5.ส่งน้ำแกงคารวะแม่ผัว
เกือบสามวันแล้วจิ่งหลัวคุนไม่ได้กลับเข้าจวนแม่ทัพ เขาออกไปนอกเมือง ตั้งใจตรวจสอบเรื่องจัดเตรียมเสบียงและเรือสำหรับใช้ลาดตระเวนทางน้ำ รวมถึงเสื้อเกราะแบบใหม่เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาเรื่องสนิม
แต่ก่อนออกจากจวนจิ่ง เขาพบเรื่องปวดหัวจากน้องชายคนเล็ก ฝ่ายนั้นพยายามเหลือเกินที่จะให้เขาไปชมการแสดงละครที่หอลำนำรัก ซึ่งจิ่งป๋อได้ทุนจากมารดาเปิดกิจการใหญ่โต แต่เกือบสองปีแล้วที่ขาดทุนเรื่อยมา
“พี่ใหญ่ ข้าขอร้องท่านให้ช่วยพิจารณาเรื่องนี้ด้วยเถิด กำหนดการคือเดือนหน้า อย่างไรท่านต้องเป็นคนเปิดป้ายละครเรื่องใหม่ของข้า อีกอย่างตอนนี้มีเรื่องที่ชวนให้ข้ากลุ้มใจ ขุนนางจากวังหลวงที่มาใหม่ พวกของซือหม่าหู่ (หู่ฮาวเทียน) วางอำนาจเหลือเกิน อ้างว่าจะเก็บอากรเพิ่ม แต่พี่ตรองดูให้ดีเถิด หอของข้าไม่คิดหากำไรสักนิด ทั้งหมดก็เพื่อช่วยให้คณะละครกับนักแสดงข้างถนน มีสถานที่เล่นปาหี่อย่างถูกกฎหมาย ไม่ต้องไปตั้งแผงตามท้องถนนให้เกะเกะ อีกอย่างพวกขอทานเด็กก็มีงานทำด้วย”
“เฮ้อ แต่ที่ข้าเห็น เจ้ารักแต่จะเล่นสนุก ยามนี้มีจวนแม่ทัพใดในแคว้นเฉิงโจวบ้างที่ปล่อยให้บุรุษอกสามศอกร้องรำทำเพลงทั้งวัน และยังแต่งตัว วาดสีหน้าราวกับนายโลม!”
จิ่งป๋อหน้างอง้ำ เขานับว่าเป็นชายงามผู้หนึ่ง และอาจล่มเมืองกว่าสตรีในแคว้นนี้เสียด้วย “ทั้งหมดที่ข้าทำไป เพราะส่งเสริมพี่ใหญ่ คิดดู ตั้งแต่มีข่าวสมรสพระราชทาน ทั่วทั้งเมืองหลวงผู้คนซุบซิบกันว่า พี่ใหญ่กำลังจะเกาะชายกระโปรงของพี่สะใภ้ร้อยเล่ห์ แล้วสกุลเนี่ยก็เขี้ยวลากดินเหลือเกิน ปล่อยลูกสาวมาแต่งเข้าจวนจิ่งก็จริง แต่ไฉนจะไม่นำพาไส้ศึกเข้ามาสืบเรื่องต่าง ๆ ในจวนของเรา เช่นนี้ข้าผู้รักพี่ใหญ่ จำต้องทำชื่อเสียงของตนให้ฉ่าวโฉ่ เพื่อกลบข่าวเสียหายของท่านทั้งหมด”
จิ่งหลัวคุนเลิกคิ้วทั้งสองข้าง เรื่องนี้เขาไม่ใช่ไก่อ่อน เหตุใดจะมองไม่ออกถึงวัตถุประสงค์ของจิ้งจอกเฒ่าเนี่ยข่าย ที่ยินยอมให้ลูกสาวคนเดียวแต่งเข้าสกุลจิ่ง นั่นคงเป็นเพราะหาเหตุผลค้าขายกับกองทัพ และหลบเลี่ยงการถูกเพ่งเล็งจากขุนนางอื่น ที่จ้องหาผลประโยชน์จากพวกพ่อค้า ดังนั้นตำแหน่งแม่ทัพของเขาจึงเป็นเกราะป้องกันที่ดี
“เรื่องของอาซู อย่าได้ใส่ใจให้มาก ปล่อยนางไว้ที่เรือน พอเบื่อคงหาเรื่องกลับสกุลของตนไปเอง”
“เอ พี่ใหญ่ ท่านกับนางเป็นสามีภรรยากัน กล่าวเช่นนั้นถูกต้องหรือ” จิ่งป๋อถามและมองใบหน้าพี่ชาย ด้วยมีริ้วรอยถูกทำร้ายอย่างเห็นได้ชัด ทั้งจมูก คิ้วข้างหนึ่งเป็นแผล มีรอยแดงบริเวณลำคอหลายแห่งเห็นได้ชัดว่าเป็นรอยถูกข่วนด้วยเล็บ จิ่งป๋อคาดเดาได้ว่าเขาคงโดนสตรีแซ่เนี่ยเล่นงานอย่างหนัก นางจิ้งจอกเก้าหางนั่นร้ายเหลือแสน
“มิได้ เมื่อคืนคนทั้งจวนได้ยินเสียงนางร้องโหยหวนราวกับแม่หมูถูกเชือด และเอาเถิด พอพบหน้าพี่ใหญ่ก็ฟ้องว่าไม่ได้มีความสุขสักนิด แล้วจะให้น้องชายเช่นข้าที่รักและเทิดทูนพี่ใหญ่นิ่งนอนใจได้หรือ”
“ฮึ...ถึงข้าจะเมาหนัก แต่หูไม่ได้ตึง เมื่อคืนหมาแมวที่ไหนมันร้องทั้งคืนที่เรือนไป๋เหลียนฮวา ไม่ใช่เพราะพวกมันคอยคาบข่าวต่าง ๆ มาให้เจ้าฟังหรอกหรืออาป๋อ”
ได้ยินเช่นนั้น แต่จิ่งป๋อเลยทำหน้าใสซื่อ และได้ผลทุกครั้งกับพี่ชาย เพราะเขาอายุห่างจากจิ่งหลัวคุนหลายปี อีกทั้งพี่ชายคนนี้รักและเอ็นดูเขายิ่งกว่าใคร มิหนำซ้ำเมื่อครั้งเป็นเด็กแบเบาะ เริ่มพูดได้ จิ่งป๋อเรียกอีกฝ่ายอย่างประจบว่า ‘ท่านพ่อเล็ก!’
“โอ้ หลังจากมอมสุราหมักท่าน เฮ้ย...หลังจากดื่มสุรายินดีกับพี่ใหญ่ที่ได้แต่งงาน เด็ก ๆ ก็หามข้าไปเรือนของตน ไฉนจะรู้เห็นสิ่งใดอีก”
“ให้มันจริงตามที่เจ้าพูด”
“พี่ใหญ่ น้องเล็กของพี่เคยโกหกตั้งแต่เมื่อใด อีกอย่าง อนุของพี่ใหญ่ ก็เป็นข้าที่คอยกำราบพวกนางไม่ให้แตกแถว มิเช่นนั้นป่านนี้คงมาตีโพยตีพาย ร้องขอความเมตตาจากท่าน เพื่อให้ไปฝังแท่งหยกเข้ากลีบของนางบ้าง!”
จิ่งหลัวคุนเกือบยกเท้าถีบน้องชายที่ใช้วาจาหยาบคาย แต่เมื่อมองอีกฝ่ายก็เห็นเป็นเพียงเด็กน้อยไม่เปลี่ยน “อาป๋อ...สิ่งใดที่เจ้าทำได้ดีอยู่แล้ว จงทำต่อไป แต่หากว่าก้าวก่ายเรื่องของข้ามากนัก รู้ใช่ไหมว่าจวนจิ่งจะไม่มีที่ให้เจ้าซุกหัวนอน”
จิ่งป๋อหน้าซีดสลดและไม่กล้าที่จะเอ่ยสิ่งใดอีก กระนั้นก็อดมองหน้าพี่ชายคนโตไม่ได้ แผลเยอะขนาดนั้น ให้ตายเถอะ เขายังกล้าออกไปอวดโฉมให้ผู้อื่นเห็นอีกหรือ!