บทที่ 2
ระหว่างทางกลับสู่เมืองหลวง ข้าได้ปราบและรวบรวมทัพประชาลุกกู้ที่ถูกบีบจนต้องลุกฮือก่อการ ยังลงมือกวาดล้างเหล่าโจรผู้รังควานราษฎรไปหลายกอง
ครั้นถึงนครหลวง ฤดูใบไม้ร่วงก็ย่างกรายเข้ามาแล้ว
ข้าถือธูปเทียนและกระดาษเงินกระดาษทอง มุ่งหน้าไปเซ่นไหว้เหล่าสหายร่วมรบในอดีต ผู้ที่ล้มตายเคียงข้างข้าในสนามรบ
ข้าถูกชาวบ้านที่มาสวดขอพร ณ ตำหนักเหยียนหลิงจำได้ในทันที
ก่อนหน้านี้รูปสลักของข้าเคยตั้งตระหง่านอยู่กลางตำหนักเหยียนหลิง
ภาพวาดของข้าก็แพร่หลายไปทั่วทั้งแผ่นดิน
กระทั่งมีผู้คนไม่น้อยนำภาพของข้าไปติดไว้ในเรือน หวังเพียงจะได้รับการคุ้มครองจากข้า
ในยามนั้นเอง ได้มีผู้คนกลุ่มหนึ่งพยายามจะย้ายรูปสลักของข้าที่ถูกทำลายจนไม่เหลือเค้าเดิมออกจากตำหนักเหยียนหลิง
พอเหล่าผู้คนเห็นข้า ทุกคนต่างตะลึงจนทรุดตัวคุกเข่าลงกับพื้นทันที
“เสด็จเทียนโฮ่วเสด็จมาปรากฏแล้ว!”
“ก็ว่าอยู่ว่าห้ามรื้อรูปสลัก! นี่ไง…เสด็จเทียนโฮ่วกริ้วแล้ว!”
“เร็วเข้า รีบไปกราบทูลฝ่าบาท เร็ว!”
เซี่ยหลิวจืงเสด็จมาถึงอย่างรวดเร็ว
และมาพร้อมกับนางขับเพลงผู้นั้น—หลินยวน
เมื่อสายตาของเซี่ยหลิวจืงปะทะกับข้าเป็นครั้งแรก พระองค์ก็ชะงักค้าง ราวกับสติถูกดึงไปไกล ไม่อาจหวนกลับมาได้ในทันที
หลินยวนเหลือบมองข้าเพียงครู่ ก่อนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหวาด ๆ ว่า
“ฝ่าบาท…นางผู้นี้…นางเป็นใครเพคะ?”
หลินยวนต้องเรียกพระองค์อยู่หลายครั้ง เซี่ยหลิวจืงจึงได้สติกลับมา
พระองค์ก้าวเข้าหาข้า มือสั่นระริกด้วยความตื่นตระหนกและปลื้มปิติจนห้ามไม่อยู่
“เทียนเกอ…เป็นเจ้าจริง ๆ หรือ?”
ข้าถอยหลังไปครึ่งก้าวอย่างเงียบงัน หลบเลี่ยงพระหัตถ์ที่เอื้อมมาหา
“ข้าน้อยมู่เทียนเกอ ขอเข้าเฝ้าฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ!”
เซี่ยหลิวจืงมองข้าด้วยแววตาเจ็บปวด เอ่ยถามเสียงแผ่วว่า
“เทียนเกอ เมื่อก่อนเจ้ามักเรียกข้าว่า อาจืง เสมอ”
ข้าตอบด้วยท่วงทำนองเรียบสงบ
“อดีตก็เป็นเรื่องของอดีต บัดนี้ฝ่าบาททรงเป็นจอมราชันเหนือใต้หล้า ข้าน้อยไหนเลยจะอาจล่วงเกินได้!”
หลินยวนก้าวขึ้นมาหนึ่งก้าว คล้องแขนเซี่ยหลิวจืงไว้แน่น ราวกับำกำลังเตือนข้าการมีที่อยู่ของนาง
“อาจืง…นางผู้นี้เป็นแม่ทัพมู่จริงหรือเพคะ?มิใช่ว่า…แม่ทัพมู่สิ้นชีพไปเมื่อสามปีก่อนแล้วหรือ?”
ข้าจงใจถามกลับ ทั้งรู้คำตอบดีอยู่แล้ว
“แล้วสตรีผู้นี้…เป็น พระสนมพระองค์ใดของฝ่าบาทหรือ?”
สีหน้าของเซี่ยหลิวจืงเปลี่ยนไปทันที เขารีบดึงแขนออกจากอ้อมแขนหลินยวนแทบจะในเสี้ยววินาที
“เทียนเกอ…เจ้ากลับมาแล้ว ข้าดีใจยิ่งนัก!”
“มาเถิด ตามข้ากลับวัง!”
พระองค์ยื่นมือมาจะจับข้าอีกครั้ง
แต่ข้ายังคงหลบเลี่ยงเป็นครั้งที่สอง
หลินยวนหลั่งน้ำตาออกมาในพริบตา เงยหน้ามองเซี่ยหลิวจืงอย่างเต็มไปด้วยความน้อยใจและความเจ็บปวด
“ฝ่าบาท…พวกเขาบอกว่าหม่อมฉันเป็นเพียงเงาแทนแม่ทัพมู่ เป็นความจริง…ใช่หรือไม่เพคะ?”
“บัดนี้นางกลับมาแล้ว ฝ่าบาทก็ไม่ต้องการหม่อมฉันอีกต่อไปแล้ว…ใช่ไหมเพคะ?”
หยาดน้ำตาสองหยดนั้นงดงามราวภาพวาด
ราวกับแม้แต่ “จังหวะที่ไหลลงมา” ก็ถูกออกแบบไว้อย่างประณีตพอดิบพอดี
เสียงสะอื้นสองครั้งที่ตามมา ยิ่งทำให้ผู้ชมแทบทุกคนรู้สึกสะท้อนใจจนอยากเข้าไปปลอบ
เซี่ยหลิวจืงเจ็บร้อนอยู่ในใจเป็นแน่ เพียงเพราะข้าอยู่ต่อหน้า มือที่เอื้อมจะคว้านางไว้จึงต้องชักกลับอย่างลังเล
หลินยวนเห็นดังนั้น ก็เหมือนถูกแทงใจเข้าเต็มแรง
นางเช็ดน้ำตาแรง ๆ จนดวงตาแดงเรื่อ
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้…หม่อมฉันไปเองก็ได้เพคะ”
เอ่ยจบ นางก็หมุนตัวแล้ววิ่งจากไปทันที.
เซี่ยหลิวจืงก้าวตามนางไปเพียงไม่กี่ก้าวด้วยสัญชาตญาณ แต่ก็ฝืนหยุดตัวเองไว้กลางทาง
พระองค์หันกลับมามองข้า สีหน้าเต็มไปด้วยความลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด
“เทียนเกอ…เจ้ารอข้าก่อนจะได้หรือไม่?”
“ยวนเอ๋อร์ นางไร้ที่พึ่งในเมืองหลวง เช่นนี้วิ่งเตลิดไป ต้องเกิดอันตรายแน่”
ข้าพยักหน้าอย่างสงบ
“ฝ่าบาทเชิญเถิด ข้ามาเพียงเพื่อเซ่นไหว้สหายเก่าเท่านั้น”
“เมื่อไหว้เสร็จ ข้าก็จะกลับเขาเทียนซานทันที”
สีหน้าของเซี่ยหลิวจืงเปลี่ยนไปทันใด เขาถามด้วยความกังวลว่า
“เจ้า…เจ้าจะรีบกลับเขาเทียนซานไปทำไมหรือ?”
ข้าตอบอย่างไม่ใส่ใจ
“บัดนี้แผ่นดินร่มเย็นสงบสุข ข้าย่อมต้องกลับสำนักเพื่อฝึกตนต่อ”
พระองค์นิ่งไปชั่วครู่ ท้ายที่สุดจึงเอ่ยขึ้นเบา ๆ ว่า
“เทียนเกอ…สามปีที่เจ้าไม่อยู่ แผ่นดินนี้เกิดเรื่องมากมายยิ่ง”
“สำนักเขาเทียนซาน…”
