CHAPTER3
วันถัดมาคนที่พ่อให้มารับเธอก็มาถึง มารีเม้มปากแน่น คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน ใบหน้าอ่อนเยาว์ตึงขึ้นด้วยความไม่พอใจทันทีที่เห็นว่าใครเปิดประตูเข้ามา ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ดวงตาเรียวเล็ก จมูกโด่งเป็นสัน ใบหน้าคมของเขานิ่งเรียบ ทำให้ยากเหลือเกินที่จะสามารถคาดเดาความรู้สึกของเขาได้
แม้ตอนนี้ปริญจะดูเด็กกว่าในความทรงจำของ มารีมาก แต่ก็ยังหล่อเหลาไม่เปลี่ยน จะเปลี่ยนไปบ้างก็คือความหนุ่มแน่นตามวัย ไม่ได้ดูภูมิฐานเท่าผู้ชายอายุสี่สิบเจ็ด
ใช่แล้ว! มารีย้อนเวลากลับมาเมื่อยี่สิบปีก่อน นั่นหมายความว่าตอนนี้เขายังอายุเพียง 27 ปีเท่านั้น เธอจำได้ว่าปริญเป็นหนุ่มฮอตมาตั้งแต่วัยรุ่น จนหลังแต่งงานก็ยังโดดเด่น ไม่ว่าจะไปที่ไหนสาว ๆ ต่างพากันเหลียวมอง ไม่รู้ทำไมตอนนั้นเธอถึงเคยภูมิใจกับเปลือกนอกของผู้ชายคนนี้นักหนา
นอกจากปริญแล้วคนที่เดินตามเข้ามาก็เป็นอีกคนที่มารีไม่อยากเจอหน้าที่สุด ร่างระหงของมีนาเดินตามผู้ชายที่เคยเป็นอดีตสามีเธอเข้ามา
มารีกับปริญสนิทสนมคุ้นเคยกันมาตั้งแต่เด็ก เพราะพ่อของเขาเป็นที่ปรึกษาของบริษัทพ่อเธอ เมื่อคุณลุงเกษียณอายุคนเป็นลูกชายจึงเข้ามาทำงานเป็นมือขวาของพ่อเธอแทน ปริญเข้ามาทำงานในบริษัทตั้งแต่อายุยังน้อยในตำแหน่งหัวหน้าทีมเล็ก ๆ แต่เพราะความสามารถของเขารวมถึงได้รับการสนับสนุนทั้งจากพ่อเธอทำให้ตำแหน่งหน้าที่การงานของเขาก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว
ตอนนั้นในสายตาของมารีมีแต่เขาจนลืมสังเกตไปว่า ปริญและมีนาเองก็สนิทสนมกันไม่น้อยเลย และการที่ทั้งคู่มาด้วยกันแบบนี้ยิ่งทำให้อารมณ์ที่เริ่มดีขึ้นของเธอดิ่งลง
“มารี ดีใจไหมวันนี้จะได้กลับบ้านแล้วนะ” มีนาเดินมาหาถึงข้างเตียงด้วยรอยยิ้มสดใส
“ไหนพ่อบอกว่าพี่จะไปดูงานต่างจังหวัดด้วย” เธอถามอีกฝ่ายเสียงแข็ง พยายามจะฝืนยิ้มแต่ก็ทำได้ยากเหลือเกิน
“พี่เป็นห่วงมารีนะสิ เลยขอคุณพ่อตามไปทีหลัง”
มารีเกือบจะทำเสียงเฮอะ! ถ้ามีนาไม่มาทำงานในบริษัทเธอคิดว่าผู้หญิงคนนี้ไปเล่นละครได้สบายเลย ชาติที่แล้วเธอมองไม่ออก แต่ก่อนตายเธอได้ใช้ชีวิตมาถึงสี่สิบปี ตอนนี้จึงมองเห็นความเสแสร้งไม่จริงใจของอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย
ปริญทำเพียงล้วงมือทั้งสองข้างเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ยืนมองเธออยู่ข้างเตียงโดยไม่พูดอะไร เขาเป็นคนพูดน้อยมาแต่ไหนแต่ไร แต่ก่อนมารีรู้สึกสนุกกับการแหย่ให้เขาพูดอะไรออกมาบ้าง แต่ตอนนี้เธอไม่สนใจ ไม่อยากพูดก็ไม่ต้องพูด!
หลังจากนอนคิดมาทั้งคืน มารีก็ได้ข้อสรุปให้กับตัวเองว่าชีวิตนี้เธอไม่ต้องการจะแก้แค้นอะไร เธอตัดสินใจแล้วว่าจะปล่อยให้หญิงร้ายชายเลวทั้งคู่ได้ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างที่ต้องการ จะได้ไม่ต้องแอบลักลอบเป็นชู้กัน ส่วนเธอจะใช้ชีวิตอยู่กับพ่อให้มากขึ้น มีความสุขให้มากขึ้น
“มารีจ๊ะเหม่ออะไรอยู่ คุณหมอให้กลับบ้านได้หรือยัง” มีนาถามซ้ำเมื่อเห็นคนเป็นน้องเหม่อมองปริญอยู่แบบนั้นโดยไม่พูดอะไร ความจริงท่าทางแบบนี้ของมารีถือว่าแปลกอยู่มาก ถ้าเป็นเวลาปกติมารีต้องทักทายปริญเสียงดังลั่นด้วยรอยยิ้มสดใส
“คุณหมอยังไม่ได้เข้ามาตรวจค่ะ” เมื่อเห็นคนเป็นเจ้านายไม่ตอบ นุชจึงตอบเสียเอง แต่นุชพูดยังไม่ทันจบประโยคดีเสียงเคาะประตูหน้าห้องก็ดังขึ้น
“หมอมาตรวจอาการคนไข้ครับ” ใบหน้าหล่อใสภายใต้แว่นกรอบสี่เหลี่ยมปรากฏขึ้นหลังเสียงนุ่มทุ้มของเขาจบลง เมื่อคุณหมอหนุ่มเดินมาข้างเตียงคนไข้มีนาจึงหลีกทางให้ หลบไปยืนข้างปริญที่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นยกแขนขึ้นมากอดอกแทน
“วันนี้คนไข้อาการเป็นอย่างไรบ้างครับ มีอาการปวดหัวหรือเปล่า”
“ปวดบ้างนิดหน่อยค่ะ” เมื่อคืนอาการปวดศีรษะของเธอเริ่มดีขึ้น แต่พอคนคู่นี้เปิดประตูเข้ามาเธอก็เริ่มปวดหัวริ้ว ๆ ขึ้นมา
คุณหมอหน้านิ่วเมื่อได้ยินคำตอบของคนไข้
“ถ้าคะแนนความเจ็บปวดเต็มสิบคะแนน คนไข้ให้คะแนนอาการปวดหัวที่เป็นอยู่ตอนนี้กี่คะแนนครับ”
“เต็มสิบเลยค่ะ” ความจริงเธออยากจะให้สักร้อยคะแนน ทำไมคะแนนความเจ็บปวดมันถึงจำกัดนักนะ
พอได้ฟังคำตอบของคนไข้คิ้วของคุณหมอก็ยิ่งขมวดขึ้นกว่าเดิม เขาหันไปส่งชาร์ตให้คุณพยาบาลสุดเคร่งครัดที่เธอเจอตั้งแต่วันแรกช่วยถือ จากนั้นก็ใช้ไฟฉายส่องตาเธอทั้งสองข้าง
“ไม่ต้องเกร็งนะครับ ปล่อยตัวตามสบาย”
พูดจบมือเย็นของเขาก็จับบริเวณท้ายทอยเธอ ยกศีรษะเธอขึ้นแนบอก แม้จะตกใจในตอนแรกแต่เมื่อคิดได้ว่านี่คือการรักษา มารีจึงปล่อยตัวไม่เกร็งตามที่หมอบอก เพราะเธอคุ้นชินกับการตรวจร่างกายทางระบบประสาทมาพอสมควรแล้ว
“ทำแบบนี้เจ็บมากขึ้นไหมครับ”
“ไม่ค่ะ” ไม่เพียงแต่ไม่เจ็บ มือเย็น ๆ ของเขายังทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลายขึ้นด้วยซ้ำ
“ขอโทษนะครับ ช่วยออกแรงงัดข้อกับหมอหน่อย” เขาปล่อยมือจากศีรษะเธอมาจับแขนเธองัดข้อแทน
ความจริงมารีรู้ว่าสาเหตุของอาการปวดศีรษะของเธอคือชายหญิงคู่นี้ แต่พอเล่าให้คุณหมอฟังแล้วถูกจับตรวจร่างกายละเอียดแบบนี้ จึงเผลอหลุดขำออกมาเสียได้
“เอ่อ...ตรวจร่างกายก็ปกติดีนะครับ มีอาการคลื่นไส้อาเจียนหรือเปล่า” คุณหมอนภัทรเริ่มทำตัวไม่ถูกกับอารมณ์เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาของคนไข้ เมื่อกี้ยังบอกว่าปวดหัวมากอยู่เลย ตอนนี้กลับหันมาฉีกยิ้มสดใสให้เขาเสียอย่างนั้น
“ไม่เลยค่ะ มารีก็ปกติดีจริง ๆ นั่นแหละ” มารีส่งรอยยิ้มให้คุณหมอจนตากลมโตยิบหยี ถ้าจะมีใครเป็นห่วงอาการเจ็บป่วยเธออย่างจริงจัง นอกจากคุณพ่อของเธอ นุช ก็ยังมีคุณหมอคนนี้นี่แหละ แม้เขาอาจจะทำไปตามจรรยาบรรณวิชาชีพก็ตาม
“ถ้าไม่มีอะไรผิดปกติแล้วให้คนไข้กลับบ้านได้หรือยังครับ”
คนที่เอาแต่ยืนเงียบ มาตลอดพูดแทรกขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำให้คนทั้งห้องไม่เว้นแม้แต่มารีที่พยายามเมินเขามาตลอดหันไปมอง แต่คนพูดกลับเลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้น จ้องตากลับทุกคนด้วยท่าทางกวนโมโหสุด ๆ ในสายตาของมารี แต่ปริญกลับไม่รู้สึกว่าตัวเองทำอะไรผิด
“ก็หมอบอกว่าไม่มีอะไรผิดปกติ อย่างนั้นก็กลับกันได้แล้วมั้ง” เขาพูดย้ำคำวินิจฉัยที่ได้ฟัง