยอะนักนะมึง คุยกับเขาดีๆ”
“อย่าเสือกมาสอน ถ้ามึงไม่ได้เจอเรื่องแย่ๆแบบเดียวกับกู”
วรวัชรได้แต่มองตามแผ่นหลังเพื่อน ที่กำลังเดินออกจากห้องทำงานไป ในใจนั้นก็อดสงสัยไม่ได้ว่า เพื่อนจะใช้วิธีไหนจัดการกับอีกฝ่าย จากนั้นก็ถอนหายใจแล้วเดินตามหลังไปห่างๆ
อาภาภัทร ดิษยากรกุล ชไนเดอร์ ยืนมองประตูห้องชุดสุดหรูของโรงแรมระดับห้าดาว ที่กำลังปิดเข้าด้วยความโล่งใจเมื่อแขกไม่ได้รับเชิญออกไปสักที ใบหน้าสวยที่เพิ่งผ่านการให้ช่างลองแต่งหน้ากับทำผมแบบต่างๆ เมื่อไม่นานนี้ยิ้มอย่างคนถือชัยชนะไว้ในมือ หลังจากผ่านการเชือดเฉือนกับคนที่เหมือนจงใจมาหาเรื่องถึงห้อง
เดินไปหน้ากระจกเงา จ้องมองตัวเองด้วยความภาคภูมิใจในทุกๆ การกระทำที่ผ่านมา เมื่อมันส่งผลให้พบเจอคนดีๆ คนสมบูรณ์แบบในวันนี้ แม้จะมีชุดนอนผ้าซาตินมันเงาสีงาช้างกับเสื้อคลุมเข้าชุดกันหุ้มกายไว้แค่นั้น และใบหน้าที่ไร้เครื่องแต่งแต้มก็ยังดูดีไปอีกแบบ
คนที่เพิ่งมีโอกาสได้อยู่ในห้องเพียงลำพังนับตั้งแต่เช้ามานี้ หมุนกายไปหาชุดสีขาวสะอาดตา หางชุดยาวถึงห้าเมตร และจะต้องใช้เด็กชายหญิงช่วยจับตอนเดินควงคู่เจ้าบ่าวเข้าไปในงานถึงสิบสองคน อีกชุดเป็นทรงหางปลา มีส่วนเว้าโค้ง ส่งให้เห็นรูปร่างอันสมบูรณ์แบบของตัวเอง ซึ่งจะใช้เป็นชุดยืนต้อนรับแขกหน้างาน
อันที่จริงก็อยากจะมีชุดสีขาวแชมเปญสั้นระดับเข่าอีกสักชุด เอาไว้เป็นอาฟเตอร์ปาร์ตี้ด้วยเช่นกัน ติดตรงที่ตัวเองมีเพื่อนน้อยเหลือเกิน โดยเฉพาะเพื่อนสนิทนั้นเรียกว่าไม่มีสักคน หรือถ้ามีก็เพื่อนเรียนที่สวิตเซอร์แลนด์เท่านั้น
ส่วนในเมืองไทย ความที่ต้องย้ายโรงเรียนบ่อยๆ ทำให้ไม่สนิทกับใครสักเท่าไหร่ อีกทั้งฤกษ์ส่งตัวคือสี่ทุ่มสิบแปดนาที เลยจำจะต้องกลับไปเรือนหอให้ทันตามเวลาอย่างเคร่งครัด